fbpx

10 วีรกรรมแท็กซี่ไทยดังไกลทั่วโลก

รื้อฟื้นความทรงจำ 10 วีรกรรมแท็กซี่ไทย ที่ดังไกลไปทั่วโลก Reasons To Read รื้อฟื้นความทรงจำ 10 วีรกรรมแท็กซี่ไทย ที่ดังไกลไปทั่วโลก 1. แท็กซี่ไทยถือไม้ไล่หวดพิธีกรเกาหลี วีรกรรมล่าสุดเกิดขึ้นวันที่ 5 ธันวาคม พิธีกรชาวเกาหลี ‘คิม อูรี’ และเพื่อนมาเที่ยวประเทศไทยและใช้บริการแท็กซี่บ้านเรา แต่เกิดเหตุแท็กซี่ไม่ยอมกดมิเตอร์เพราะต้องการราคาเหมา เมื่อตกลงกันไม่ได้แท็กซี่จึงไล่ชาวเกาหลีทั้งหมดลงจากรถพร้อมถือไม้ไล่ฟาดนักท่องเที่ยว เหตุการณ์นี้พิธีกรดังจากเกาหลีนำไปเล่าลงโซเชียลมีเดียส่วนตัว พร้อมโพสต์ลงอินสตราแกรม 2. ต่อยท้องแล้วปล้นเงินนักศึกษาสาวชาวจีน สิงหาคม  2557 นักศึกษาสาวชาวจีนอายุเพียง 20 ปีถูกแท็กซี่ขับพาไปแถวมอเตอร์เวย์ที่ไร้สายตาผู้คน ก่อนชกท้องของเธอหลายครั้ง แต่สาวชาวจีนตั้งสติได้และรีบวิ่งหนีไปขอความช่วยเหลือ ส่วนแท็กซี่รายนั้นก็ขับรถหนีไปพร้อมทรัพย์สิน ต่อมาตำรวจสามารถจับกุมแท็กซี่จอมโหดได้พร้อมหลักฐาน ส่วนข้ออ้างคือจำเป็นต้องใช้เงิน 3. ศึกชิงลูกค้าต่อหน้านักท่องเที่ยว ตุลาคม 2561 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้บริการเรียกรถแกร็บ (Grab) ให้มาส่งที่จุดหมาย แต่กลับเจอกลุ่มผู้ขับแท็กซี่ ร่วมด้วยตุ๊กตุ๊กมารุมล้อมและเริ่มใช้ความรุนแรง ทั้งด้วยคำด่า ถีบรถและคว้าอาวุธเหล็กออกมาขู่ เพื่อให้คนขับรถยอมออกมา สาเหตุคือไม่พอใจที่โดนแย่งลูกค้า นักท่องเที่ยวที่นั่งอยู่ด้านในด้วยความหวาดกลัวได้ถ่ายวิดีโอและโพสต์ลงโซเชียลพร้อมแคปชั่นว่า “Welcome to Chiang Mai” […]Read More

หุบเหวอันมืดมิดของบอลไทย

ตั้งแต่วันแรกที่ มิโลวาน ราเยวัช ได้รับตำแหน่งมาคุมทีมชาติไทยต่อจาก “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โค้ชทีมชาติคนใหม่ก็กลายเป็นตัวร้ายในสายตาของแฟนบอลไทยหัวใจฮาร์ดคอร์ทั้งหลายที่ชอบเกมบุกแบบเดินหน้าฆ่ามันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่งโดยทันที Reasons to Read ทำไมบอลไทยในยุคนี้ถึงพ่ายแพ้ทีมละแวกบ้าน การทำทีมของราเยวัชมาถูกทางหรือเปล่า ชำแหละสไตล์บอลไทยที่หลงทางไปไกลจนน่าผิดหวัง ตั้งแต่วันแรกที่ มิโลวาน ราเยวัช ได้รับตำแหน่งมาคุมทีมชาติไทยต่อจาก “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โค้ชทีมชาติคนใหม่ก็กลายเป็นตัวร้ายในสายตาของแฟนบอลไทยหัวใจฮาร์ดคอร์ทั้งหลายที่ชอบเกมบุกแบบเดินหน้าฆ่ามันจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่งโดยทันที ด้วยสไตล์ฟุตบอลเกมรับเน้นความแน่นอนเป็นพื้นฐานที่โค้ชเซอร์เบียผู้นี้พยายามวางรากฐานใหม่ ตามแนวคิดที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า “เราไม่ใช่ทีมชาติบราซิล ไม่ใช่ทีมชาติเยอรมัน เราคือทีมชาติไทย เราไม่ใช่ทีมใหญ่ เราคือทีมเล็ก และการที่ทีมเล็กจะสู้กับทีมใหญ่ได้ดี การสร้างเกมรับและการช่วยกันเล่นคือทิศทางที่เราจะไป” จากนั้นมา ไม่ว่าจะเจอกับใคร ทีมชาติไทยคือทีมที่เน้นเกมรับเอาไว้ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสโจมตีในลูกโต้กลับ หรือเรียกกันว่าสไตล์ “คาเตนัคโช่ (Catenaccio)” ที่นำพาทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแล้วครั้งเล่า หรือถ้ายกตัวอย่างล่าสุดก็คือการเล่นแบบ เลสเตอร์ ซิตี้ ในปีที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างสุดอลังการ ซึ่งการเล่นแบบเน้นผลแบบนี้มันน่าเบื่อหน่าย ชวนหลับ ขาดความบันเทิงอย่างรุนแรง เราจึงจะได้ยินเสียงยี้ดังระงมจากกลุ่มแฟนบอลที่ยังอาลัยทีมชาติไทยสไตล์ “ติกี–ตากา (Tiki-Taka)” ที่มีการต่อบอลสั้นๆ บนพื้นที่สวยงาม เกมรุกดุดันของอดีตโค้ชอย่างซิโก้ แต่ถึงอย่างไร เสียงยี้เและเสียงวิพากษ์วิจารณ์นั้นก็ค่อยๆ เบาลงไปเมื่อทีมชาติไทยภายใต้การคุมทีมของ มิโลวาน ราเยวัช นั้นสามารถเก็บ “ผลงาน” ได้ค่อนข้างน่าพอใจ ก่อนทัวร์นาเม้นท์“เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018” จะเริ่มขึ้น ทีมชาติไทยยุคใหม่มีสถิติชนะ 5 นัด แพ้ 5 นัด เสมอ 3 นัด   ทึ่ถึงแม้เรามักจะได้เห็นสกอร์จุ๋มจิ๋มๆ แบบ 1-0, 0-0, 2-1 หลายต่อหลายนัดก็ตาม แต่รูปแบบการเล่นถือว่ารัดกุมและแน่นอนมากขึ้นโดยเฉพาะในแนวรับ กูรูหลายท่านบอกนี่แหละคือการวางระบบเพื่ออนาคตบอลไทย เรามาถูกทางกันแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนสวยงามไม่มีอะไรเสียหาย มาจนกระทั่งจังหวะที่ อดิศักดิ์ ไกรสร สวมวิญญาณ “เทพบุตรเปียทองคำ โรเบอร์โต้ บาจโจ้” ในฟุตบอลโลก 1994 กดจุดโทษในนาทีสุดท้ายข้ามคาน ส่งทีมชาติไทยเต็งหนึ่งในรายการตกรอบคาบ้านเมื่อเย็นที่ผ่านมา ตกรอบรองชนะเลิศในรายการที่ วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิคของทีมชาติเราเคยบอกนักข่าวไว้ว่า “บอลระดับอาเซียน ใครคุมก็แชมป์” อย่างน่าอับยศที่สุด ตกลงเรามาถูกทางแล้วใช่มั้ย?  ในทัวร์นาเมนต์อย่าง  “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018″ ที่แข่งขันกันในอาเซียน และทีมไทยเป็นแชมป์เก่า พูดตรงๆ ว่าแฟนบอลตัวเล็กๆ อย่างผมอดเศร้าไม่ได้ที่ต้องเห็นทีมชาติไทยแสนรักนั้นไปเล่นอุดประตูเพื่อสกอร์ 0-0 กับทีมอย่างฟิลิปปินส์ หรือ&Read More

มีอะไรที่จำเป็นต้องรู้ เมื่อสหราชอาณาจักรจะเลิกรากับสหภาพยุโรป

การทำเรื่องขอแยกทางกันมาร่วม 20 เดือน Brexit จะประสบผลหรือไม่ ปราการด่านสุดท้ายคืออะไร? และอังกฤษได้อะไร เสียอะไรจาก Brexit และไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร Reasons To Read ทำเรื่องขอแยกทางกันมาร่วม 20 เดือน Brexit จะประสบผลหรือไม่ ปราการด่านสุดท้ายคืออะไร? อังกฤษได้อะไร เสียอะไรจาก Brexit และไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร 23 มิถุนายน 2016 ช่วงที่กระแสแห่งความหวาดวิตกเรื่องจำนวนผู้อพยพทะลักเข้าสู่ยุโรป และภาวะเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายประเทศ ทำให้ชาวอังกฤษ กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่ไม่พอใจกับการที่ต้องใช้เงินภาษีของพวกเขาไปช่วยเหลือ หรือที่เรียกว่า ‘Bail Out’ ประเทศสมาชิกที่แทบจะล้มละลาย จึงเรียกร้องให้ทำประชามติเพื่อหยั่งเสียงว่าชาวอังกฤษยังอยาก อยู่ร่วมหัวจมท้ายกับสหภาพยุโรปหรือไม่ และผลปรากฏว่าฝ่ายที่ต้องการ ถอนตัวเฉือนชนะไป ทำให้รัฐบาลอังกฤษต้องวางแผนเพื่อการถอนตัวจากสหภาพยุโรป หลังก่อร่างสร้างตัวด้วยกันมาตั้งแต่ปี 1973 ระดมสมองทำแผนแยกตัวกันมาสองปี ท่ามกลางดรามามากมายทั้งจากกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ไม่อยากแยกตัวจากอียู กับฝั่งสหภาพยุโรปที่บอกว่าถ้าออกไปแล้วก็อย่าหวังจะได้กลับมาร่วมเรียง เคียงหมอนกันอีก ในที่สุดเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ก็ประกาศชัดเจนแล้วว่าอังกฤษจะถอนตัวจากสหภาพยุโรปอย่าง เป็นทางการ ในวันที่ 29 […]Read More

คาราวานผู้อพยพอเมริกากลาง กับความฝันที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

ทำไมผู้อพยพจำนวนหลายพันคนจึงต้องรวมตัวกันเป็นกองคาราวาน เดินเท้าหลายพันกิโลเมตรเพื่อไปให้ถึงพรมแดนสหรัฐ ปัญหานี้โลกต้องช่วยกันแก้ Reasons To Read ทำความเข้าใจถึงการอพยพครั้งใหญ่ที่สะเทือนถึงอเมริกา ท่าทีของทรัมป์ต่อผู้อพยพ ทำไมผู้อพยพหลายพันคนจึงรวมตัวกันเป็นกองคาราวานเดินเท้าหลายพันกิโลเมตรเพื่อไปให้ถึงพรมแดนสหรัฐฯ ปัญหานี้โลกต้องช่วยกันแก้ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราจะได้ยินข่าวกลุ่มคนจำนวนมากรวมตัวกันเป็นขบวนใหญ่ เดินทางออกจากฮอนดูรัส โดยมีปลายทางคือสหรัฐอเมริกา ระหว่างทาง มีผู้อพยพจากกัวเตมาลาและเอลซัลวาดอร์เข้ามาร่วมขบวนด้วย จนกลายเป็น คาราวานผู้อพยพขนาดใหญ่ พวกเขามีความฝันคือ เดินทางไปให้ถึงสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส แต่การเอื้อมฝันนั้นไม่ง่ายเลย…ทำไมผู้อพยพต้องรวมตัวกันเป็นกองคาราวานขบวนคาราวานผู้อพยพประกอบไปด้วยชาวอเมริกากลางหลายพันคนที่เดินเท้ามามากกว่า 4,000 กิโลเมตรไปยังชายแดนสหรัฐฯ ผู้อพยพส่วนใหญ่มากจากฮอนดูรัส ประเทศที่มีประชากรเก้าล้านคนและมีปัญหาสังคมเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงจากกลุ่มอาชญากรรม สงครามยาเสพติด และการทุจริต นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีสถิติเหตุฆาตกรรมสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่งด้วยโดยปกติแล้ว ผู้อพยพจากอเมริกากลางมักพยายามหนีแผ่นดินเกิดไปยังสหรัฐฯ อยู่แล้ว แต่หากเดินทางเอง พวกเขาอาจถูกลักพาตัวโดยกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดหรือขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งบังคับขู่เข็ญให้พวกเขาทำงานให้ จึงทำให้ผู้อพยพตัดสินใจร่วมขบวนคาราวานขนาดใหญ่ครั้งนี้ เพื่อป้องกันตนเองกลุ่มผู้อพยพซึ่งหลายคนนำลูกเล็กเดินทางมาด้วย ระบุว่า พวกเขาต้องการไปสร้างอนาคตใหม่ให้ตนเองและครอบครัว เพราะหากอยู่ที่บ้านเกิด พวกเขามักจะถูกข่มขู่และทำร้ายจากแก๊งอาชญากรรมในเมืองของพวกเขาในขณะบางส่วนบอกว่า ต้องการมาหางานทำในต่างประเทศ หากได้เงินมากพอ จะได้ส่งกลับมาให้ญาติพี่น้องที่ประเทศบ้านเกิดได้ด้วย หลายคนมีญาติพี่น้องเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้แล้ว จึงเชื่อว่า ถ้าเข้าไปในสหรัฐฯ ได้ พวกเขายังมีที่พึ่งพิงโดนัลด์ ทรัมป์ มองอย่างไรประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันว่า กองทัพสหรัฐฯ […]Read More

สัมภาษณ์ โมริโนซุเกะ คาวากูชิ ‘โอตาคุ หมายเลข 1’ ของญี่ปุ่น

บางทีเราอาจจะสับสนกัน ระหว่างโอตาคุ กับ Loser ถึงแม้ดูจากภายนอก เราเห็นเขาเป็นชายหนุ่มที่ไม่รู้จักโต ฝังตัวเองอยู่ในโลกโมเดลหุ่นยนต์ มังงะ และการ์ดพลัง หน้าตาไม่ค่อยเอาไหน ใส่แว่นหนาๆ และพูดจาถึงเรื่องราวแปลกๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ไม่สนใจ แต่สำหรับ โมริโนซุเกะ คาวากูชิ เขาคือโอตาคุตัวพ่อ เขาคนนี้ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนและแวดวงวิชาการในญี่ปุ่นว่า ‘โอตาคุ หมายเลข 1’ เคยได้รับเชิญจาก TED องค์กรรวมนักคิดชั้นนำของโลกมาแชร์ความรู้ ไอเดีย และแรงบันดาลใจให้กับคนทั้งโลกมาแล้ว โมริโนซุเกะทำให้ผู้ฟังอึ้ง! เพราะเขาบอกว่า “โอตาคุเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของญี่ปุ่น” เพราะอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับโอตาคุ ล้วนมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาล มากกว่าชาเขียวและวาซาบิเสียอีก ดูเอาง่ายๆ วัดจากการ์ตูน Doraemon หรือ One Piece ที่ได้ตั้งรกรากถาวรบนอันดับ Top 20 หนังสือขายดีทั่วโลกไปเรียบร้อย แม้กระทั่ง Forbes ยังออกมาระบุว่า ฮัลโหล คิตตี้ คือแมวสาวที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 1 ของโลก ในหนังสือที่โมริโนซุเกะเขียนขึ้นชื่อ ‘Geeky-Girly Innovation : […]Read More

ส่วนผสมทางธุรกิจและความคิดสร้างสรรค์ ของ LOVEIS

ไม่มีใครสงสัยในฝีมือการเป็นนักแต่งเพลงหรือนักสร้างสรรค์งานเพลงของ บอย โกสิยพงษ์ ตั้งแต่ เบเกอรี่มิวสิค มาสู่ เลิฟอิส (LOVEiS) ในปัจจุบัน เขายังคงทำผลงานคุณภาพที่มีอิมแพ็คสูงเสมอมา แต่ในแง่ของการทำธุรกิจแล้ว เราก็คงไม่ต้องสงสัยในตัวเขาอีกเช่นกัน เพราะบอยยืนยันด้วยตัวเองว่า เขาทำไม่เป็นเอาเสียเลย มันเป็นอะไรที่เหมือนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับธรรมชาติของเขาโดยสิ้นเชิง แต่การทำงานสร้างสรรค์หรือการทำเพลงนั้น ก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยในเชิงธุรกิจ ไม่งั้นจะทำงานต่อไปได้อย่างไรถึงจุดหนึ่ง บอยจึงต้องมองหาผู้ที่จะมาเป็น หลังบ้าน คอยดูแลบริหารจัดการให้ธุรกิจสามารถหล่อเลี้ยงฝั่งความคิดสร้างสรรค์ให้เดินหน้าต่อไปได้ และคนคนนั้นที่เข้ามาก็คือ เทพอาจ กวินอนันต์ หรือ จี๊บ หลายคนคงร้องอ๋อ!ถ้าบอกว่าเขาเป็นนักธุรกิจเจ้าของร้าน HOBS (House of Beers)ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเบียร์ชั้นนำจากต่างประเทศ อาทิ Stella Artois, Hoegaarden, Leffe Brune และ ฟูลมูน ไวน์คูลเลอร์โดยเทพอาจได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ ค่ายเพลง เลิฟอิส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่มีความแตกต่าง แต่กลับกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างน่าประหลาดเพราะจี๊บ-เทพอาจ ไม่ใช่นักธุรกิจจ๋า แต่มีความเป็นศิลปิน อยากเข้าใจศิลปิน ถึงขั้นโดดลงมาจับไมค์ออกซิงเกิลเองด้วย!  ฟังดูแล้วน่าสนุก เมื่อฝั่งบอยก็ได้กลับไปสวมหมวกนักแต่งเพลงที่เขาถนัดเพียงอย่างเดียว ได้ทำเพลงอย่างสบายใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องธุรกิจขณะเดียวกันก็ได้หุ้นส่วนใหม่ที่ถนัดทำธุรกิจ แถมยังมีความเป็นศิลปินอย่างเทพอาจเข้ามาช่วยเลิฟอิสจึงเสมือนใส่เกียร์เดินหน้าเต็มตัว ไอเดียต่างๆ […]Read More

ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล Behind The Scene ! กับ 10 คำถามที่ไม่เคยตอบ

หากพูดถึงวงการภาพยนตร์ไทย เชื่อว่าชื่อของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ต้องติดอยู่ในใจของใครหลายคนจากการทำงานอย่างต่อเนื่องกว่า 50 ปี และหากการออกศึกของพระนเรศวรเต็มไปด้วยอุปสรรค ดูเหมือนการทำหนังเรื่องนี้ของท่านมุ้ยก็ดูไม่แตกต่างกันมากนัก มีคำวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับตัวหนังและผู้สร้างตลอดระยะเวลา 5 ปี ทั้งเรื่องของเนื้อหาที่ถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์ รวมถึงข้อสงสัยต่องบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและหากคุณเป็นหนึ่งในผู้ชมที่มีข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้ นี่คือ 10 คำตอบจาก ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล 1.GM : หลายคนวิจารณ์ว่า การสร้างภาพยนตร์ของท่านในระยะหลัง ไม่ว่าจะเป็นสุริโยไทหรือพระนเรศวรเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นกระแส ‘ชาตินิยม’ ท่านมองอย่างไรม.จ.ชาตรีเฉลิม : สำหรับตัวผม แค่อยากให้คุณไปดูหนังผม แล้วชอบหรือไม่ชอบ ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องชาตินิยมหรือไม่นั้น ผมคิดว่ามันไม่มีความสำคัญกับผมเท่าไหร่ ดูอย่างเมื่อก่อนสิ ถนนทั้งสายจะโล่งไปหมดเวลาเขาทรายจะขึ้นชกแต่ละที หรืออย่างตอนนี้ทุกคนก็แทบจะหยุดทำทุกอย่างหมดเพื่อมาดูคนไทยกับคนจีนตบกัน หมายถึงวอลเลย์บอลนะครับ (หัวเราะ) พอคนไทยชนะที น้ำตาไหลพรากเลยก็มี นี่ก็คือชาตินิยม ผมไม่จำเป็นต้องทำหนังหรืออะไรเลย เพราะนี่มันก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาตินิยมได้ง่ายที่สุดแล้วส่วนจุดประสงค์จริงๆ ของหนัง คือกระตุ้นให้คนสนใจประวัติศาสตร์ ความสำเร็จของหนังคือทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ในประวัติศาสตร์ของประเทศ เวลามีคนสงสัยว่าท่านมุ้ยผิดเว้ย ผมจะคิดตลอดว่า เออ… คุณถูก ที่คุณคิดว่าผมผิด แต่คุณก็ต้องไปหามาว่าผมผิดตรงไหน แล้วคุณก็จะได้รู้ประวัติศาสตร์เพิ่มมากขึ้น แล้ววันหนึ่ง เขาก็จะมาโต้เถียงว่าท่านมุ้ยผิดอย่างนี้ความจริงต้องเป็นอย่างนี้ ผมก็จะโอเค […]Read More

มีเดียคอม (ประเทศไทย) ผนึกกำลังเจดับบลิวที ร่วมมือผลักดันแคมเปญ UN Women ส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพสตรี

มีเดียคอม (ประเทศไทย) เอเยนซี่ผู้บริหารและซื้อขายสื่อระดับโลกในเครือ กรุ๊ปเอ็ม พร้อมด้วยเจดับบลิวที และพันธมิตรสื่อ เตรียมเดินเครื่องเต็มสูบ ร่วมผลักดันแคมเปญ “16 Days of Activism Against Gender Based Violence” ในเดือนพฤศจิกายนนี้ จากจุดยืนของการผสมผสานระหว่างความเป็น Content + Connections เอเยนซี่ ในการเชื่อมต่อระหว่าง
แบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนาการทำงานด้านการสร้างสรรค์เนื้อหาและบริหารพื้นที่สื่อด้วยเครื่องมือทางการตลาด และสื่อแบบครบวงจร มีเดียคอม (ประเทศไทย) มีความพร้อมที่จะทำการประชาสัมพันธ์ ไปพร้อมๆ กับการร่วมส่งเสริมคุณค่าและความตระหนักรู้ในศักยภาพของผู้หญิง ตามแนวคิดในการสนับสนุนความเท่าเทียมกันทางเพศของ UN Women ทั้งนี้ “UN Women” คือ องค์กรระดับนานาชาติที่มุ่งส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ พร้อมขยายขีดความสามารถของผู้หญิงอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อให้ผู้หญิงและเด็กหญิงนั้นได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน และได้รับความยุติธรรมจากสังคมอย่างแท้จริง โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้หญิงในสังคม “ในฐานะเจ้าของรางวัลเหรียญทอง AGENCY OF THE YEAR 2017 มีเดียคอม มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมกับ WPP ในการเป็นผู้ขับเคลื่อนแคมเปญของ UN Women โดยเราได้ทุ่มเททุกสรรพกำลัง […]Read More

สัมภาษณ์อาฉี ! ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต : ดนตรี การแสดง และครอบครัว

ซีรีส์เลือดข้นคนจาง กำลังมาแรงในบ้านเรา ซึ่งนอกจากเนื้อเรื่องเข้มข้น ชวนลุ้นระทึกแล้ว ความน่าสนใจของละครเรื่องนี้ยังเป็นผลมาจากทีมนักแสดงคุณภาพชุดใหญ่ ตั้งแต่รุ่นใหญ่เก๋าเกมไปจนถึงดาวรุ่งอันน่าจับตา และหนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้นเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้านิ่งยิ้มน้อย รักเสียงเพลง และรักแม่ยิ่งกว่าอะไร อย่าง ‘ฉี’ ลูกชายของประเสริฐ (ตัวละครที่ถูกฆ่าและกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของปมฆาตกรรมปริศนา) บทบาทฉีคือผลงานการแสดงเต็มตัวเรื่องแรกของนักแสดงหน้าใหม่ ‘ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต’ หนึ่งในศิลปินจากโปรเจกต์พัฒนาศิลปิน 9×9 ของค่าย 4NOLOGUE การได้มาซึ่งบทละครอันซับซ้อนซ่อนปมตัวละครไว้มากมาย ทีมเขียนบทต้องพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจมุมมองชีวิตของนักแสดงหลายๆ คน เพื่อนำไปพัฒนาตัวละครให้ใกล้เคียงกับบุคลิกของพวกเขามากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่คาแรกเตอร์ ‘ฉี’ จะออกมาคล้ายกับเรื่องราวในชีวิตของไอซ์ในหลายๆ แง่ ตั้งแต่ความรักในเสียงดนตรี ชอบเล่นกีต้าร์ รวมถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนความคิดเด็กคนหนึ่ง ให้โตขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้ในฉับพลัน นั่นคือการสูญเสียพ่อ การสูญเสียพ่อในชีวิตจริงได้สร้างบทเรียนครั้งสำคัญให้กับไอซ์ ทำให้เขาได้เข้าใจว่าชีวิตเป็นสิ่งที่แสนสั้น ไอซ์เลือกทำตามความฝันความชอบของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องการให้มีอะไรค้างคาในวันที่ตัวเขาต้องจากโลกใบนี้ไปเช่นกัน แม้จะไม่ได้เลือกเป็นวิศวกรเหมือนที่พ่อเคยหวัง แต่ก็ใช้ชีวิตที่พ่อให้มาอย่างดีที่สุดเพื่อระลึกถึงพ่อในแนวทางของตัวเอง เมื่อพิจารณาถึงความจริงที่ว่าอายุไอซ์เพิ่งจะเข้าเลขสอง (ในทางกฎหมายถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ) เราก็อดประทับใจในมุมมองต่อชีวิตที่ไม่ธรรมดาของไอซ์ไม่ได้ ไม่เพียงแต่มีเป้าหมายที่แน่วแน่ พร้อมที่จะทำอย่างที่ใจปรารถนา ยังเปี่ยมไปด้วยพลังบวก ไม่กลัวที่จะเรียนรู้จากเหตุการณ์ทั้งดีและร้าย เพราะพรจากฟ้าไม่ได้มาในรูปแบบที่งดงามเสมอไป ชื่อจริงของคุณเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Paris’ มีที่มาอย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับเมืองปารีสไหมไอซ์ : ไม่เกี่ยวกับเมืองปารีสหรอกครับ (หัวเราะ) แต่ก็มีที่มาจากชื่อแม่กับพ่อผมมารวมกัน แม่ของผมชื่อภิพพา […]Read More

เทพิน อริยปิติพันธ์ นักธุรกิจหญิงเก่ง กับความสำเร็จที่ก้าวข้าม ‘คำสบประมาท’

“เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพูดกับเราว่า ผู้หญิงทำธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จหรอก” วันนี้เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ เทพิน อริยปิติพันธ์ หญิงเก่งผู้คร่ำวอดอยู่ในวงการธุรกิจอีเวนต์ในบ้านเรามาหลายสิบปี เธอคือ Client Management Director & CI group Founder หรือ ครีเอท อินเทลลิเจ้นซ์ หญิงเก่งผู้นี้เติบโตในครอบครัวคนจีน เรียกได่ว่าชีวิตเธอยังกะละครเลือดข้นคนจางเลยทีเดียว (อาจจะไม่ได้ทรหดเหมือนในละครขนาดนั้น) เทพิน หันเข้าสู่เส้นทางธุรกิจ เมื่ออายุเพียง 21 ปี และเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังไม่ค่อยมีการยอมรับ “ผู้หญิง” ในบทบาทของนักธุรกิจเท่าไหร่ ครั้งหนึ่งเธอเคยโดนสบประมาทโดยนักธุรกิจรุ่นพี่ว่า “ผู้หญิงทำธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จหรอก” และนั่นเปรียบเสมือนแรงกระตุ้นที่ทำให้เธอประสบความเส็จในทุกวันนี้  เทพิน ถือเป็นหัวเรือใหญ่ของงานคอนเสิร์ตดัง ๆ ในบ้านเราอย่าง Season of Love Song หรือ Samed In Love ซึ่งแม้วงการดนตรีในบ้านเราจะอยู่ในช่วงขาลง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอหยุดความตั้งใจที่จะพัฒนาอีเวนต์บันเทิงดี ๆ สู่คนดู  เราไปพบกับบทสัมภาษณ์ที่จะทำให้รู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้น “เทพิน อริยปิติพันธ์” GM : ได้ยินมาว่าคุณเป็นคนที่เข้าเรียนเร็ว และก็เริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยเทพิน : เราเข้ามหาลัยตอนอายุ 16 ย่าง 17 ปี แน่นอนเรารู้สึกว่าเรียนเร็วกว่าคนอื่น ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงท้ายของการมีสอบเทียบ […]Read More