เห็นด้วยไหมว่าควรจะเรียกซีอิ๊วดำมากกว่านะ เพราะสีของมันนั้นไม่ได้ขาวเหมือนชื่อเลย เอาจริงๆ คือสีดำด้วยซ้ำ แล้วเพราะอะไรเราถึงเรียกกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าซีอิ๊วขาว? ซีอิ๊วขาว เครื่องปรุงที่แม้ไม่ได้ถือกำเนิดมาในครัวไทยแต่ปัจจุบันนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงสามัญประจำครัวไทยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครัวที่บ้าน ครัวร้านอาหาร หรือครัวที่ไหนๆ เป็นต้องมีไว้เหยาะเพื่อเพิ่มรสชาติและความหอมให้กับอาหารกันทั้งนั้น แต่เห็นด้วยไหมว่าควรจะเรียกซีอิ๊วดำมากกว่านะ เพราะสีของมันนั้นไม่ได้ขาวเหมือนชื่อเลย เอาจริงๆ คือสีดำด้วยซ้ำ แล้วเพราะอะไรเราถึงเรียกกันทั่วบ้านทั่วเมืองว่าซีอิ๊วขาว? ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องราวของซีอิ๊วให้ฟังพอเป็นความรู้ก่อน หลายคนฟังจากชื่อก็น่าจะรู้แล้วว่าต้นกำเนิดของซีอิ๊วมาจากประเทศจีน โดยคำว่า ‘ซีอิ๊ว’ เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว คนจีนใช้ซีอิ๊วเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงรสเค็มมาช้านาน ก่อนจะเป็นที่นิยมทั่วโลกและเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงสูตรไปเรื่อยๆ ทั้งเพิ่มทั้งลดวัตถุดิบต่างๆ จนได้ซีอิ๊วที่หลากหลายรูปแบบออกไป และยังนิยมใช้เป็นน้ำจิ้มโดยเสิร์ฟพร้อมอาหารชนิดต่างๆ ซีอิ๊ว เป็นเครื่องปรุงที่ได้จากการหมักถั่วเหลือง ในบ้านเราแบ่งซีอิ๊วออกเป็น 4 ชนิดหลักๆ คือ ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วดำเค็ม และซีอิ๊วดำหวาน จะเห็นว่ามีเพียงซีอิ๊วขาวเท่านั้นที่ถูกเรียกไม่เหมือนซีอิ๊วอื่นๆ ทั้งที่สีเหมือนกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าคำว่า ‘ขาว’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสี แต่หมายถึงความบริสุทธิ์ ไร้สิ่งเจอปนต่างหาก บริสุทธิ์ยังไง ก็ตรงที่ซีอิ๊วขาวได้จากการหมักโดยไม่เติมสีและแต่งรสชาติเลย ได้จากการย่อยสลายโปรตีนของถั่วเหลือง หรือส่วนผสมของถั่วเหลืองกับแป้งข้าวสาลีหมักด้วยเชื้อจุลินทรีย์ในพื้นที่ที่มีการควบคุมความชื้น ความสะอาด และอุณหภูมิที่เหมาะสม จนทำให้เกิดการย่อยสลายโปรตีนและแป้งออกมาเป็นน้ำตาลและกรดอมิโน ซีอิ๊วขาวจึงให้กลิ่นและรสชาติ เค็มและหวานอ่อนๆ นับเป็นเครื่องปรุงที่มีรสชาติแบบธรรมชาติและบริสุทธิ์ที่สุดนั่นเอง และที่เราได้ยินในโฆษณาซีอิ๊วขาวอยู่บ่อยๆ ว่า […]Read More
อุตสาหกรรมสิ่งทอปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1,200 ล้านตันต่อปี มีการใช้สารเคมีกว่า 2,000 ชนิด และใช้น้ำมากถึง 1-2 หมื่นลิตร เพื่อให้ได้มาซึ่งฝ้าย 1 กิโลกรัมที่สามารถนำไปผลิตเสื้อได้ประมาณ 5 ตัว Reason to Read อุตสาหกรรมสิ่งทอปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1,200 ล้านตันต่อปี มีการใช้สารเคมีกว่า 2,000 ชนิด และใช้น้ำมากถึง 1-2 หมื่นลิตร เพื่อให้ได้มาซึ่งฝ้าย 1 กิโลกรัมที่สามารถนำไปผลิตเสื้อได้ประมาณ 5 ตัว ในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา โลกของเรามีการบริโภคเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้นถึง 400% หรือมีการซื้อเสื้อผ้าประมาณ 80-100 พันล้านชิ้นต่อปีในปัจจุบัน ทั้งที่ประชากรโลกมีจำนวน 7.7 พันล้านคนเท่านั้น และนอกจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นจนสร้างผลกระทบ อีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่เคยรู้ก็คือ การผลิตผ้าในแต่ละครั้งเป็นการเพิ่มปริมาณ ‘ขยะอุตสาหกรรม’ หรือเกิด ‘ผ้าเหลือ’ ที่จะไม่ถูกนำไปใช้งาน ซึ่งผ้าเหล่านั้นไม่ใช่ ‘ขยะ’ หรือเศษผ้าอย่างที่หลายคนเข้าใจเลย ในทางตรงกันข้าม ผ้าเหลือเหล่านั้นกลับช่วยเราแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าที่คิด ด้วยการนำกลับมาใช้ใหม่ […]Read More
‘วันนี้วันพุธ’ ทำเอาทั้งเซ็งทั้งงงว่าทำไมร้านตัดผม (บางร้าน) ต้องปิดวันพุธด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นเจ้าของร้านไม่ว่างจริงๆ คำตอบก็คือร้านนั้นเขาถือเคล็ดตามความเชื่อโบราณที่บอกว่า ‘พุธห้ามตัดพฤหัสห้ามถอน’ เคยไหมที่ขับรถไปถึงร้านตัดผมกะจะไปทำสวยทำหล่อสักหน่อยแต่ดันเจอร้านปิด เพราะ ‘วันนี้วันพุธ’ ทำเอาทั้งเซ็งทั้งงงว่าทำไมร้านตัดผม (บางร้าน) ต้องปิดวันพุธด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นเจ้าของร้านไม่ว่างจริงๆ คำตอบก็คือร้านนั้นเขาถือเคล็ดตามความเชื่อโบราณที่บอกว่า ‘พุธห้ามตัดพฤหัสห้ามถอน’ เชื่อว่าคนไทยหลายคนทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็คงเคยได้ยินคำพูดนี้เหมือนกัน แต่อาจจะยังไม่รู้ที่มาที่ไปที่แน่ชัด ซึ่งเหตุผลที่อธิบายเรื่องนี้มีอยู่หลายข้อเลย แต่ทุกๆ ข้อก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความเชื่อล้วนๆ เหตุผลแรกว่ากันว่า สมัยก่อนพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางชั้นสูงที่อยู่ในรั้วในวัง เมื่อจะทำการปลงพระเกศา หรือภาษาชาวบ้านก็คือตัดผมนี่แหละ มักจะทำในวันพุธ และด้วยความที่คนไทยนั้นเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร การจะทำอะไรที่เป็นการตีตนเสมอท่านนั้นเป็นเรื่องไม่ควรอย่างยิ่ง การตัดผมในวันเดียวกันจึงไม่มีใครกล้าทำกัน ในด้านความเชื่อ คนไทยสมัยก่อนก็เชื่อว่าถ้าสามัญชนคนใดตัดผมในวันเดียวกับพระเจ้าแผ่นดินจะถือว่าเอาบารมีไปเทียบกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะทำให้เคราะห์ร้ายหรือนำสิ่งไม่ดีมาสู้ตนได้เพราะมีบารมีน้อยกว่า อีกหนึ่งคำอธิบายถูกนำไปเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนไทยสมัยโบราณที่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก ซึ่งคนไทยถือว่าวันพุธเป็นวันเกษตร และเมื่อทำการเกษตรก็อยากให้พืชผลเจริญงอกงาม ดังนั้น การไป ‘ตัด’ อะไรก็ตามในวันพุธจึงถือว่าขัดแย้งกับการเจริญงอกงามของพืชผล จึงไม่นิยมทำการตัดใดๆ ในวันนี้ รวมถึงตัดผมด้วย บ้างก็เชื่อว่าสมัยก่อนเวลาจะประหารนักโทษด้วยการตัดหัว มักจะทำพิธีในวันพุธ คนโบราณจึงถือว่าห้ามตัดผมในวันพุธ เพราะเชื่อว่าเหมือนเป็นการโดนตัดหัวไปกับนักโทษด้วย นอกจากนี้ ตำรามหาทักษาในทางโหราศาสตร์ไทย ที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวมอญ ได้กล่าวไว้ว่า “ในวันพุธ พระอังคารจะเป็นกาลกิณีจรของวันนั้น” ซึ่งคำว่า ‘กาลกิณี’ […]Read More
GM คุยกับ ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ ว่าด้วยการเป็นนักการเมืองของคนรุ่น Millennials ว่าแตกต่างจากนักการเมืองรุ่นเก่าๆ อย่างไร สัมภาษณ์โดย ณัฐกานต์ อมาตยกุล ก่อนวันที่สมาชิกรัฐสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรีเพียงสองวัน ไอติม-พริษฐ์ วัชรสินธุ กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองของตัวเองระหว่างให้สัมภาษณ์กับ GM ว่า ตอนนี้ยังคิดทบทวนบทบาทตัวเองอยู่ แต่ยังบอกอะไรไม่ได้ “ถ้าพรรคชัด ผมก็ชัด” ผลปรากฏออกมาว่า เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เทคะแนนให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย ขัดกับคำมั่นที่อดีตหัวหน้าพรรคได้กล่าวไว้หนักแน่นก่อนเลือกตั้ง พริษฐ์ก็ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคทันที พริษฐ์เล่าว่าเขาสนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็ก ชอบอาสาเป็นตัวแทนกลุ่มทำงานต่างๆ รับหน้าที่เป็น ‘กระบอกเสียง’ให้กับคนอื่นๆ เมื่อได้ทุนไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมฯ อีตัน ก็เห็นแง่มุมที่ดีของสหราชอาณาจักร อย่างคุณภาพการศึกษาที่กระจายอย่างเท่าเทียมกันมากกว่า คุณภาพการรักษาพยาบาล และระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมกว่า ซึ่งไทยก็น่าจะพัฒนาตามอย่างได้ “การชอบเป็นตัวแทนและมุมมองที่เรามี และอยากจะพัฒนาประเทศ มารวมกันแล้วพบว่า อาชีพที่ตอบโจทย์ที่สุดคืองานการเมือง ก็เลยตัดสินใจเรียนด้านการเมือง ปรัชญา และเศรษฐศาสตร์ (Philosophy, Politics and Economics (PPE)) ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แล้วไปทำงานเป็นที่ปรึกษานโยบายให้รัฐบาลต่างประเทศ 3 ปี ก่อนที่จะกระโดดเข้ามาทำงานการเมืองไทย” […]Read More
KyoAni เป็นหนึ่งในบริษัทแอนิเมชันที่ได้รับการยอมรับว่ามีบรรยากาศน่าทำงานมากที่สุด ท่ามกลางบริษัทอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความกดดัน และเป็นบริษัทที่ให้ค่าตอบแทนนักสร้างการ์ตูนเป็นรายเดือน ไม่ใช่จ่ายแบบเฟรมต่อเฟรมด้วย Reason to Read KyoAni เป็นหนึ่งในบริษัทแอนิเมชันที่ได้รับการยอมรับว่ามีบรรยากาศน่าทำงานมากที่สุด ท่ามกลางบริษัทอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความกดดัน และเป็นบริษัทที่ให้ค่าตอบแทนนักสร้างการ์ตูนเป็นรายเดือน ไม่ใช่จ่ายแบบเฟรมต่อเฟรมด้วย เหตุการณ์ไฟไหม้สตูดิโอแอนิเมชั่น Kyoto Animation ในประเทศญี่ปุ่นที่กำลังพูดถึงกันอยู่ตอนนี้ เป็นเหตุการสังหารหมู่ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปีของแดนอาทิตย์อุทัย โดยล่าสุดรายงานแจ้งว่ามีพนักงานเสียชีวิตแล้วจำนวน 33 ราย และอีก 35 รายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้แฟนคลับของค่ายแอนิเมชันระดับต้นๆ ของประเทศต่างออกมาแสดงความเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะบริษัท KyoAni ผลิตผลงานดีๆ ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้แก่พวกเขา Kyoto Animation หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า KyoAni ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2524 โดยคู่สามีภรรยา โยโกะ และ ฮิเดอากิ ฮัตตะ บริษัทโด่งดังจากผลงานผลิตแอนิเมชันคุณภาพสูงที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ แถมยังเป็นหนึ่งในบริษัทแอนิเมชันที่ได้รับการยอมรับว่ามีบรรยากาศน่าทำงานมากที่สุด ท่ามกลางบริษัทอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความกดดัน อีกทั้งเป็นบริษัทที่ให้ค่าตอบแทนนักสร้างการ์ตูนเป็นรายเดือน ไม่ใช่จ่ายแบบเฟรมต่อเฟรมด้วย เราเชื่อว่า KyoAni เป็นหนึ่งในบริษัทแอนิเมชันที่ทำให้วงการการ์ตูนญี่ปุ่นเติบโตมาได้ไกล […]Read More
แม้แต่สำนวนไทยก็ยังมีการเปรียบเทียบคนช่างพูดว่า “พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง” แล้วสงสัยไหมว่า ทำไมนกแก้วถึงพูดได้ ทั้งที่สัตว์ชนิดอื่นๆ ที่แสนรู้ไม่น้อยไปกว่านกเหล่านี้ก็ไม่เห็นจะพูดได้เลย ถ้าถามว่าสัตว์อะไรพูดได้ ทุกคนคงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “นกแก้ว” อย่างแน่นอน แม้แต่สำนวนไทยก็ยังมีการเปรียบเทียบคนช่างพูดว่า “พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง” แล้วสงสัยไหมว่า ทำไมนกแก้วถึงพูดได้ ทั้งที่สัตว์ชนิดอื่นๆ ที่แสนรู้ไม่น้อยไปกว่านกเหล่านี้ก็ไม่เห็นจะพูดได้เลย จริงๆ แล้วเสียงที่เราได้ยินว่านกแก้วพูดได้นั้น เป็นเพียงการเลียนเสียงเท่านั้น และสาเหตุที่มันสามารถเลียนแบบเสียงจนฟังดูเหมือนว่าพูดได้แล้วนั้นเป็นเพราะกล้ามเนื้อที่ควบคุมเสียงร้องในลำคอของมันมีพัฒนาการไปมากกว่านกทั่วไป ในลำคอที่ปกคลุมด้วยขนสีสันสดใสของนกแก้วจะมีอวัยวะพิเศษที่เรียกว่า กล่องเสียงทราคีโอบรอนเคียล (Tracheobronchial) ซึ่งไม่มีในนกทั่วไป ประกอบกับลิ้นที่มีขนาดใหญ่กว่านกทั่วไปและเป็นสัตว์ที่ความจำดีมาก จึงทำให้มันสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์และออกเสียงตามได้ นอกจากนี้ สัญชาติญาณการเอาตัวรอดก็มีส่วนทำให้นกแก้วสามารถเลียนเสียงได้ดี เพราะตามธรรมชาติแล้วนกแก้วเป็นสัตว์สังคม มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ตามกลุ่มที่พวกมันอาศัยอยู่ เมื่อมาอยู่ร่วมกับมนุษย์นกแก้วจึงเลียนเสียงมนุษย์เพราะนกแก้วคิดว่าถ้าเสียงเหมือนกัน เราคือเพื่อนกัน แต่นอกจากนกแก้วแล้วก็ยังมีนกอีกหลายชนิดที่มีความสามารถในการเลียนเสียง เช่น นกขุนทอง นกสาริกา นกเอี้ยงสีเทา นกหงส์หยก กา เป็นต้น ถึงนกเหล่านี้จะสามารถเลียนเสียงมนุษย์ได้อย่างใกล้เคียง แต่พวกมันก็ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำที่เปล่งออกมา เพราะอย่างนี้คนโบราณถึงได้เปรียบคนที่พูดไม่รู้จักหยุด พูดเก่ง พูดไปเรื่อย แต่หาความไม่ได้ ว่า “พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง”Read More
เทคโนโลยีฝังไมโครชิปจะทำให้มนุษย์สามารถคิดและเรียนรู้ได้ฉลาดล้ำเหมือนกับปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการฝังชิปจิ๋วที่เป็นเส้นใยนำไฟฟ้าลงในเนื้อเยื่อสมองผ่านการเจาะกะโหลกศรีษะ Reasons To Read อีลอน มัสก์ บอกว่าเทคโนโลยีนี้พร้อมฝังลงในเนื้อเยื่อสมองมนุษย์ภายในปีหน้า แถมยังปลอดภัย ไม่เจ็บและง่ายเหมือนกับการทำเลสิค เทคโนโลยีฝังไมโครชิปจะทำให้มนุษย์สามารถคิดและเรียนรู้ได้ฉลาดล้ำเหมือนกับปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการฝังชิปจิ๋วที่เป็นเส้นใยนำไฟฟ้าลงในเนื้อเยื่อสมองผ่านการเจาะกะโหลกศรีษะ เมื่อหลายเดือนก่อนมีรายงานออกมาว่า บริษัท Neuralink กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่จะทำให้มนุษย์ฉลาดเท่าทันปัญญาประดิษฐ์ได้ ด้วยวิธีการฝังอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ลงในสมอง ซึ่งหลายคนที่ได้ยินก็รู้สึกว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าเหลือเชื่อและยากจะเกิดขึ้นได้จริง ทว่าล่าสุด ‘อีลอน มัสก์’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ออกมาบอกว่า เทคโนโลยีดังกล่าวพร้อมทดลองกับสมองมนุษย์แล้ว และจะเกิดขึ้นภายในปีหน้านี้เอง อย่างที่รู้กันว่า อีลอน มัสก์ เป็นมหาเศรษฐีที่รักการคิดค้นนวัตกรรม และร่วมลงทุนก่อตั้งหลายโครงการที่มักเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต ซึ่งบริษัท ‘Neuralink’ ที่คิดค้นเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเชื่อมต่อสมองมนุษย์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน โดยผลงานล่าสุดที่ฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟก็คือ การฝังชิปจิ๋วที่มีลักษณะเป็นเส้นใยลงในสมองมนุษย์ ซึ่งจะทำให้เราคิดและเรียนรู้ได้ฉลาดล้ำราวกับเป็นปัญญาประดิษฐ์ ชิปจิ๋วที่ว่าทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ มีขนาดเพียง 4 x 4 มิลลิเมตร ลักษณะเป็นเส้นใยขั้วไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่น ซึ่งจะไม่สร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อสมอง แต่จะช่วยรักษาและเสริมสร้างให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแทน ส่วนวิธีการฝังไมโครชิปจะทำด้วยการใช้หุ่นยนต์ที่คล้ายกับจักรเย็บผ้า ซึ่งมีปลายเข็มเล็กเพียง 1 ส่วน 3 ของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผม โดยอีลอน มัสก์ บอกว่า “วิธีนี้ปลอดภัย […]Read More
ซานฟรานซิสโก, ซอเมอร์วิลล์ ตามด้วยโอ๊คแลนด์ และอีกหลายเมืองในสหรัฐที่มีแนวโน้มว่าจะแบน ‘เทคโนโยลีการจดจำใบหน้า’ ที่ถูกนำมาใช้ในด้านกฎหมาย เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและไม่แม่นยำของเทคโนโลยีดังกล่าวที่นำไปสู่การจับผิดตัวจนประชาชนตาดำๆ จนได้รับความเดือดร้อน Reasons to Read เทคโนโลยีการจดจำใบหน้ามีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในโอ๊คแลนด์ปลอดภัยน้อยลง เนื่องจากการระบุตัวบุคคลที่ไม่ชัดเจนอาจนำไปสู่การใช้กำลังในทางที่ผิด งานวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ พบว่า ซอฟต์แวร์นั้นมีความแม่นยำต่ำในการจดจำใบหน้าผู้หญิงและคนผิวดำและมีความไม่แม่นยำอย่างยิ่งในการระบุตัวตนผู้หญิงผิวดำ เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial Recognition Technology) ในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก แต่เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในด้านกฎหมาย ทั้งการใช้ในด่านพรมแดนในสนามบิน ด่านตรวจทั่วไป ไปจนถึงพื้นที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่าน เทคโนโลยีดังกล่าวถูกนำมาใช้กับระบบที่เรียกว่า ระบบจดจำใบหน้าอัตโนมัติ (Automated Facial Recognition systems – AFR) โดยจะนำภาพใบหน้าของของฝูงชนที่กล้องวงจรปิดจับได้มาเปรียบเทียบกับใบหน้าของอาชญากรตามหมายจับหรือใบหน้าของบุคคลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการตัวโดยอัตโนมัติ ถ้าพบว่ามีใบหน้าที่ตรงกันระบบก็จะแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้และเข้าจับกุม สิ่งที่ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกไม่สบายใจกับการใช้งานเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าก็คือเรื่องของความเป็นส่วนตัวและความไม่แม่นยำที่สามารถเกิดขึ้นได้ (และเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) ทำให้ที่ผ่านมามีหลายเมืองในสหรัฐฯ ถึงขั้นออกกฎหมายแบนเทคโนโลยีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ผ่านกฎหมายการห้ามใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ตามด้วยเมืองซอเมอร์วิลล์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เพิ่งมีคำสั่งแบนเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียเองก็กำลังพิจารณาร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้มีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในกล้องตำรวจ หรือแม้แต่บริษัท Axon ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของกล้องตำรวจ ก็ได้ยืนยันว่าจะไม่นำเทคโนโลยีการจับคู่ใบหน้ามาใช้ในกล้องจนกว่าจะมีความแม่นยำมากขึ้น และสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ […]Read More
โรคอีโบลาที่ระบาดในคองโกตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง หลังจากมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 2,512 ราย และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1,676 ราย ล่าสุดองค์การอนามัยโลกต้องประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศแล้ว!! Reasons to Read ก่อนหน้านี้คณะกรรมการฉุกเฉิน IHR ได้ปฏิเสธที่จะให้มีการประกาศ PHEIC มาแล้วถึงสามครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดคือเมื่อเดือนที่แล้ว แต่สถิติเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่า มีผู้ป่วยอีโบลา 2,512 รายในการระบาดรอบใหม่นี้ และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 1,676 ราย จึงนำมาสู่การประกาศ PHEIC ในที่สุด การประกาศ PHEIC ไม่ได้หมายถึงการชี้นำให้เกิดข้อจำกัดในการเดินทางและการค้า และเรียกร้องไม่ให้ประเทศเพื่อนบ้านของคองโกปิดชายแดน เพราะอาจทำให้ผู้คนใช้การข้ามชายแดนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของโรค สถานการณ์การระบาดของโรคอีโบลา (Ebola) กลายเป็นเรื่องที่ทั่วโลกต้องกังวลอีกครั้ง หลังจากคณะกรรมการฉุกเฉินด้านการควบคุมสุขภาพระหว่างประเทศ (International Health Regulations – IHR) ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ซึ่งรับผิดชอบด้านการป้องกันการระบาดของไวรัสอีโบลาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ได้จัดการประชุมขึ้นที่สำนักงานใหญ่องค์การอนามัยโลก ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และประกาศวิกฤตอีโบลาในคองโกว่าเป็น […]Read More
ดูเหมือนว่าเส้นทางของ Libra จะเจออุปสรรคอีกด่านแล้ว นั่นคือกฎหมายที่เรียกกันว่าเป็น ‘Keep Big Tech Out of Finance Act’ ซึ่งเป็นกฎหมายที่พยายามจะกำหนดนิยามบริษัทที่ถือว่าเป็นบิ๊กเทคและป้องกันไม่ให้บริษัทเหล่านั้นดำเนินการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล โดยหากฝ่าฝืนมีโทษปรับถึงวันละ 1 ล้านเหรียญ Reason to Read บริษัทเทคโนโลยีที่มีรายได้ทั่วโลกประจำปีมากกว่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ละเมิดกฎดังกล่าวจะถูกปรับ 1 ล้านเหรียญฯ ต่อวัน ทันทีที่เฟซบุ๊ก (Facebook) ประกาศข่าวคราวการโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘ลิบรา’ (Libra) หรือสกุลเงินดิจิทัลใหม่ที่มีเฟซบุ๊กเป็นผู้พัฒนาโดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือบิ๊กเทค (Big Tech Companies) และเงินตราสกุลแข็งต่างๆ ก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งวงการฟินเทค (Fintech) ทั่วโลก รวมไปถึงสร้างความกังวลขึ้นในหมู่ผู้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการใช้งานลิบรา คณะกรรมการบริการด้านการเงินของพรรคเดโมแครต ส่วนใหญ่ได้ร่างข้อเสนอเพื่อป้องกันไม่ให้บิ๊กเทคสามารถดำเนินการใดๆ ในฐานะสถาบันการเงินหรือการออกสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองได้ ซึ่งนับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เพิ่มแรงกดดันต่อลิบราของเฟซบุ๊ก เพราะจากการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าว ระบุว่า บริษัทเทคโนโลยีที่มีรายได้ทั่วโลกประจำปีมากกว่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ละเมิดกฎดังกล่าวจะถูกปรับ 1 ล้านเหรียญฯ ต่อวัน กฎหมายดังกล่าวถูกเรียกว่า ‘Keep Big […]Read More