เมื่อพูดกันถึงเรื่องของการจับจ่ายซื้อของใช้ ไม่ว่าจะสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อสนองความต้องการที่นอกเหนือจากนั้น การมาถึงของเทคโนโลยี Mobile Pay และ Platform ซื้อสินค้าแบบออนไลน์ ช่วยให้เกิดความสะดวกในการจับจ่าย และสร้างทางเลือกในกระบวนการที่เคยมีอยู่จำกัดแต่เพียงห้างร้าน ให้เข้ามาใกล้ชิดผู้คนในทุกระดับมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการสร้าง ‘สภาวะสองทาง’ ที่ผู้ซื้อ สามารถกลายเป็นผู้ขาย ได้อย่างง่ายดาย เส้นแบ่งระหว่าง Business (b) และ Customer (c) ก็ดูจะจางลง แต่ในทางหนึ่ง เมื่อกระบวนการถูกทำให้ง่าย เมื่อผู้ขายกระโดดลงมาสู่สนามการค้าอย่างเสรี ผู้ให้บริการ Platform ก็ต้องสรรหาวิธีการ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด ให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบของตนเองให้มากที่สุด และเมื่อทุกความสะดวกถูกนำเสนอจนหมดสิ้น มันจึงมาถึงข้อสรุปของแนวทางสุดท้ายของการกระตุ้นการจับจ่ายแบบใหม่ ที่กลายเป็นปัญหาในขณะนี้ เมื่อ ‘สินค้า’ สามารถซื้อได้ และเลือกที่จะ ‘จ่ายทีหลัง’ … แนวทางรับสินค้าก่อน จ่ายทีหลัง หรือ ‘Buy Now, Pay Later’ นี้ เริ่มแพร่หลายใน Platform สินค้าออนไลน์ชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada […]Read More
เมื่อนับนิ้วดู…..ออนเองก็ตกใจนะคะว่า ในชีวิตนี้ได้ใช้ชีวิตโดยมีนามสกุลพ่วงท้ายที่ไม่ได้มาจากพ่อแม่ว่า ”ออน ละอองฟอง” ซึ่งอยู่ในฐานะนักร้องนำของวงที่มีฉายาว่า นักออกแบบดนตรีสีสวย เนื้อหาเชิงบวก มองโลกแง่ดี เพลงฟังสบายๆ ฟังแล้วอารมณ์ดี มาเกือบ 20 ปีแล้ว หลายท่านอาจไม่ทราบว่าที่จริงละอองฟองในยุคแรกที่ก่อตั้งวงขึ้นมา คือช่วงปี 38ถึงปี 47เป็นช่วงก่อนที่ออนจะเข้ามาเป็นสมาชิกของวง …‘ละอองฟอง’ ได้ฝากชื่อไว้ในวงการเพลงไทย ซึ่งมีความเป็นตัวตนของคนมองโลกในแง่ดีไว้อย่างสูง เมื่อนึกย้อนไปดู เลยไม่รู้ว่า concept ของวงนี้เริ่มมาตั้งแต่ต้น หรือด้วยความที่ชอบทำไปเรื่อยๆ แล้วจึงออกมาเป็นแนวนี้เอง กันแน่ ตอนที่ผ่านออดิชั่นเข้ามาพี่เอ๊ะ พงศ์จักร พิษฐานพร และ พี่แมน ตนุภพ โนทยานนท์ บอกว่าเหตุผลเลือกออนเข้ามาเป็นสมาชิกของวง เพราะทัศนคติ หรือ Attitute ออนจึงเดาว่าตัวเองคงมีความเป็นละอองฟองที่แสดงออกมาให้เห็นละมั้ง….และก็เพิ่งมานั่งวิเคราะห์ตัวเองดีๆ เมื่อ ไม่นานมานี้นี่เอง แล้วจึงค้นพบกับความจริงที่น่าตกใจว่า “ละอองฟอง ครูที่ไม่มีร่าง ได้เปลี่ยนออนเยอะมากจนน่าตกใจ” ทุกครั้งเวลาที่ให้สัมภาษณ์เพื่อโปรโมทเพลง ไม่ว่าจะให้สัมภาษณ์ที่ไหนก็ตามจะพูดตลอดว่า เราทำเพลงเชิงบวก มองโลกในแง่ดี อยากทำเพลงที่ให้กำลังใจ ให้พลังกับคนฟัง จนวันหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็นึกตั้งคำถามกับตัวเองว่า “แล้วฉันหล่ะ […]Read More
ภาพ: CABIN139 ภาพ การบอกว่า “เราต้องรักตัวเองมากๆ” ฟังดูอาจจะดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อย แต่ส่วนตัวกลับรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในสังคมที่ยากจะหาตรรกะมาอธิบายจนบางครั้งก็ชวนให้หมดศรัทธาและหมดหวังเอาง่ายๆ อย่างทุกวันนี้ ถ้าไม่รักตัวเองก็อาจกลายเป็นภาระให้คนในสังคม หรืออาจไปทำตัวเกะกะระรานผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่เป็นผลดีกับตัวเองเลยสักนิด และเมื่อเรารักตัวเอง อยากให้ตัวเองมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข เราก็ต้องนึกถึงผู้คนและสภาพแวดล้อมรอบตัวด้วย นั่นเพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้าคนในสังคมเป็นทุกข์และโลกลุกเป็นไฟตลอดเวลา โอกาสที่ตัวเราเองจะอยู่อย่างมีความสุขก็น้อยลงไปด้วย ดังนั้นถ้าเราไม่ไปพ่นพิษใส่ใครๆ และไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่เอาเปรียบ ใช้อำนาจ หรือใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นแม้ว่าจะเป็นการกระทำที่เล็กน้อยก็ตาม ก็นับว่าเป็นการช่วยชะลอหรือลดอุณหภูมิความเกรี้ยวกราดในสังคมลงได้บ้าง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วความเสี่ยงที่จะเจอกับบรรยากาศลบๆ ไม่ว่าจากคนใกล้ตัวหรือคนไกลตัวที่ไม่รู้จักก็จะลดน้อยลงไปด้วย แน่นอนว่าการรักตัวเองแบบนี้คงไม่สามารถให้เราทำตามใจตัวเองได้ทั้งหมด หลายครั้งที่ต้องเกิดอาการไม่พอใจ ผิดหวัง เจ็บปวด หรือเสียประโยชน์บางอย่าง แต่หากมองในระยะยาวเชื่อว่าต้องได้ชีวิตที่มีคุณภาพพร้อมไปกับคนอื่นๆ อย่างแน่นอน ซึ่งต่างจากการรักตัวเองแบบที่ต้องเก่ง ต้องชนะทุกอย่าง สุขอยู่เพียงคนเดียว แต่เพื่อนร่วมโลกกลับต้องทุกข์ทนจากการกระทำของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นการรักตัวเองที่ว่านี้จึงไม่ได้หมายความว่าต้องให้โลกมาหมุนรอบตัวเราหรือมองเป้าหมายของเราและพวกพ้องเป็นที่ตั้ง แต่คือการพยายามรู้จักตัวเอง ไม่หลอกตัวเองหรือให้คนรอบข้างมาส่งเสียงอวยหรือก่นด่า พร่ำบอกว่าเราเป็นใครนั่นเอง และเมื่อถึงช่วงเวลาที่รู้ว่าร่างกายและจิตไม่แข็งแรงพอ ไปต่อไม่ไหว ก็ต้องพัก เพราะถ้าทู่ซี้ไปต่อก็อาจจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นและตัวเองได้ ซึ่งยิ่งรู้ว่าเข้าใกล้สิ่งที่เอาแต่ทิ่มแทงตนเอง พูดไปก็เหมือนตะโกนใส่กำแพง หรือยั่วยุให้ตัวเราเตรียมปล่อยหมัดพร้อมใช้ความรุนแรงก็ถอยห่างออกมาซะบ้าง เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ความโกรธความเกลียดมาหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเอง หรือใช้แผ่นหลังของตนเองไปเป็นหินลับมีดของใครต่อใคร เก็บพลังงานแม้เพียงน้อยนิดไว้คิดหรือทำในสิ่งที่เป็นมรรคเป็นผล และพร้อมรอจังหวะที่จะตอบโต้ได้อย่างมีสติดีกว่า หากรู้ว่า…ถ้าพลาดหรือทำผิด ไม่ว่าจะเพราะปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หรือเกิดจากความตั้งใจ หรือไม่มีความ สามารถจริงๆ […]Read More
เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่าระหว่างทำทุกอย่างภายในกรอบ ภายใต้ความรู้และประสบการณ์ที่มี กับทำอะไรนอกกฎ นอกกรอบ อย่างไหนดีกว่ากัน เชื่อว่าหลายๆ คนคงตอบว่า การอยู่ในกรอบ หรือทำอะไรที่ผลลัพธ์นั้นมองเห็นว่าปลอดภัยเป็นเรื่องที่ดี การแหกกฎ การนอกกรอบเป็นเรื่องที่เสี่ยง และอาจทำให้เกิดปัญหาตามมา….ผมว่าไม่แปลกครับ.. เพราะระบบวัฒนธรรมบ้านเราปลูกฝังให้ทุกคนอยู่ในกรอบ ทำอะไรให้เหมือนกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำข้อสอบที่ต้องตอบให้ตรงกับคำตอบของครูเท่านั้น การปลูกฝังว่าต้องทำตามตำราหรือทำตามใครซักคนที่ประสบความสำเร็จ การทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันโดยที่ต้องมีคนคอยบอกว่าคุณต้องคิดอะไร เป็นสิ่งที่ถูกต้อง..นั่นจึงเป็นกรอบของเราครับ และใครหลายคนก็เชื่อว่ากรอบนี้คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด อะไรที่แตกต่างออกไปเป็นสิ่งที่ผิด ผมอยากลองแชร์ประสบการณ์ที่วันหนึ่ง เมื่อผมลองก้าวออกจากพื้นที่ของเรา ไปสู่พื้นที่ใหม่ ไปเจอกรอบใหม่ๆ ที่ต่างออกไป ตอนนั้นผมได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ ผมเจอหลายสิ่งที่เคยมองว่าเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะเป็น การทำงานที่สื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมามากๆ โดยไม่สนเรื่องอายุ ตำแหน่งและความสัมพันธ์ การทำอะไรที่เหมือนก่อนหน้านี้ดูเป็นเรื่องโง่ แม้ว่าจะปลอดภัย ไม่มีใจดีหรือใจร้าย สิ่งนี้ดี-ไม่ดี มองแต่ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เคยเชื่อว่าถูกต้อง แต่กลับเป็นเรื่องตรงกันข้ามไปหมด หลายคนคงคิดว่าผมกำลังจะอวยคนต่างชาติว่าเขาดีกว่าเราอย่างนั้น อย่างนี้.. เปล่าครับ.. ผมไม่ได้อวย ผมจะบอกว่า ความจริงของโลกใบนี้คือไม่มีสิ่งที่ผิดหรือถูกเสมอไป ภายใต้กรอบของเราก็มีความสำเร็จอยู่ครับ และภายใต้กรอบของต่างชาตินั้นก็มีความสำเร็จอยู่เช่นกัน สิ่งที่ผมมองเห็นได้ชัดที่สุดของการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ คือทุกอย่างเป็นได้มากกว่าที่เป็น ไม่มีอะไรตายตัว ในความสำเร็จหนึ่งอย่างไม่ได้มีแค่วิธีเดียว เหมือนแต่งเพลง […]Read More
ชีวิตในแต่ละช่วงยื่นบททดสอบให้เราต่างกัน ในวัยเด็ก เราไม่รู้หรอกว่าชีวิตจะบอกอะไรกับเรา อาจเป็นเพราะว่าเราไม่เคยคิดหรือสงสัย ก็แค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ได้กินอิ่มนอนหลับ เล่นกับเพื่อนๆ ก็มีความสุขแล้ว ชีวิตไม่ได้หยิบยื่นแบบทดสอบที่โหดหินมาให้นัก หรืออาจเป็นเพราะเรายังไม่รู้เดียงสา เลยไม่มีเรื่องไหนที่หนักหนาจนต้องเก็บมาคิดให้หนักสมอง ตื่นมาก็ลืมแล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ที่สำคัญยังมีคนรอบข้างคอยปลอบประโลมในยามที่ทุกข์ใจ… ชีวิตในช่วงเวลานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ที่สวยงาม เราเลยไม่หวาดเกรงต่อสิ่งที่จะได้พบเจอ มีเพียงรอคอยที่จะตื่นมาเพื่อเจอแต่ความสุขในวันถัดๆ ไป ความทุกข์ การเปลี่ยนแปลง และความผิดหวังเป็นเหมือนคนแปลกหน้าที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทว่า..เมื่อเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตเริ่มไม่ใจดีกับเราเหมือนก่อน ปัญหาเล็กๆ ที่เคยเจอเมื่อตอนเด็กๆ กลับไม่เล็กเหมือนแต่ก่อน บททดสอบที่ชีวิตหยิบยื่นให้ก็ยากขึ้นและหนักหนาขึ้นจนบางครั้งเกินจะรับไหว ผู้ช่วยคนสำคัญในชีวิตเริ่มหายไปจากชีวิต เหลือคนที่คอยโอบอุ้มเราน้อยลงเต็มที ตอนนั้นแหละที่ชีวิตปลุกเราให้ตื่น และบอกเว่า…ไม่มีใครที่จะอยู่ช่วยเราไปได้ตลอดชีวิต และบางปัญหาก็ไม่มีใครช่วยได้ นอกจากตัวเราจะหาทางออกจากปัญหานั้นให้ได้เอง เราเริ่มมองเห็นแล้วว่าทุ่งลาเวนเดอร์ที่เคยโตมานั้นไม่ได้สวยงามเสียทีเดียว บางทีก็มีขวางหนามแทรกมาเป็นระยะ ถ้ายังอยากจะวิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์นี้ต่อ ก็ต้องผ่านขวางหนามนั้นไปให้ได้ แต่ถึงผ่านมาได้ขวางหนามเหล่านั้นก็ฝากรอยแผลไว้เป็นอนุสรณ์ ขวางหนามในชีวิตแต่ละคนมาในรูปแบบที่แตกต่างและในช่วงเวลาที่ต่างกัน ถ้าใครมีสติและเข้มแข็งพอ ก็อาจก้าวผ่านไปได้ และชีวิตจะให้รางวัลที่เรียกว่าประสบการณ์เป็นภูมิคุ้มกันแก่เรา แต่มุมมองในชีวิตของเราจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป เราจะใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง ระแวดระวังมากขึ้น จนการวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ชักเริ่มไม่เพลิดเพลินอีกต่อไป นั่นเพราะเราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองแล้วว่า….ชีวิตโยนเราให้มาวิ่งเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์นี้ทำไม เราเริ่มเห็นวงจรชีวิตของเราซึ่งซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน จนทำให้เกิดความสงสัยว่าการ…ที่มีชีวิตอยู่เพียงแค่ทำสิ่งที่ไร้ความหมายแบบนี้ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างนี้ทุกวันจริงๆเหรอ ? แตมเชื่อว่าหลายคนเริ่มมองหาความหมายของการมีชีวิตและการมีคุณค่าของการมีชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ และในขณะที่เริ่มไตร่ตรองกับความหมายของชีวิต คนรอบตัวก็เริ่มล้มหายตายจากมากขึ้นจนน่าใจหาย ความตายที่ไม่เคยนึกถึงกลับกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวเข้ามาทุกที มีคำถามที่ดังขึ้นซ้ำๆ […]Read More
ประดิษฐกรรมหนึ่งของมนุษยชาติ ที่บ่งบอกถึงความก้าวหน้า และการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน และมีจุดร่วมกันที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยนั้นคือ ‘ภาษา’ นั่นเพราะคนในท้องที่ ในภูมิภาค หรือในประเทศ ต่างก็มีสื่อกลางที่ใช้สื่อสาร บ่งบอกความต้องการ และอรรถาธิบายสิ่งที่เป็นทั้งรูปธรรม นามธรรม และจินตนาการให้ออกมาเป็นรูปฐานที่ชัดเจน ภาษา จึงเป็นข้อบ่งชี้ถึงความก้าวหน้าในระดับสูง และเป็นอัตลักษณ์ของคนในขอบเขตหรือท้องที่นั้นๆ แต่ก็เช่นเดียวกับเส้นแบ่งอาณาเขตของพื้นที่หรือประเทศ ที่เปลี่ยนแปลง หดแคบ ขยายออก ไม่มีความแน่นอน ตัวบทของภาษาเอง ก็มีการแปรสภาพ และไม่เคยอยู่นิ่ง แม้แต่ในประเทศเดียวกัน หากต่างท้องที่ ต่างภูมิภาค ก็สามารถมีความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะในรูปของสำเนียงภาษาพูด หรือ ‘คำ’ ที่ใช้แทนความหมายของสิ่งหนึ่งสิ่งใด ภาษา เปลี่ยนแปลงได้ ตามท้องที่ ตามเวลา และตามสถานการณ์จะนำพา ในปัจจุบัน โลกแห่งการติดต่อสื่อสาร เดินทางข้ามมาสู่พื้นที่เสมือน การเข้าถึง Social Media และอินเตอร์เนท ก่อให้เกิดการแปรสภาพของ ‘ภาษา’ ไปสู่รูปสารที่แตกต่างออกไปจากเดิม หลากหลายคำถือกำเนิดขึ้นจากการใช้งาน ยอมรับร่วมกัน และมีความคุ้นชิน แต่ในทางหนึ่ง ความคุ้นชินเหล่านั้น ก็หักล้างกับบัญญัติทางภาษาที่ถูกกำหนดเอาไว้โดยระเบียบ และหลักเกณฑ์ทางภาษาที่เป็น ‘ทางการ’ […]Read More
เรื่อง: ชวนะ ช่างสุพรรณ หลายวันก่อนหลังจากประชุมมาเกือบทั้งวัน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เห็นว่ามีสายเรียกเข้าที่ผมไม่ได้รับสายหลายเบอร์มาก แต่วันนั้นผมยังติดภาระกิจอีกหลายอย่าง เลยไม่ได้ติดต่อกลับจนกระทั่งดึก ผ่านมาอีกวันพอนึกขึ้นได้ ก็เลยไล่ดูรายชื่อเพื่อติดต่อกลับทั้งเบอร์ที่ไม่รู้จัก และเบอร์ที่รู้จัก หนึ่งในนั้นมีเบอร์ของรุ่นน้องซึ่งมักจะโทรพูดคุยกันในเรื่องของงานออกแบบและบทความอยู่บ่อยครั้ง เมื่อผมติดต่อกลับ…..ก็ได้ยินเสียงตามสายมาว่า “พี่เอคะ รบกวนช่วยเขียนบทความจากหัวข้อ… ชีวิตนี้บอกให้รู้ว่า… หน่อยนะคะ “ ตามด้วยเสียงหวานๆว่า “หนูให้เวลาพี่อาทิตย์หนึ่ง” ชีวิตนี้บอกให้รู้ว่า… ดังก้องอยู่ในหัวผมตั้งแต่วินาทีนั้นทันที บอกให้รู้อะไรว่ะ ผมถามกับตัวเอง ทำงานไป คิดงานไป ชีวิตนี้บอกให้รู้ว่าก็ เด้งขึ้นมาในหัวอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าคำถามนี้..ประเภทนี้ ก็เคยผุดขึ้นมาในความคิดอยู่หลายครั้ง บางครั้งก็ผุดขึ้นมาในช่วงเวลาที่ดิ่งลงถึงที่สุด บางครั้งก็มาในช่วงเวลาที่มีความสุขเต็มที่กับชีวิต แต่ผมก็ยังหานิยามคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้อยู่ดี จนเวลาล่วงเลยมาเข้าวันที่ห้านับตั้งแต่วันที่คุยกัน ชีวิตนี้ก็ยังไม่บอกอะไรผมเลย ว่าจะเขียนอะไร ตีความช่วงชีวิตที่ผ่านมายังไงให้มันสวยงาม มีสาระ ดูไม่ซ้ำกับคนอื่นๆ และเพียงพอที่จะสร้างมุมมองในการใช้ชีวิตให้กับคนที่อ่านได้บ้าง work life balance , work life flow , สร้างสมดุลย์ในการใช้ชีวิต ชีวิตเราสั้นอยากทำอะไรก็ทำ สิ่งที่คนใกล้ตายอยากบอก เรื่องราวที่อ่านผ่านๆ ตา ผ่านสมอง ก็หลั่งไหลเข้ามา […]Read More
หนึ่งในประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นโดยมนุษยชาติชนิดหนึ่ง ที่อาจจะขึ้นชื่อว่าเป็นความก้าวหน้า และเป็นพิษมหันต์ที่ผลักให้การตายและการฆาตกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ คงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ‘ปืน’ คือสิ่งนั้น จากท่อยัดลูกปรายโรยดินระเบิด มาสู่ขนาดพกพา ประสิทธิภาพสูง มุ่งหมายผลลัพธ์สูงสุด การถือครองอาวุธปืน ในความหมายหนึ่ง คือการประกาศสิทธิ์อันยิ่งใหญ่ อำนาจที่เหนือกว่า และพลานุภาพที่จะผลาญคนที่อยู่อีกฝั่งของไก แต่เมื่อไกปืนลูกเหนี่ยว คันนกถูกสับ ผู้ยิงก็ไม่ได้เป็นนายของมันอีกต่อไป ปืนเป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นวิถีทาง เป็น ‘กระบวนการ’ เพื่อนำไปสู่ปลายเหตุ เพื่อใช้จบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นระดับส่วนตัว หรือความขัดแย้งระดับประเทศในสมรภูมิ และก็ดูเหมือนว่าอาวุธปืน ได้กลายมาเป็นปัญหาในเชิงสังคม มากขึ้นทุกขณะ เมื่อเจ้าของอาวุธปืน นำมันไปพิฆาตคนที่ไม่มีส่วนรู้เห็น ไม่เคยมีประเด็น หรือมีความขัดแย้งใดๆ กันมาก่อน …. เมื่อปืนถูกใช้เพื่อระบายความเกลียดชัง…. เหตุการณ์กราดยิงอาวุธปืนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องถึงสามครั้ง สามช่วงเวลา ในสถานการณ์และผู้เสียชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงที่สหรัฐอเมริกา หนึ่งคือโรงเรียนประถม สองคือร้านนวด และสามคือสถานพยาบาล มีจุดร่วมที่ตรงกัน คือผู้ก่อเหตุ เป็นวัยรุ่นตอนต้น ถือครองอาวุธปืน มีประวัติความขัดแย้ง และมีปัญหาในด้านการเข้าสังคม ในแง่หนึ่ง การบุกกราดยิงของผู้ก่อเหตุ มีความหมายเชิงซ้อนของความพยายามที่จะ ‘ตายตกไปตามกัน’ กล่าวคือ วางแผนให้การกราดยิง คือพฤติกรรมสุดท้าย […]Read More
เรื่อง: ดร. วิชยุตม์ ทัพวงษ์ หากมองย้อนกลับไปตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา เราต่างคุ้นเคยกับตัวย่อสี่ตัวนี้ คือ V U C Aซึ่งมาจาก Volatility ความผันผวน , Uncertainty ความไม่แน่นอน , Complexity ความซับซ้อน และ Ambiugity ความคลุมเครือ ซึ่งมีการยืนยันชัดเจนว่ามาจากโรงเรียนทหารในสหรัฐอเมริการ U.S. Army War College ที่เขาใช้กันตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 90 หรือประมาณปลายสงครามเย็น ที่ผ่านมาการนำคำย่อนี้มาใช้นอกรั้ว U.S. Army War Collegeนั้น ทั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบันในทุกวงการไม่ว่าภาครัฐหรือภาคเอกชน จุดประสงค์ก็เพื่อปรับตัวให้เท่าทันและสอดคล้องกับการขับเคลื่อนของโลกปัจจุบันโดยแท้จริงนั่นเอง และหากย้อนกลับมามองที่บริบทของโลกเรานั้นจะพบว่า มีการขับเคลื่อนตลอดเวลา หรือที่เรียกว่า พลวัตของโลกนั่นเอง ซึ่งการขับเคลื่อนอย่างไม่หยุดนิ่งนี้เอง นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ การปกครอง รวมถึงด้านสุขภาพด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างง่าย ๆ และเห็นได้ชัดเจน คือ พลวัตทางเทคโนโลยีดิจิตอล ทำไมผมถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่าเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์โลกไปแล้วนะซิครับ เห็นชัดสุด […]Read More
ในสมัยกาลก่อน มีคำกล่าวว่า ‘ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน’ และการจะวัดประสิทธิภาพ กับค่าตอบแทนภายใต้ระบบการทำงาน ไม่ว่าจะในหน่วยงานหรือองค์กรใด ก็ขึ้นกับว่า คนคนหนึ่ง จะสามารถสร้างผลผลิตสุดท้ายได้มากน้อยแค่ไหน แนวคิดเกี่ยวกับการ ‘ทำมาก ได้มาก’ ก็มักจะตามมาเป็นลำดับขั้นที่สองของการวัดผลอยู่เสมอๆ … แต่เป็นในทางทฤษฏี เพราะในความสลับซับซ้อนของสังคม การทำงาน และการวัดประสิทธิภาพนั้น ไม่ได้สมบูรณ์แบบเต็มร้อย และการ ‘ทำมาก ได้มาก’ ก็เป็นเพียงอุดมคติในช่วงแรกเริ่มหรือ ‘Honeymoon Period’ ของวัยทำงานตอนต้น ที่เมื่อถูกเบียดบังด้วยความเหนื่อยล้าสะสม ความกดดันจากการคาดหวัง และการรับผิดชอบเกินกว่าหน้าที่ที่ได้รับแล้วนั้น ไฟและใจที่เคยมีให้ ก็เริ่มจะดับมอด และกลายเป็นอาการ ‘Quiet Quitting’ ที่กลายเป็นปัญหาในโลกการทำงานในขณะนี้ Quiet Quitting นั้น ไม่ใช่การเขียนใบลาออกไปยื่นฝ่ายบุคคล แล้วจากไปแต่เงียบๆ ไม่บอกใคร แต่มันคือกระบวนการของคนทำงานในยุคสมัยปัจจุบัน ที่เมื่อถูกความกดดันทับถม เกิดสภาวะความเครียดอย่างหนักหน่วง ได้ตัดสินใจ ‘ทำตามแต่เฉพาะขอบเขตที่ได้รับ’ และจะไม่ทำอะไรนอกเหนือไปกว่านั้น เข้าทำนอง ถ้าระเบียบให้ทำจาก A ถึง Z ก็จะเป็นตามนั้น ถ้าให้ตอกบัตร […]Read More