fbpx

การชุมนุมในฮ่องกงจะเข้มข้นขึ้น!เมื่อ โจชัว หว่อง พร้อมร่วมขับไล่ผู้นำฮ่องกงทันทีหลังพ้นโทษ

ลาออกจากตำแหน่งซะ!! เพราะคุณไม่ได้มากจากการเลือกตั้ง! ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากเรือนจำ โจชัว หว่อง ประกาศตัวชัดเจนว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อถอนร่างกฎหมายครั้งนี้ บทความ : เกณิกา รวยธนพานิช Reasons to Read โจชัว หว่อง เป็นแกนนำ ‘การปฏิวัติร่ม’ เมื่อปี 2014 ที่ทำให้ชาวฮ่องกงออกมาชุมนุมปิดถนนอยู่นานถึง 79 วัน ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น หลังจากก้าวเท้าออกจากเรือนจำ โจชัว หว่อง ประกาศตัวชัดเจนว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อถอนร่างกฎหมายครั้งนี้ด้วย รวมถึงขอให้ นางแคร์รี หลำ ยุติทุกบทบาททางการเมือง เนื่องจากไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน เหตุการณ์การชุมนุมในฮ่องกง เพื่อยับยั้งร่างกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ประเทศจีนเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีรายงานว่า วันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ (16 มิถุนายน) มีประชากรออกมาร่วมประท้วงบนถนนมากถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งสิ้นราว 7 ล้านคน ก่อนวันถัดมา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญของฮ่องกง ‘โจชัว หว่อง’ จะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ หลังใช้ชีวิตอยู่ในนั้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม จากสาเหตุการเป็นผู้นำ ‘การปฏิวัติร่ม’ เมื่อปี 2014 […]Read More

ทำไมปูกับกุ้งที่สุกแล้ว ต้องเปลี่ยนสี?

ซีฟู้ดเลิฟเวอร์ทั้งหลายเคยสังเกตกันไหมว่าสีของเปลือกกุ้งเปลือกปูที่ต้องแกะกะเทาะออกก่อนที่จะได้ลิ้มรสความอร่อยนั้น มันแตกต่างจากตอนที่ยังไม่สุกอย่างชัดเจน ซีฟู้ดเลิฟเวอร์ทั้งหลายเคยสังเกตกันไหมว่าสีของเปลือกกุ้งเปลือกปูที่ต้องแกะกะเทาะออกก่อนที่จะได้ลิ้มรสความอร่อยนั้น มันแตกต่างจากตอนที่ยังไม่สุกอย่างชัดเจน โดยตอนที่ยังดิบๆ จะมีสีออกเขียว น้ำเงิน น้ำตาล อะไรทำนองนั้น แต่พอสุกแล้วกลับเปลี่ยนเป็นสีส้มดูน่ากินขึ้นมาทันที คำตอบคือ… ก่อนจะไปพบกับคำตอบ เราขออธิบายถึงสาเหตุที่กุ้งและปูดิบๆ ไม่เป็นสีส้มก่อน นั่นเป็นเพราะในเปลือกของกุ้งและปูจะมีโปรตีนชื่อ ‘อัลฟา-ครัสตาไซยานิน’ (α-crustacyanin) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งสิ่งที่ทำให้กุ้งและปูมีสีส้มน่ากินก็คือรงควัตถุหรือสารสร้างเม็ดสีชื่อ ‘แอสตาแซนธิน’ (astaxanthin) ที่อยู่ในโปรตีนชนิดนี้ แต่สาเหตุที่แอสตาแซนธินไม่แสดงสีส้มแดงออกมา ก็เป็นเพราะถูกโปรตีนอีกชนิดหนึ่งควบคุมไว้ ซึ่งเป็นโปรตีนที่ได้จากการกินแพลงก์ตอนหรือสาหร่ายทะเลสีแดง ชื่อว่า โปรตีน ‘ครัสตาไซยานิน’ (Crustacyanin) ทำให้เรามองเห็นกุ้งกับปูสดๆ เป็นสีออกเขียว น้ำเงิน หรือน้ำตาล ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ของกุ้ง ถามว่าทำไมแอสตาแซนธินต้องถูกควบคุม ก็เพื่อประโยชน์ในการพรางตัวจากนักล่าในท้องทะเลนั่นเอง แล้วทำไมตอนมาอยู่บนจานอาหารในสภาพสุกพร้อมทานแล้ว พวกมันถึงเป็นสีส้มแดงล่ะ? การจะทำให้กุ้งหรือปูสุกนั้นแน่นอนว่าต้องใช้ ‘ความร้อน’ ซึ่งเจ้าโปรตีนครัสตาไซยานินไม่สามารถทนความร้อนได้ก็จะสลายตัวไปในที่สุด และปล่อยให้แอสตาแซนธินเป็นอิสระสามารถแสดงสีส้มแดงได้อย่างเต็มที่ ในทางวิทยาศาสตร์การที่แอสตาแซนธินอยู่กับครัสตาไซยานินนั้นเป็นการทำอันตรกิริยาที่ทำให้เกิดโปรตีนเชิงซ้อน และเมื่อถูกความร้อน โปรตีนเชิงซ้อนนี้จะเกิดการเสียสภาพธรรมชาติทำให้แอสตาแซนธินสามารถแสดงสีส้มแดงได้ นอกจากความร้อนแล้ว ความเป็นกรด-ด่างที่สูงหรือต่ำเกินไปก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โปรตีนเชิงซ้อนนี้เสียสภาพได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเอากุ้งไปย่าง นึ่ง ต้ม หรือแค่บีบน้ำมะนาวราดก็ทำให้มันเปลี่ยนสีได้แล้วRead More

อาหาร ความรัก และหน้าที่กับภารกิจใหม่ครั้งใหญ่ของ ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี

รู้จักตัวตนอีกด้านหนึ่งของนักธุรกิจหนุ่ม ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้มองเห็นศักยภาพในอาหารที่ที่จะปลุกปั้นเป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าได้ในระดับโลก Reasons to Read รู้จักตัวตนอีกด้านหนึ่งของนักธุรกิจหนุ่ม ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้มองเห็นศักยภาพในอาหารที่ที่จะปลุกปั้นเป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าได้ในระดับโลก Food Factors คือ หนึ่งในธุรกิจหลักในเครือบุญรอดที่จะใช้ศักยภาพทางอาหารของประเทศไทย สร้างงานสร้างอาชีพให้คนไทยอีกมากมาย ความรัก ความชอบ กับ ภาระ ความรับผิดชอบ เปรียบเสมือนศิลปะที่ทุกคนจะต้องสร้างสมดุลให้กับชีวิต ให้สามารถบาลานซ์ทั้งสองฝั่งได้อย่างลงตัว และกับชายหนุ่มคนนี้ ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาหลากหลาย ทั้งในฐานะทายาทธุรกิจเครื่องดื่มระดับแสนล้าน พิธีกรรายการโทรทัศน์ นักแข่งรถ เจ้าของร้านอาหารที่ทำด้วยใจรักอย่างพิถีพิถัน ทั้งหมดนี้คือส่วนผสมของ ‘ต๊อด’ – ปิติ ภิรมย์ภักดี ในวัย 40 ปี ที่ยังมีความอยากรู้ อยากลอง ซึ่งความรักในอาหารที่ถูกบ่มเพาะมาตั้งแต่ในครอบครัว ทำให้เขาไม่ลังเลที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้นำของ Food Factors 1 ใน 6 ธุรกิจหลักของเครือบุญรอด ที่รวมธุรกิจทางด้านอาหารแบบครบวงจร ให้มาอยู่ภายใต้การบริหารงานเดียวกัน พร้อมจัดกระบวนทัพใหม่ และตั้งเป้าหมายสร้างรายได้ 5,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี […]Read More

บาป 7 ประการในทรรศนะของคานธี มีอะไรบ้าง?

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแถลงจุดยืนลาออกจาก ส.ส. เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองขัดกับมติของพรรค โดยยกเรื่อง บาป 7 ประการในทรรศนะของคานธี มาอ้างถึง หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า แล้วบาป 7 ประการดังกล่าวที่ว่านั้นได้แก่อะไรบ้าง GM Live มีคำตอบ หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแถลงจุดยืนลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองขัดกับมติของพรรค โดยยกเรื่อง ‘บาป 7 ประการในทรรศนะของคานธี’ มาอ้างถึง หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า แล้วบาป 7 ประการดังกล่าวที่ว่านั้นได้แก่อะไรบ้าง GM Live มีคำตอบ มหาตมะ คานธี บิดาแห่งประชาชาติของชาวอินเดีย เคยกล่าวไว้เมื่อยังมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในวงการเมืองอินเดีย ถึง ‘บาป 7 ประการ’ แม้วันนี้เวลาจะผ่านมานับศตวรรษแล้ว แต่ทุกข้อก็ยังสากลและคงมีไว้ซึ่งความทันสมัยอยู่เสมอ ราวกับท่านเพิ่งพูดไปเมื่อวาน ยิ่งหากพิเคราะห์พิจารณาการเมืองไทยทุกวันนี้ก็ยิ่งรู้สึกน่าเศร้าเพราะเต็มไปด้วยบาปที่คานธีกล่าว โดยบาปทั้ง 7 ประการในทรรศนะของคานธี มีดังนี้ 1.เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ คือการเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงประชาชนหรือไม่ยึดหลักการของเสียงส่วนใหญ่ การเล่นการเมืองที่มีลักษณะส่งเสริมการรัฐประหารแต่ไม่ส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย […]Read More

ทำไมอวัยวะเพศชายต้องแข็งตัวทุกเช้าตอนตื่น?

ใครว่านกเขาจะขันแรงแค่ยามเช้า เพราะจริงๆ แล้วตลอดทั้งคืนมันก็ขยันขึ้นมาขันเช่นกัน แต่เป็นการขันแบบหลับๆ ตื่นๆ ก็แค่นั้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะองคชาตแข็งตัวขณะหลับ นั่นเอง ทันทีที่ได้ยินเสียงไก่ขันในตอนเช้า คุณสุภาพบุรุษทั้งหลายโดยเฉพาะหนุ่มๆ คงจะรู้ดีว่า ‘นกเขา’ ของตัวเองก็ดูเหมือนจะกำลังขันแข่งกับไก่อยู่ เพื่อให้สุภาพสตรีที่หลงเข้ามาอ่านเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น ก็ต้องอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่าเรากำลังพูดถึงการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในตอนเช้า และถ้าคุณสงสัยว่าทำไมมันต้องชูชันขึ้นมาในเวลานั้นด้วย คำตอบคือ… จริงๆ แล้วอวัยวะเพศชายไม่ได้แข็งเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น แต่มันแข็งสลับอ่อนอยู่ตลอดทั้งคืน ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะองคชาตแข็งตัวขณะหลับ (Nocturnal Penile Tumescence) เป็นอาการปกติของคุณผู้ชายที่มีสมรรถภาพทางเพศสมบูรณ์ หรือภาษาชาวบ้านก็คือยังเตะปี๊บดังอยู่นั่นเอง ปกติภาวะนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 3-5 ครั้งในเวลากลางคืน ขณะร่างกายอยู่ในภาวะหลับตื้น (REM sleep) โดยจะแข็งสลับอ่อนอย่างละครึ่งของเวลาที่นอนหลับ เช่น ถ้านอน 8 ชั่วโมง อวัยวะเพศก็จะแข็งรวมๆ ประมาณ 4 ชั่วโมง สำหรับสาเหตุของการแข็งตัวขององคชาติในตอนเช้านั้น เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่ชื่อว่า ‘นอร์อะดรีนาลิน’ (Noradrenaline) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ลดการแข็งตัวขององคชาติ แต่ในตอนกลางคืนจนถึงเช้าฮอร์โมนนี้จะไม่ค่อยถูกปล่อยออกมามากนัก ทำให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวได้ง่ายขึ้น กลับกันในช่วงเวลากลางคืนจะมีฮอร์โมนอีกตัวที่ถูกปล่อยออกมานั่นคือฮอร์โมน ‘ฟอลลิเคิลสติมูเลติง’ (Follicle Stimulating Hormone) […]Read More

ถ้าแมลงสาบรอดตายจากอาวุธนิวเคลียร์แล้วทำไมถึงตายด้วยยาฆ่าแมลง?

ความอึด ตายยาก คือคุณสมบัติขึ้นชื่อของแมลงสาบพอๆ กับเรื่องกลิ่นตัวของมัน และว่ากันว่าอาวุธนิวเคลียร์ก็ทำอะไรมันไม่ได้ เรื่องนี้…จริงเหรอ? คำตอบคือ… แมลงสาบ แมลงที่มีกลิ่นเหม็นสาบสมชื่อ พบเห็นได้ตั้งแต่ในบ้านเรือนยันกองขยะ ขึ้นชื่อเรื่องความสกปรกชนิดที่ไม่มีใครอยากจะสัมผัส และอีกเรื่องที่ถือว่าชื่อเสียงของเจ้าแมลงสาบนั้นดังกระฉ่อนพอๆ กันก็คือเรื่องของความอึด ตายยาก ที่ว่ากันว่าอาวุธนิวเคลียร์ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ว่าแต่อึดอย่างนั้นจริงเหรอ? ก็ในเมื่อยาฆ่าแมลงในร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านยังฆ่าแมลงสาบได้เลย ถ้าว่ากันตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถตอบได้สั้นๆ ตรงนี้เลยว่า “ยังไม่พบหลักฐานที่ยืนยันว่าแมลงสาบรอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ได้” มีเพียงความจริงที่ว่า โดยทั่วไปแมลงมีความสามารถในการต้านทานต่อรังสีมากกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลัง เนื่องจากขนาดตัวที่เล็กของของพวกมันและยังมีระบบโครงกระดูกภายนอก (Exoskeleton) ที่พบในสัตว์ประเภทแมลงหรือหอย ซึ่งเป็นโครงสร้างแข็งที่ช่วยปกป้องร่างกายจากภายนอก และยังเป็นที่รู้กันดีว่าแมลงสาบบางชนิดสามารถอยู่รอดได้แม้จะได้รับสารอาหารอย่างจำกัด แถมยังขยายพันธุ์ได้เร็วอย่างน่าตกใจ ด้วยสาเหตุเหล่านี้นักวิจัยหลายคนจึงเชื่อว่าแมลงสาบน่าจะอยู่รอดจากกัมมันตภาพรังสีได้นานกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลัง ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ คำตอบอาจจะรอเราอยู่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาของนักวิจัยจากสถาบันสรีรวิทยาพืชและนิเวศวิทยาในเซี่ยงไฮ้ ที่หาสาเหตุว่าทำไมแมลงสาบถึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แสนจะเลวร้ายได้ และคำตอบที่ได้ก็คือเป็นเพราะ ‘ยีน’ นั่นเอง นักวิจัยพบว่าแมลงสาบมียีนที่ช่วยให้พวกมันรับรู้กลิ่นอาหารได้ไวมากโดยเฉพาะอาหารที่กำลังบูดเน่า และยังมียีนที่คอยควบคุมระบบถอนพิษในอวัยวะภายใน เป็นเหตุผลที่ว่าอาหารเน่าเสียไม่สามารถทำอะไรแมลงสาบได้ ต่างจากมนุษย์ที่ต้องมีอาการท้องเสียหรืออาจจะรุนแรงกว่านั้นได้ หากกินของเสีย ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแมลงสาบยังมียีนที่ช่วยให้พวกมันมีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง สามารถต่อสู้กับภาวะติดเชื้อได้ หรือแม้กระทั่งยีนที่ช่วยให้พวกมันสร้างแขนขาขึ้นมาใหม่ทดแทนส่วนที่ขาดหรือหลุดไปได้ และแมลงสาบตัวเมียก็สามารถออกลูกออกหลานได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวผู้ด้วย นักวิจัยจึงสรุปว่ายีนที่พบในแมลงสาบเหล่านี้นี่แหละที่ช่วยให้พวกมันมีชีวิตรอดและอยู่มาทุกยุค และคงจะอยู่ต่อไปอีกนานไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จะสูญพันธุ์ไปก็ตาม แต่เดี๋ยวก่อน!! นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าแมลงสาบจะอยู่ยั้งยืนยง และเป็นสายพันธุ์ที่ครองโลกหรอกนะ ก็เพราะโลกนี้ยังมียาฆ่าแมลงอยู่น่ะสิ ถึงจะยังไม่แน่ชัดว่าแมลงสาบรอดจากอานุภาพของนิวเคลียร์ได้จริงหรือไม่ แต่ที่จริงแท้แน่นอนก็คือทุกวันนี้แมลงสาบจอมอึดตายได้ด้วยยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นสารเคมีที่มีผลต่อระบบประสาทของแมลง […]Read More

องค์การอนามัยโลกประกาศ‘การข้ามเพศ’ ไม่ใช่ความผิดปกติอีกต่อไป

หนึ่งในสิ่งที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นก็คือการยอมรับความแตกต่างของคนอื่นนี่แหละ และแล้วองค์การอนามัยโลกก็ประกาศให้ ‘การข้ามเพศ’ (Transgender) เป็นความบกพร่องทางจิตอีกต่อไป ใครที่ยังเหยียดเพศด้วยเหตุผลนี้กันอยู่ระวังจะเด๋อไม่รู้ด้วย Reasons to Read สมาชิกองค์การอนามัยโลกได้ลงมติให้มีการแก้ไขบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 11 หรือ ICD-11 และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ใน ICD-11 นั้นไม่มีหมวดที่พูดถึงความผิดปกติของอัตลักษณ์ทางเพศ และการระบุว่าเป็นคนข้ามเพศก็ไม่ได้ถูกพิจารณาว่าเป็นความผิดปกติอีกต่อไป เช่นเดียวกับความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงร่างกายตัวเอง ปัจจุบันมี 194 ประเทศและรัฐสมาชิก ที่ได้ตกลงให้มีการแก้ไข ICD-11 โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2565 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) หรือ WHO ไม่ถือว่า ‘การข้ามเพศ’ (Transgender) เป็นความบกพร่องทางจิตอีกต่อไป หลังจากเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา สมาชิกของ WHO ได้ลงมติให้มีการแก้ไขบัญชีจำแนกทางสถิติระหว่างประเทศของโรคและปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 11 (International Statistical Classification of Diseases and Related Health […]Read More

แร่หายาก 17 ชนิดสำคัญอย่างไรทำไมจีนถึงใช้ต่อรองการค้ากับสหรัฐฯ

หลังจากสหรัฐอเมริกาสั่งแบนหัวเว่ย ประเทศจีนก็มีข้อต่อรองใหม่ นั่นคือแร่หายาก 17 ชนิดที่จีนเป็นผู้ควบคุมการผลิตรายใหญ่ของโลก ซึ่งสหรัฐนำเข้าจากจีนมากถึง 80% หากเป็นเช่นนี้แล้วผู้ชนะในสงครามนี้จะเป็นใครกัน? Reasons to Read แร่ดังกล่าวมีคุณสมบัติทางแม่เหล็กและการนำไฟฟ้า ซึ่งใช้ในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอาวุธสงคราม สหรัฐอเมริกานำเข้าแร่เหล่านี้จากจีนมากถึง 80% ในช่วงปี 2557-2560 จึงไม่แปลกที่จีนจะใช้แร่ผลิตชิปเป็นตัวประกัน ในยุคที่โลกถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัย ดูเหมือนว่าการทำสงครามโดยใช้เศรษฐกิจและการค้าขายเป็นเครื่องมือโจมตีประเทศฝ่ายตรงข้ามจะสร้างผลกระทบได้มหาศาลราวกับการทิ้งระเบิดในสงครามสมัยก่อน และในตอนนี้สองประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ ก็กำลังทำสงครามเช่นนั้นโดยมีเทคโนโลยีระหว่างประเทศเป็นตัวประกัน แม้สงครามเทคโนโลนีและการค้าจะไม่คร่าถึงชีวิต แต่ก็อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศแปรปรวนจนเกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศได้ ซึ่งตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศห้ามใช้อุปกรณ์ผลิตเครื่องมือสื่อสารจากต่างประเทศเนื่องด้วยอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง ก็ทำให้บริษัทผลิตสมาร์ตโฟนอย่างหัวเว่ยถูกแบนจากประเทศสหรัฐอเมริกาในทันที และอย่างที่รู้กัน บริษัทกูเกิลของสหรัฐฯ ได้ประกาศจะหยุดพัฒนาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของหัวเว่ยในอนาคตด้วย การสั่งแบนหัวเว่ยในครั้งนี้เท่ากับว่า กูเกิลจะเสียรายได้จากการเลิกเป็นระบบปฏิบัติการให้หัวเว่ย ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่วนหัวเว่ยก็มีสิทธิเสียรายได้เนื่องจากผู้ใช้อาจเปลี่ยนใจไปใช้มือถือยี่ห้ออื่นแทนเช่นกัน ทว่าหลังจากมีการโต้กลับกันไปมาระหว่างสองประธานาธิบดี ล่าสุดจีนก็มีลูกไม้ใหม่ที่ใช้เป็นตัวประกันเพื่อทำให้สหรัฐฯ เห็นว่า “คุณขาดเราไม่ได้”ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ แร่หายาก 17 ชนิดที่ประเทศจีนคุมการผลิตอยู่ 90% ของโลก แร่หายาก 17 ชนิดสำคัญแค่ไหน? แร่ดังกล่าวเป็นแร่ที่มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กและการนำไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แน่นอนว่ารวมถึงสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต หรือกระทั่งอาวุธสงคราม (เช่น […]Read More

น้ำทะเลจะท่วม!!เหลือเวลาอีกแค่ 10 ปีก่อนปัญหาโลกร้อนจะสายเกินแก้

ถึงเวลาต้องกลัวหรือยังจากปัญหาภาวะโลกร้อนที่เรื้อรังมานาน? ล่าสุดกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่า ระดับน้ำทะเลกำลังสูงขึ้นเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า หากน้ำทะเลสูงตามที่คาดการณ์ พื้นดินที่หายไปจะมีขนาดมากเกินครึ่งหนึ่งของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลก Reasons to Read จากปัญหาภาวะโลกร้อนที่เรื้อรังมานานล่าสุดกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาบอกว่า ระดับน้ำทะเลกำลังสูงขึ้นเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ถึง 2 เท่า ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้พื้นดินบนโลกกว่า 1.79 ล้านตารางกิโลเมตรหายไป หากเปรียบเทียบจะเท่ากับพื้นที่เกินครึ่งหนึ่งของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลกจะจมหายไปใต้น้ำ ประชากรจำนวน 187 ล้านคน หรือคิดเป็น 2.5 เปอร์เซ็นของประชากรโลกทั้งหมดจะได้รับความเดือดร้อน และอาจเกิดการอพยพที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรุนแรงด้วย เมื่อได้ยินคำว่า 10 ปี 30 ปี หรือ 50 ปี คนส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่อีกไกลและยาวนานกว่าจะมาถึง ทว่าหากนับแต่ครั้งแรกที่โลกของเรารู้จักคำว่าปัญหาภาวะโลกร้อนก็ผ่านมานานกว่า 40 ปีแล้ว แต่หากปัญหาที่เกิดกลับมีแต่ย่ำแย่ลงราวกับว่าระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมานั้นอาจไม่นานพอให้เราลงมือแก้ไข ปัญหาภาวะโลกร้อนถูกนำเข้าที่ประชุมระดับโลกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2522 หากนำมาเปรียบเทียบกับอายุของคน ก็เท่ากับว่าเรารู้จักภาวะโลกร้อนมานานเท่ากับชีวิตของผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้คนคนนั้นอาจกำลังมีตำแหน่งงานที่มั่นคง มีครอบครัวที่เพียบพร้อม และมีความแน่นอนในชีวิตด้านต่างๆ ทว่าเมื่อมองหาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับปัญหาระดับโลกข้อนี้ […]Read More

สำรวจโทษประหารทั่วโลกในวันที่ไทยใช้ยาแรงกับคดีข่มขืน

คิดเห็นกันอย่างไรกับยาแรงคดีข่มขืน ประมวลกฎหมายอาญาฉบับแก้ไขใหม่ ซึ่งโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ก่อนอื่นลองไปส่องดูประเทศอื่นกันก่อนดีกว่าว่าเขามีกฎหมายในเรื่องนี้อย่างไร แล้วค่อยมาแสดงความคิดเห็นกันถึงประเด็นนี้กัน Reasons to Read ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประมวลกฎหมายอาญาฉบับแก้ไขใหม่ให้เพิ่มโทษคดีข่มขืน ในกรณีที่ทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต แอมเนสตี้รายงานสถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตปี 2561 พบว่าการประหารชีวิตทั่วโลกลดลงเกือบ 1 ใน 3 ‘ข่มขืน = ประหาร’ คือแคมเปญรณรงค์ในโลกออนไลน์ให้เพิ่มบทลงโทษในคดีข่มขืนเป็นการประหารชีวิตที่เป็นกระแสเมื่อหลายปีก่อน หลังมีคดีพนักงานบนรถไฟฆ่าข่มขืนผู้โดยสารซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงแล้วโยนร่างลงข้างทาง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 ต่อเนื่องด้วยคดีฆ่าข่มขืนนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า เมื่อเดือนกันยายนในปีเดียวกัน และอีกหลายๆ คดีข่มขืนที่ปรากฏไม่เว้นแต่ะละวัน อาจเรียกได้ว่าแคมเปญดังกล่าวประสบความสำเร็จแล้ว เมื่อเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประมวลกฎหมายอาญา คดีข่มขืน ฉบับแก้ไขใหม่ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีการปรับความหมายให้ครอบคลุมขึ้นในหลายกรณี และมีการเพิ่มระวางโทษ ซึ่งในบางกรณีนั้นมีโทษถึงขั้นประหารชีวิต ทว่าแม้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนจำนวนมากในการเพิ่มโทษให้ข่มขืนเท่ากับประหาร เนื่องจากแต่ละครั้งที่มีข่าวลักษณะนี้ปรากฏออกสื่อ มักจะสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้คนในสังคมอยู่เสมอ แต่ถ้ามองผ่านแว่นของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนก็จะเห็นว่าโทษประหารนั้นควรถูกยกเลิกไปมากกว่า เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย เป็นองค์การนอกภาครัฐที่ทำงานเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับการสนับสนุนโทษประหารมาโดยตลอด ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตปี 2561 พบว่าการประหารชีวิตทั่วโลกลดลงเกือบ 1 ใน 3 […]Read More