ถ้ารัฐจะมาสอดส่องข้อมูลบางอย่างโดยอ้างว่าเพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย คุณจะยินยอมไหม? ระหว่างความเป็นส่วนตัวกับความปลอดภัย คุณจะเลือกอะไร? Reasons to Read หน่วยงานชั้นนำของสหรัฐทั้ง FBI และ ICE ได้นำภาพถ่ายจากกรมทะเบียนรถยนต์มาใช้ในการค้นหาบุคคลด้วยเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของทะเบียน ในบรรดารัฐต่างๆ ของสหรัฐ มีจำนวน 21 รัฐที่อนุญาตให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลประชาชนได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาลหรือหมายจับ แต่สำหรับรัฐวอชิงตันการจะทำอย่างนั้นได้จำเป็นต้องมีคำสั่งศาลเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้โรงเรียนแห่งหนึ่งในนครนิวยอร์ก มีไอเดียที่จะเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยในโรงเรียนด้วยการติดตั้งระบบจดจำใบหน้าเพื่อใช้สแกนจับผู้ต้องสงสัยที่อาจเข้ามาก่ออาชญากรรมภายในโรงเรียน หลังจากที่ช่วงก่อนหน้านี้เกิดเหตุกราดยิงในสหรัฐบ่อยครั้ง แต่บรรดาผู้ปกครองกลับไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าวเพราะมองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของเด็กๆ สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เมืองซานฟรานซิสโกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ผู้ออกกฎหมายในซานฟรานซิสโกได้โหวตให้ห้ามการใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าโดยหน่วยงานของรัฐ ซึ่งถือเป็นเมืองแรกในสหรัฐอเมริกาที่ออกมาต่อต้านเรื่องดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลในเรื่องของความเป็นส่วนตัวของชาวอเมริกัน และขณะที่เรื่องนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในสหรัฐ ก็มีแนวโน้มว่าความกังวลในหมู่ประชาชนที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวนั้นจะเพิ่มมากขึ้น เพราะล่าสุดมีรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ (Washington Post) ระบุว่า หน่วยงานชั้นนำของสหรัฐทั้งสำนักงานสอบสวนกลาง (Federal Bureau of Investigation – FBI) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (Immigration and Customs Enforcement – ICE) ได้นำภาพถ่ายจากกรมทะเบียนรถยนต์ (Department of Motor Vehicles – DMV) […]Read More
หลายคนคงนึกไม่ถึงหรือไม่ได้ตระหนักว่าโลกาภิวัตน์ก็มีวันหมดอายุเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ ไมเคิล โอซัลลิแวน (Michael O’Sullivan) เจ้าของหนังสือ ‘The Leveling: What Next After Globalization’ Reason to Read หลายคนคงนึกไม่ถึงหรือไม่ได้ตระหนักว่าโลกาภิวัตน์ก็มีวันหมดอายุเหมือนกัน แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ ไมเคิล โอซัลลิแวน (Michael O’Sullivan) เจ้าของหนังสือ ‘The Leveling: What Next After Globalization’ ไมเคิลเชื่อว่าในอนาคตโลกของเราจะแบ่งออกเป็นสองขั้ว ได้แก่ ‘เลเวลเลอร์’ และ ‘เลวีอาธาน’ และจะถูกครอบงำโดยพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างน้อยสามแห่ง ได้แก่ อเมริกา สหภาพยุโรป และเอเชีย (ที่มีจีนเป็นศูนย์กลาง) ซึ่งจะมีแนวทางที่แตกต่างกันมากขึ้นในนโยบายเศรษฐกิจ เสรีภาพ สงคราม เทคโนโลยี และสังคม หลายทศวรรษมานี้เราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า ‘โลกาภิวัตน์’ (Globalization) หรือ โลกไร้พรมแดนที่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นจะแพร่กระจายไปทั่วโลก ประชาคมโลกสามารถรับรู้ สัมพันธ์ หรือได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาระบบสารสนเทศ คำนี้ถูกนำมาใช้โดยนักเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่ปี พ.ศ. […]Read More
อย่าได้เผลอใจดีไปแบ่งช็อกโกแลตให้น้องหมากินเด็ดขาด เพราะนั่นอาจจะเป็นการวางยาฆ่าสุนัขตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ช็อกโกแลตน่าจะเป็นขนมหวานจานโปรดของใครหลายๆ คน รวมไปถึงเจ้าของสุนัข แต่อย่าได้เผลอใจดีไปแบ่งช็อกโกแลตให้น้องหมากิน หรืออย่าเผลอให้เขามาแอบกินช็อกโกแลตได้เด็ดขาด เพราะนั่นอาจจะเป็นการวางยาฆ่าสุนัขตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เหตุผลที่ช็อกโกแลตเป็นของต้องห้ามสำหรับสุนัขก็เพราะว่าช็อกโกแลตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘ทีโอโบรมีน’ (Theobromine) ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับสารพวกกาเฟอีนที่พบมีในพวกกาแฟ โกโก้ สารนี้ออกฤทธิ์ต่อร่างกายหลายอย่าง แต่หลักๆ คือกระตุ้นการหลั่งสารอะดรีนาลิน (Adrenaline) ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว มีเหงื่อออกมาก สำหรับสัตว์ชนิดอื่น เมื่อรับสารธีโอโบรมีนเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายก็จะมีกระบวนการกำจัดสารนี้ออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่นั่นไม่ใช่สำหรับสุนัข ร่างกายของน้องหมาไม่สามารถกำจัดสารนี้ออกจากร่างกายได้เร็วเท่าสัตว์ชนิดอื่น ทำให้ค่อนข้างไวต่อความเป็นพิษของธีโอโบรมีน แม้กินเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้สุนัขอาเจียนและท้องร่วงได้แล้ว และหากให้สุนัขกินในปริมาณเยอะก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น อาจถึงขั้นเป็นพิษ นอกจากจะมีอาการท้องเสีย อาเจียน สุนัขบางตัวอาจเกิดอาการกล้ามเนื้อสั่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นสองเท่า หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น อันตรายจากช็อกโกแลตที่มีต่อสุนัข ก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนักสุนัขด้วย โดยมีรายงานบอกว่า สุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัม กินช็อกโกแลตเข้าไปแค่ 400 มิลลิกรัม ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้แล้ว นอกจากนี้ ชนิดของช็อกโกแลตที่กินเข้าไปก็มีผลต่อสุนัขที่ต่างกัน เช่น ถ้าสุนัขกินช็อกโกแลตแท้ รสเข้มๆ อาการเป็นพิษก็จะรุนแรงกว่าช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือเจือจางกับส่วนผสมอื่นๆ เพราะช็อกโกแลตแต่ละชนิดก็จะมีปริมาณสารจำพวกกาเฟอีนและธีโอโบรมีนที่แตกต่างกัน รู้อย่างนี้แล้วเชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงแม้แต่ให้สุนัขของตัวเองชิมช็อกโกแลตเป็นแน่ […]Read More
‘เชอร์โนบิล’ ถูกพูดถึงอีกครั้งหลังจากที่ทาง HBO ได้นำเรื่องราวดังกล่าวมาถ่ายทอดในรูปแบบซีรีส์ และทำให้พลังงานนิวเคลียร์กลับมาเป็นที่สนใจของคนจำนวนมากอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะพูดถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ที่เชื่อว่าคนส่วนมากยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่ Reasons to Read ‘เชอร์โนบิล’ ถูกพูดถึงอีกครั้งหลังจากที่ทาง HBO ได้นำเรื่องราวดังกล่าวมาถ่ายทอดในรูปแบบซีรีส์ และทำให้พลังงานนิวเคลียร์กลับมาเป็นที่สนใจของคนจำนวนมากอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการที่จะพูดถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ที่เชื่อว่าคนส่วนมากยังมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1989 ที่เมืองพริปยัตของยูเครน เผชิญกับภัยพิบัติทางนิวเคลียร์เมื่อแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล (Chernobyl Nuclear Power Plant) เกิดระเบิดขึ้น และทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซีย ต้องอพยพประชากรมากกว่า 336,431 คน ออกจากพื้นที่อย่างฉุกเฉิน และทำให้เมืองพริปยัตกลายเป็นเมืองร้างมาจนทุกวันนี้ ปัจจุบันรัฐบาลยูเครนได้สร้างอาคารกักกันขนาดใหญ่ขึ้นมาครอบซากปรักหักพังของโรงไฟฟ้าเดิมที่ปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีความเข้มข้นสูงเพื่อป้องกันการรั่วไหล แต่ก็จะสามารถป้องกันได้ในระยะ 100 ปีเท่านั้น และเมื่อไม่นานมานี้ชื่อของ ‘เชอร์โนบิล’ ถูกพูดถึงอีกครั้งหลังจากที่ทางสถานีโทรทัศน์ HBO ได้นำเรื่องราวดังกล่าวมาถ่ายทอดในรูปแบบซีรีส์ โดยออกอากาศต่อจากซีรีส์ดังอย่าง Game of Thrones และได้รับคำชมจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม เห็นได้จากคะแนนในเว็บไซต์ IMDB และ Rotten […]Read More
พลาสติกนั้นสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากขนาดไหน เพราะกว่าจะย่อยสลายไปเองได้ต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปีเลย แต่อาจจะใช้เวลาน้อยกว่านั้นถ้า ‘เคย’ มาช่วยทำหน้าที่ย่อยสลาย ทุกวันนี้นับว่าเป็นเรื่องดีที่กระแสรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกในบ้านเราเริ่มมีความตื่นตัวมามากกว่าแต่ก่อน เพราะหากยังไม่เริ่มทำอะไรตั้งแต่วันนี้หลายคนคงรู้ดีว่าพลาสติกนั้นสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากขนาดไหน เพราะกว่าจะย่อยสลายไปเองได้ต้องใช้เวลาเป็นร้อยๆ ปีเลย แต่อาจจะใช้เวลาน้อยกว่านั้นถ้า ‘เคย’ มาช่วยทำหน้าที่ย่อยสลาย ‘เคย’ ที่ว่าก็คือตัวเคยที่ใช้มาทำกะปินั่นแหละ โดยเมื่อเร็วๆ นี้คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกริฟฟิธ ของออสเตรเลีย ได้ทำการทดลองในห้องแล็บ โดยให้ตัวเคยย่อยเม็ดพลาสติกที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่ ก่อนจะค้นพบว่าตัวเคยแอนตาร์กติกา ที่พบในมหาสมุทรแอนตาร์กติก สามารถกลืนกินและย่อยสลายเม็ดไมโครพลาสติกขนาดจิ๋ว ซึ่งเกิดจากขยะในท้องทะเลให้มีขนาดเล็กลงจนมีขนาดเล็กระดับนาโนได้ และนักวิจัยคาดว่าการย่อยเม็ดพลาสติกของตัวเคยจะยิ่งมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นหลายเท่าหากพวกมันได้อยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เพราะว่าขยะพลาสติกที่อยู่ในทะเลจะถูกรังสียูวีจากแสงแดดทำให้เสื่อมสภาพลงก่อนที่จะมาถึงมือตัวเคยเหล่านี้ แต่อย่าเพิ่งคิดว่านี่เป็นข่าวดี เพราะพลาสติกที่ถูกตัวเคยย่อยให้เล็กจนเหลือแค่ระดับนาโนนั้นไม่ได้หายไปไหนเลย แต่จะถูกตัวเคยขับออกจากร่างกายคืนสู่ท้องทะเลดังเดิม และสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือเมื่อพลาสติกมีขนาดเล็กลงก็จะแพร่กระจายเข้าถึงส่วนลึกของมหาสมุทรได้ง่ายขึ้นไปกว่าเดิม และแน่นอนว่ามันจะถูกตรวจพบได้ยากขึ้นด้วย และนอกจากตัวเคยแอนตาร์กติกาแล้ว นักวิจัยเชื่อว่าสัตว์ทะเลจำพวกแพลงก์ตอนที่มีเปลือกแข็งหุ้มอีกหลายชนิดก็น่าจะมีความสามารถในการย่อยเม็ดพลาสติกได้เหมือนกัน ตอนแรกก็คาดว่านี่จะเป็นความหวังใหม่ในการกำจัดขยะพลาสติก แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นการสร้างปัญหาใหม่ซะอย่างนั้น สรุปแล้วการแก้ปัญหาจากต้นทางด้วยการลดใช้ถุงพลาสติกน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วRead More
เรือล่าวาฬสัญชาติญี่ปุ่นออกทำหน้าที่อีกครั้งในรอบ 30 ปี ก่อนนักล่าวาฬจะนำวาฬมิงค์สีเทากลับมาเพื่อทำการเฉลิมฉลองด้วยการต่อแถวราดสาเกให้ทั่วตัว เพื่อต้อนรับการกลับมาล่าวาฬอีกครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วญี่ปุ่นไม่เคยหยุดล่าวาฬเลย Reasons to Read เรือล่าวาฬสัญชาติญี่ปุ่นออกทำหน้าที่อีกครั้งในรอบ 30 ปี ก่อนนักล่าวาฬจะนำวาฬมิงค์สีเทากลับมาเพื่อทำการเฉลิมฉลองด้วยการต่อแถวราดสาเกให้ทั่วตัว เพื่อต้อนรับการกลับมาล่าวาฬอีกครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วญี่ปุ่นไม่เคยหยุดล่าวาฬเลย เมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา เรือล่าวาฬสัญชาติญี่ปุ่น 5 ลำได้แล่นออกสู่ทะเลอีกครั้งในรอบ 30 ปี หลังจากประเทศญี่ปุ่นตัดสินใจถอนตัวจากคณะกรรมาธิการการล่าปลาวาฬนานาชาติ หรือ IWC (International Whaling Commission) ตั้งแต่ปีที่แล้ว และเริ่มอนุญาตให้ล่าวาฬเพื่อการค้าได้อีกครั้งตั้งแต่วานนี้ หลังจากประเทศญี่ปุ่นถอนตัวจากสัญญาหยุดล่าวาฬ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ก็เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่เรือล่าวาฬได้ออกทำหน้าที่อีกครั้ง ก่อนหลายชั่วโมงต่อมาจะกลับเทียบฝั่งพร้อมกับวาฬมิงค์สีเทาขนาด 8 เมตร ที่ถูกนำไปโกดังเพื่อให้นักล่าวาฬทั้งหลายได้ทำการเฉลิมฉลองโดยการต่อแถวราดสาเกให้ทั่วตัว เพื่อเป็นการชำระล้างและต้อนรับการกลับมาล่าวาฬอีกครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วประเทศญี่ปุ่นไม่เคยหยุดล่าวาฬเลย… ประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมสัญญาหยุดล่าวาฬมาตั้งแต่ปี 1986 เนื่องจากเวลานั้นมีการล่าวาฬเพื่อการค้าเป็นจำนวนมากในหลายประเทศจนเริ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ นานาชาติจึงตัดสินใจทำข้อตกลงกันว่าด้วยการหยุดล่าวาฬจนกว่าจำนวนจะฟื้นตัว และสามารถกำหนดโควต้าที่เหมาะสมสำหรับการล่าวาฬของแต่ละประเทศได้ ทว่าหากเป็นการนำวาฬมาด้วยจุดประสงค์เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ จะถือเป็นข้อยกเว้น และอาจด้วยช่องวางตรงนี้เองที่ญี่ปุ่นใช้เพื่อนำวาฬขึ้นมาจากทะเลตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยพบว่า ตั้งแต่ปี 1987 ญี่ปุ่นฆ่าวาฬไปมากถึง 200-1,200 ตัวต่อปี […]Read More
นั่นสินะ เวลาจอดรถในที่ต่างๆ หรือแม้แต่หน้าบ้านตัวเอง ไม่รู้ทำไมต้องมีสุนัขมายกขาฉี่ใส่ล้ออยู่แทบทุกครั้ง ทำไมละ?? เรื่องนี้เชื่อว่าคนรักรถคงคาใจมากกว่าใคร เพราะเวลาจอดรถในที่ต่างๆ หรือแม้แต่หน้าบ้านตัวเอง ไม่รู้ทำไมต้องมีสุนัขมายกขาฉี่ใส่ล้ออยู่แทบทุกครั้ง ซึ่งสุนัขก็มีเหตุผลของเขานะ โดยพฤติกรรมการฉี่เรี่ยราดแบบนี้เป็นไปได้สองอย่างคือการฉี่เพื่อประกาศอาณาเขต ส่วนมากจะเป็นสุนัขตัวผู้ที่อยู่ในวัยที่เจริญพันธุ์แล้ว และฉี่ไว้สำหรับดมทางกลับบ้าน ซึ่งข้อหลังนี้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการวางแผนต่างๆ ได้ดีระดับหนึ่ง เอาจริงๆ สุนัขก็ไม่ได้จงใจจะฉี่ใส่แต่ยางรถยนต์เท่านั้นหรอก แต่น้องเขาสามารถฉี่รดอะไรก็ได้ที่ตั้งฉากกับพื้นโลก ดังที่เราจะเห็นรอยด่างๆ บนกำแพงเอย เสาไฟฟ้าเอย ไปจนถึงโคนต้นไม้และพุ่มไม้น้อยใหญ่ตามรายทาง แต่ถ้าถามว่าในบรรดาสิ่งที่ตั้งฉากกับพื้นโลกทั้งที่ได้กล่าวมาแล้วและยังไม่ได้กล่าวนั้น สุนัขชอบฉี่ใส่สิ่งใดมากที่สุด คำตอบก็คือ ‘ล้อรถยนต์’ ของคุณนั่นแหละ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะยางรถยนต์ที่จอดตากแดดหรือเพิ่งผ่านการวิ่งมาจนเกิดความร้อนนั้น เมื่อเจอกับปัสสาวะของสุนัขแล้วจะมีกลิ่นหอมที่โดนใจสุนัขมากกว่าการฉี่ใส่สิ่งอื่น และกลิ่นนี้ก็จะกระจายไปยังสุนัขตัวอื่นๆ เหมือนเป็นการส่งสารว่า “ที่แห่งนี้ได้ตกเป็นอาณาเขตของฉันแล้วเรียบร้อย ตัวอื่นไปไกลๆ เลย” อะไรอย่างนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉี่ใส่ล้อรถว่าปวดหัวแล้ว ถ้าเจอน้องหมาประกาศอาณาเขตในบ้านด้วยการฉี่ใส่เครื่องเรือนต่างๆ นี่ปวดใจเลยนะคุณ ซึ่งกรณีนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อในบ้านมีเฟอร์นิเจอร์ใหม่ เพราะกลิ่นที่เขาไม่คุ้นเคย สุนัขก็จะคิดว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ ที่เข้ามาในอาณาเขตของเขา จึงต้องแสดงความเป็นเจ้าของกันสักหน่อย ในด้านของสถิติการฉี่เพื่อประกาศอาณาเขต มีข้อมูลระบุว่าสุนัขตัวผู้ที่ไม่ได้ทำหมันมีแนวโน้มที่จะฉี่มากกว่าสุนัขตัวผู้ที่ทำหมันแล้ว และสุนัขสายพันธุ์เล็กมีแนวโน้มที่จะฉี่ในบ้านมากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้สุนัขฉี่ใส่ล้อรถหรือฉี่ในบ้าน? สำหรับเจ้าของสุนัขที่มีปัญหาสุนัขฉี่เรี่ยราดในบ้านอาจะแก้ปัญหาด้วยการฝึกให้สุนัขมีที่ขับถ่ายประจำของตัวเอง อาจะต้องใช้เวลาแต่ถ้าเขาทำได้ เราก็จะหมดปัญหากวนใจ ส่วนเจ้าของรถที่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วกับเรื่องนี้ เพราะแค่รอยด่างๆ จากฉี่ก็คงไม่น่าหนักใจเท่ากับเรื่องสนิมที่จะเกิดขึ้นกับส่วนที่เป็นโลหะ จริงๆ […]Read More
การเดินเข้าป่ามีประโยชน์ในแง่สุขภาพอย่างไม่น่าเชื่อ ศาสตร์นี้เรียกว่า ‘การอาบป่า’ (Forest Bathing) เป็นศาสตร์การเยียวยาโดยธรรมชาติที่มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ถ้าเราเหนื่อยล้าจงเดินเข้าป่า… เพราะนอกจากจะไม่ต้องพบเจอคนใจร้ายอย่างที่เพลง ‘วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า’ ของ แม็กซ์ เจนมานะ ได้ว่าไว้แล้ว การเดินเข้าป่ายังมีประโยชน์ในแง่สุขภาพอย่างไม่น่าเชื่อ ศาสตร์นี้เรียกว่า ‘การอาบป่า’ (Forest Bathing) เป็นศาสตร์การเยียวยาโดยธรรมชาติที่มีต้นกำเนิดมาจากญี่ปุ่นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นที่รู้กันดีว่าชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับธรรมชาติมาก เห็นได้จากเทศกาลสำคัญๆ ที่จะมีการเฉลิมฉลองให้กับธรรมชาติ เช่น ดวงจันทร์ ภูเขา ทะเล แม่น้ำ ฯลฯ หรือแม้แต่ทั้งสองศาสนาที่เจริญรุ่งเรืองมากในญี่ปุ่นอย่างศาสนาพุทธ และศาสนาชินโต ก็บูชาธรรมชาติกันมาเป็นเวลาช้านาน และในปี 1982 รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้นำแนวคิดเรื่องการอาบป่ามากระตุ้นให้ประชาชนออกไปใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าของประเทศในการบำบัดรักษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต จนกลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก การอาบป่าที่ว่านี้ก็คือการพาร่างกายหลีกหนีจากความวุ่นวายในสังคมเมืองแล้วไปพักผ่อนในป่า ไปใกล้ชิดกับความเงียบสงบของธรรมชาติ ไปอยู่ในอ้อมกอดสีเขียว อาจจะเป็นการเดินป่าชิลๆ ค่อยๆ ซึมซับความสดชื่นที่ป่ามอบให้เราก็ได้ มีคำแนะนำว่าควรไปอาบป่าอย่างน้อยเดือนละครั้ง และการอยู่ในป่าแค่เพียง 15 นาที ก็สามารถช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายได้ และทำให้เรามีพลังมากพอที่เราจะอยู่ไปได้ทั้งเดือน สิ่งที่อาจจะเรียกว่ายาวิเศษจากธรรมชาติ ที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่อยู่ในป่านั่นก็คือไฟทอนไซด์ (Phytoncide) ซึ่งเป็นน้ำมันหอมระเหยที่ต้นไม้ปล่อยออกมาเพื่อป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและแมลง ขณะเดียวกันก็ช่วยให้มนุษย์รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า และความเครียด เพราะเมื่อเราสูดอากาศในป่าก็จะได้รับสารตัวนี้เข้าไปด้วย นอกจากนี้ […]Read More
ผ้าขาวม้าคือเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างหนึ่ง อย่าง ‘ผ้าขาวม้า’ นั้น มีเรื่องราวที่มาที่น่าสนใจไม่น้อยเลย ว่าแต่มีเรื่องอะไรบ้างล่ะ คำตอบคือ… ผ้าเนื้อหยาบๆ ลายตารางหลากสีที่อยู่กับคนไทยมาหลายยุคสมัยโดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น จนอาจเรียกได้ว่าผ้าขาวม้าคือเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างหนึ่ง อย่าง ‘ผ้าขาวม้า’ นั้น มีเรื่องราวที่มาที่น่าสนใจไม่น้อยเลย เริ่มตั้งแต่ชื่อที่เราเรียกกันว่า ‘ผ้าขาวม้า’ จนอาจจะทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่าต้องมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับม้าแน่ๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เกี่ยวกันเลยสักนิด แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องชื่อ ขอเล่าก่อนว่าคนไทยกับผ้าขาวม้ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ มีข้อมูลจากบทความวิชาการระบุว่า ผ้าขาวม้าเป็นที่รู้จักของคนไทยมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 หรือราวยุคสมัยเชียงแสน โดยได้รับอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ เดิมทีนั้นชาวไทยใหญ่ใช้ผ้าขาวม้าเพื่อโพกศีรษะ แต่เมื่อเป็นที่รู้จักของคนไทย โดยเฉพาะผู้ชายในยุคนั้น ก็ได้นำผ้าขาวม้ามาใช้ผูกเอวเป็นส่วนใหญ่ ยุคนั้นจึงเรียกว่า ‘ผ้าเคียนเอว’ บ้าง ‘ผ้าเคียนพุง’ บ้าง และด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยก็ยังมีการนำผ้าเคียนพุงนั้นไปประยุกต์ใช้ประโยชน์อีกหลายสถาน เช่น ใช้ห่อข้าวของเวลาเดินทาง ห่ออาวุธ นุ่งเวลาอาบน้ำ เช็ดตัว ไปจนถึงปูนอนก็มี นอกจากนี้ ยังมีบันทึกของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère) ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย ที่เกี่ยวกับผ้าขาวม้า บันทึกดังกล่าวพอสรุปได้ว่าในยุคนั้นจะมีการมอบผ้าขาวม้าให้ทหารฝรั่งเศสนุ่งเมื่อลงอาบน้ำที่ตีนท่าเพื่อป้องกันการเปลือยลงอาบน้ำ ซึ่งขัดกับธรรมเนียมของคนไทยที่จะมีความเขินอายในเรื่องนี้กัน รวมถึงมีคนไทยบางส่วนในสมัยอยุธยาที่นุ่งผ้าขาวม้าอาบน้ำเช่นกัน และตามจิตรกรรมตามฝาผนังก็จะเห็นภาพชายชาวไทยใช้ผ้าผาดบ่า […]Read More
นั่นสิ ทั้งๆ ที่แต่งหน้าเค้กมาซะสวยงาม แต่ทำไมต้องเอาเทียนไปปักให้เป็นรู แม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทำไม แต่ที่แน่ชัดคือ เราทำอย่างนี้มากว่าสามศตวรรษแล้ว แฮปปี้เบิร์ธเดย์ทูยู! สิ้นเสียงเพลงนี้ทีไร เจ้าของวันเกิดก็ต้องหลับตาอธิษฐานแล้วตามด้วยการเป่าเทียนที่ปักอยู่บนหน้าเค้ก (ทั้งที่แต่งหน้าเค้กมาซะสวยงาม) เหมือนเป็นสเต็ปสากลที่ครบรอบวันเกิดใครก็ต้องทำแบบนี้ แล้วเชื่อไหมว่าเราทำอย่างนี้มากว่าสามศตวรรษแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานบ่งบอกที่แน่ชัดว่ามนุษย์เริ่มเป่าเทียนที่ปักอยู่บนหน้าเค้กวันเกิดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เรื่องของการปักเทียนบนเค้กนี้เชื่อว่ามาจากธรรมเนียมของชาวกรีกโบราณที่นำเค้กไปบูชาเทพีอาร์ทีมิส (Artemis) เทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ ตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณเทพีอาร์ทีมิสคือเทพีแห่งดวงจันทร์และการล่าสัตว์ ดังนั้น การตกแต่งหน้าเค้กให้สวยงามด้วยการปักเทียนให้สว่างไสวก่อนนำไปบูชานั้นก็เปรียบเสมือนแสงสว่างจากดวงจันทร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทพีอาร์ทีมิสนั่นเอง แล้วธรรมเนียมการปักเทียนบนหน้าเค้กให้เท่าอายุเจ้าของวันเกิดล่ะ มาจากไหน? เรื่องนี้มีหลักฐานปรากฏว่ามีจุดเริ่มต้นมาจาก นิโคลอส ซินเซนดอร์ฟ (Nicolaus Zinzendorf) นักปฏิรูปศาสนาและสังคมชาวเยอรมัน ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1700-1760 โดยในปี ค.ศ. 1746 นิโคลอสได้จัดงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดปีที่ 46 ของตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ ภายในงานมีเค้กก้อนโตที่ว่ากันว่าใหญ่โตที่สุดเท่าที่จะหาเตามาอบได้ และมีการปักเทียนจำนวนเท่ากับอายุของเจ้าของวันเกิดเป็นครั้งแรก ส่วนธรรมเนียมการเป่าเทียนนั้นสอดคล้องกับความเชื่อเก่าแก่ที่พบเห็นในหลายวัฒนธรรม ที่เชื่อว่าควันสามารถนำพาให้คำอธิษฐานลอยไปถึงเทพเจ้าที่อยู่บนสวรรค์ได้ หลังจากอธิษฐานเสร็จจึงต้องเป่าเทียนเพื่อให้เกิดควันและพาคำอธิษฐานของเจ้าของวันเกิดไปบอกเทพเจ้าผู้อยู่เบื้องบนนั่นเอง แม้จะต่างที่มา ต่างความเชื่อ แต่เมื่อการเวลาผันผ่านสิ่งเหล่านี้ก็ถูกหล่อหลอมเข้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน เกิดเป็นธรรมเนียมที่ได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันRead More