เฉลยให้เข้าใจตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อเสื้อสีดำดูดซับความร้อนไว้ จึงทำให้เรารู้สึกร้อนตอนใส่เสื้อออกแดด แต่เสื้อสีขาวกลับให้ผลตรงกันข้าม หลายคนคงเคยได้ยินมาทั้งชีวิตว่าเสื้อสีดำจะดูดซับความร้อนไว้ทำให้รู้สึกร้อนตอนใส่เสื้อออกแดด ส่วนเสื้อสีขาวสะท้อนความร้อนออกไป จึงรู้สึกร้อนน้อยกว่าตอนใส่เสื้อสีดำ แต่จะจริงหรือไม่ เชื่อว่าหลายคนก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กันดีว่า ขอเริ่มด้วยการชี้แจงสิ่งที่ถูกดูดซับไว้และสะท้อนออกมาว่า สิ่งนั้นไม่ใช่ความร้อน แต่เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ‘แสง’ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความร้อนก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทีหลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สีที่เรามองเห็นได้จากวัตถุต่างๆ เกี่ยวข้องกับความยาวคลื่นแสงที่สะท้อนออกมาจากวัตถุนั้น โดยการสะท้อนขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอะตอมและโมเลกุลของวัตถุ โครงสร้างพื้นผิว มุมที่แสงกระทบกับวัตถุ และมุมที่เรามอง เช่น ที่เราเห็นแอปเปิ้ลเป็นสีแดงก็เพราะ ‘แสงสีขาว’ หรือ แสงสว่างๆ ที่เรามองเห็นนี่แหละ (จริงๆ แล้วในแสงสีขาวยังประกอบด้วยแสงสีอื่นๆ ที่รวมกันเรียกว่า สเปกตรัม (Spectrum) ประกอบด้วยสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง) เมื่อแสงสีขาวไปกระทบกับแอปเปิ้ล มวลภายในอะตอมของแอปเปิ้ลก็จะสะท้อนความยาวคลื่นสีแดงออกมากมากกว่าสีอื่นๆ และเด้งกลับมาที่ดวงตาของเรา ทำให้เรามองเห็นแอปเปิ้ลเป็นสีแดง ส่วนวัตถุสีดำ เช่น เสื้อยืดสีดำ มีลักษณะเป็นสีดำก็เพราะมันจะดูดซับความยาวคลื่นแสงในแสงสีขาวไว้ทั้งหมดและไม่สะท้อนแสงใดๆ ออกมาเลย ทำให้เกิดพลังงานสะสมและจะคายออกมาในรูปแบบของความร้อน ยิ่งวัตถุมืดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปล่อยความร้อนได้ดีเท่านั้น ซึ่งมาจากคุณสมบัติการดูดซับแสงที่ดีนั่นเอง ทำให้การใส่เสื้อสีดำกลางแจ้งนั้นจะรู้สึกร้อนกว่าปกติได้ ในทางตรงกันข้าม วัตถุสีขาวจะสะท้อนความยาวคลื่นแสงทั้งหมดและดูดซับแสงไว้ได้น้อยถึงไม่ดูดซับเลย […]Read More
ถ้าพื้นดินด้านล่างกำลังไหวสั่น สร้างความเสียหายให้กับต้นไม้ อาคาร และผู้คนบนพื้นโลก แล้วคุณล่ะ? คิดว่าตัวเองจะได้รับผลกระทบอะไรไหมตอนอยู่บนเครื่องบิน ลองนึกภาพตัวเองนั่งจิบชาแล้วมองเมฆสีขาวเคลื่อนผ่านหน้าต่างเครื่องบินไป แต่จะเป็นอย่างไรถ้าพื้นดินด้านล่างกำลังไหวสั่น สร้างความเสียหายให้กับต้นไม้ อาคาร และผู้คนบนพื้นโลก แล้วคุณล่ะ? คิดว่าตัวเองจะได้รับผลกระทบอะไรไหมตอนอยู่บนเครื่องบิน คำตอบคือ… เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น สิ่งที่อาจจะมีผลกระทบต่อเครื่องบินที่บินอยู่บนท้องฟ้าได้ก็คือ ‘คลื่นไหวสะเทือน’ โดยการเกิดแผ่นดินไหนจะปล่อยคลื่นไหวสะเทือนออกมาด้วยในรูปแบบของคลื่นความดัน (Pressure Wave) และคลื่นเฉือน (Shear Wave) หรือเรียกย่อๆ ว่าคลื่น P และคลื่น S เมื่อคลื่น P ถูกปล่อยออกจากเปลือกโลกก็จะเคลื่อนที่สู่ชั้นบรรยากาศในรูปของคลื่นเสียง ส่วนคลื่น S จะไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านของเหลวหรือก๊าซได้ เพราะฉะนั้น เราจะขอโฟกัสที่คลื่น P เท่านั้น คลื่น P จะมีความถี่ต่ำกว่า 20 เฮิร์ตซ ซึ่งอยู่นอกเหนือจากการได้ยินของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า คลื่นใต้เสียง (Infrasound) นั่นหมายความว่าแม้ว่าคลื่น P ที่เกิดจากเหตุแผ่นดินไหวจะสามารถเดินทางผ่านชั้นบรรยากาศได้ แต่เราก็จะไม่ได้ยินมันอยู่ดี แต่จะได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นตอนที่คลื่นเคลื่อนที่ผ่านของแข็ง เช่น สิ่งก่อสร้าง หรือสิ่งของต่างๆ […]Read More
เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.มาร์แชล โกลด์สมิท (Dr. Marshall Goldsmith) บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการพัฒนาภาวะผู้นำของโลก โค้ชผู้บริหารที่มีชื่อเสียง และเป็นผู้เขียนหนังสือที่ได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมาย เช่นหนังสือที่ชื่อว่า What Got You Here Won’t Get You There ท่านได้เดินทางมาประเทศไทย และถือโอกาสนี้เยี่ยมเยือนผู้ที่ท่านได้เลือกให้เป็นผู้แทนอย่างเป็นทางการในด้านการพัฒนาภาวะผู้นำ ในประเทศไทย นั่นคือ ดร. อัจฉรา จุ้ยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอคคอมแอนด์อิมเมจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (แอคคอมฯ) และโค้ชผู้บริหารที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์โค้ชนานาชาติ ในระดับ PCC (Professional Certified Coach) วันนี้ GM Live จึงสนใจมาพูดคุยกับ ดร. อัจฉรา จุ้ยเจริญ เกี่ยวกับมุมมองการทำงานในฐานะโค้ช และการทำงานร่วมกับ ดร.มาร์แชล โกลด์สมิท นอกจากนั้นยังมีประเด็นสำคัญที่จะมาพูดคุยกับ ดร.อัจฉรา ถึงสถานการณ์ของการเป็นโค้ชในการพัฒนาภาวะผู้นำท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ได้ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล หรือที่เราคุ้นหูกันดีว่า “ไทยแลนด์ 4.0” […]Read More
นั่นสิ ทำไมต้องชุดสีขาว?? ใส่สีอื่นแล้วจะมีผลอะไรกับการแข่งขันหรือเปล่า ว่าแต่ชุดชั้นในล่ะ ต้องขาวด้วยไหม??? คำตอบคือ… การแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน (Wimbledon) เป็นการแข่งขันเทนนิสที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เริ่มจัดมาตั้งแต่ ค.ศ. 1877 ที่คอร์ทเทนนิสในย่านวิมเบิลดัน กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร โดยจะจัดการแข่งขันขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมของทุกปี และเป็นการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลม หรือการแข่งขันเทนนิสรายการใหญ่ที่สุดของโลกรายการเดียวในปัจจุบันที่แข่งขันบนคอร์ทหญ้า นอกจากประวัติศาตร์อันยาวนานแล้ว เมื่อพูดถึงวิมเบิลดัน คนจะต้องนึกถึงผู้เล่นที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวทั้งตัวขณะลงแข่ง เพราะนั่นคือกฎที่เข้มงวดมากที่สุดข้อหนึ่งของวิมเบิลดัน โดยระบุไว้ว่า “ผู้เล่นจะต้องแต่งตัวด้วยชุดสีขาวเกือบทั้งชุด” กฎนี้เข้มงวดมากขนาดที่ว่า หากมีผู้เล่นคนไหนฝ่าฝืน ผู้ตัดสินสามารถบังคับให้ผู้เล่นไปเปลี่ยนชุดได้ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการลงแข่งไปเลย โดยในอดีตก็เคยมีนักเทนนิสแถวหน้าหลายคนที่เคยทำผิดกฎนี้ แล้วทำไมต้องสีขาว? กฎนี้มีที่มาอย่างไร? เชื่อกันว่ากฎดังกล่าวเริ่มขึ้นในยุค 1800 ยุคที่เทนนิสเป็นกีฬาสำหรับผู้ดี ส่วนใหญ่จะเล่นเพื่อเป็นการพบปะสังสรรค์ทางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง และพอเล่นจนได้เหงื่อคราบเหงื่อบนผ้าสีจะเห็นได้ชัดกว่าและถูกมองว่าไม่เข้าท่าเท่าไหร่ (โดยเฉพาะบริเวณรักแร้) เพราะฉะนั้นสาวๆ นักเทนนิสยุคนั้นก็เลยเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าสีขาวซะส่วนใหญ่ เพื่อเลี่ยงความเขินอาย กระทั่ง ออล อิงแลนด์ คลับ (The All England Club) ซึ่งเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1868 และได้เปิดตัวการแข่งขันกีฬาเทนนิสบนสนามหญ้าในปี 1875 และได้ถือว่าวัฒนธรรมการใส่ชุดสีขาวนี้เป็นกฎข้อหนึ่งของการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน […]Read More
ผู้บริหารระดับสูงของกูเกิลกำลังผลักดันให้การแบนหัวเว่ยได้รับการยกเว้น เพราะกังวลว่าการแบนหัวเว่ยเช่นนี้จะส่งผลให้สมาร์ตโฟนของหัวเว่ยไม่สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิลได้ในอนาคต ซึ่งนั่นหมายถึงภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่มีมากขึ้น Reasons to Read กูเกิลกังวลว่าการที่หัวเว่ยจะพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ ‘Hongmeng’ นั้น อาจเป็นช่องทางที่ง่ายต่อการเจาะระบบมากขึ้น และนั่นก็จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ มากขึ้นด้วย ผู้บริการหัวเว่ยเผยว่ากูเกิลกำลังทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อหาแนวทางแก้ไข และจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคหากกูเกิลและรัฐบาลสหรัฐฯ สามารถหาทางออกได้ ดูเหมือนจะยังไม่จบง่ายๆ สำหรับผลกระทบจากการที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ได้ออกคำสั่งห้ามบริษัทในสหรัฐฯ ใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เพื่อปกป้องระบบอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐฯ จากการคุกคามของเทคโนโลยีต่างชาติ ซึ่งส่งผลให้ชื่อของหัวเว่ย (Huawei) บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครือข่ายและอุปกรณ์โทรคมนาคมสัญชาติจีนและบริษัทในเครืออีก 67 แห่ง ถูกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำในทันที และตามมาด้วยข่าวใหญ่ที่กูเกิล (Google) ประกาศตัดสัมพันธ์ทางธุรกิจหัวเว่ย และที่บอกว่าดูเหมือนจะยังไม่จบลงง่ายๆ ก็เพราะว่าไม่กี่วันที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ ไฟแนนเชียล ไทม์ (Financial Times) รายงานข่าวว่า ผู้บริหารระดับสูงของกูเกิลสามรายซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม กำลังผลักดันให้การแบนหัวเว่ยได้รับการยกเว้น เพราะกังวลว่าการแบนหัวเว่ยเช่นนี้จะส่งผลให้สมาร์ตโฟนของหัวเว่ยไม่สามารถอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิลได้ในอนาคต และการที่หัวเว่ยจะพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองในชื่อ ‘Hongmeng’ นั้น อาจะเป็นช่องทางที่ง่ายต่อการเจาะระบบมากขึ้นและนั่นก็จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ มากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันสัปดาห์ที่ผ่านมา นายเหลียง หัว (Liang Hua […]Read More
ระบบปฏิบัติการใหม่ของหัวเว่ยเคยมีข่าวว่าพร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ และล่าสุดหัววเว่ยได้จดเครื่องหมายการค้าหงเมิ่งในหลายประเทศแล้ว Reason to Read หัวเว่ยพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ ‘หงเมิ่ง’ (HongMeng OS) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งานที่ในอนาคตอาจจะไม่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิลได้อีก องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization) หรือ WIPO บอกว่าตอนนี้หัวเว่ยได้จดเครื่องหมายการค้าหงเมิ่งในหลายประเทศ ช่วงที่ผ่านมาอาจจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับหัวเว่ย (Huawei) ที่หลังจากถูกกูเกิล (Google) ประกาศยุติสัมพันธ์ทางธุรกิจตามคำสั่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ห้ามบริษัทในสหรัฐฯ ใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่เป็นภัยต่อความมั่นคง เพื่อปกป้องระบบอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีสารสนเทศของสหรัฐฯ ทำให้หัวเว่ยต้องพัฒนาระบบปฏิบัติการใหม่ ‘หงเมิ่ง’ (Hongmeng OS) เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งานที่จะไม่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Androind) ของกูเกิลได้อีก ระบบปฏิบัติการใหม่ของหัวเว่ยเคยมีข่าวว่าพร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ และล่าสุดจากข้อมูลขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization) หรือ WIPO บอกว่าตอนนี้หัวเว่ยได้จดเครื่องหมายการค้าหงเมิ่งในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย, แคนาดา, กัมพูชา, สหภาพยุโรป, อินโดนีเซีย, อินเดีย, […]Read More
ลาออกจากตำแหน่งซะ!! เพราะคุณไม่ได้มากจากการเลือกตั้ง! ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากเรือนจำ โจชัว หว่อง ประกาศตัวชัดเจนว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อถอนร่างกฎหมายครั้งนี้ บทความ : เกณิกา รวยธนพานิช Reasons to Read โจชัว หว่อง เป็นแกนนำ ‘การปฏิวัติร่ม’ เมื่อปี 2014 ที่ทำให้ชาวฮ่องกงออกมาชุมนุมปิดถนนอยู่นานถึง 79 วัน ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น หลังจากก้าวเท้าออกจากเรือนจำ โจชัว หว่อง ประกาศตัวชัดเจนว่าจะเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อถอนร่างกฎหมายครั้งนี้ด้วย รวมถึงขอให้ นางแคร์รี หลำ ยุติทุกบทบาททางการเมือง เนื่องจากไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน เหตุการณ์การชุมนุมในฮ่องกง เพื่อยับยั้งร่างกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ประเทศจีนเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีรายงานว่า วันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ (16 มิถุนายน) มีประชากรออกมาร่วมประท้วงบนถนนมากถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งสิ้นราว 7 ล้านคน ก่อนวันถัดมา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญของฮ่องกง ‘โจชัว หว่อง’ จะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ หลังใช้ชีวิตอยู่ในนั้นตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม จากสาเหตุการเป็นผู้นำ ‘การปฏิวัติร่ม’ เมื่อปี 2014 […]Read More
หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแถลงจุดยืนลาออกจาก ส.ส. เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองขัดกับมติของพรรค โดยยกเรื่อง บาป 7 ประการในทรรศนะของคานธี มาอ้างถึง หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า แล้วบาป 7 ประการดังกล่าวที่ว่านั้นได้แก่อะไรบ้าง GM Live มีคำตอบ หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแถลงจุดยืนลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองขัดกับมติของพรรค โดยยกเรื่อง ‘บาป 7 ประการในทรรศนะของคานธี’ มาอ้างถึง หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า แล้วบาป 7 ประการดังกล่าวที่ว่านั้นได้แก่อะไรบ้าง GM Live มีคำตอบ มหาตมะ คานธี บิดาแห่งประชาชาติของชาวอินเดีย เคยกล่าวไว้เมื่อยังมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในวงการเมืองอินเดีย ถึง ‘บาป 7 ประการ’ แม้วันนี้เวลาจะผ่านมานับศตวรรษแล้ว แต่ทุกข้อก็ยังสากลและคงมีไว้ซึ่งความทันสมัยอยู่เสมอ ราวกับท่านเพิ่งพูดไปเมื่อวาน ยิ่งหากพิเคราะห์พิจารณาการเมืองไทยทุกวันนี้ก็ยิ่งรู้สึกน่าเศร้าเพราะเต็มไปด้วยบาปที่คานธีกล่าว โดยบาปทั้ง 7 ประการในทรรศนะของคานธี มีดังนี้ 1.เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ คือการเล่นการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงประชาชนหรือไม่ยึดหลักการของเสียงส่วนใหญ่ การเล่นการเมืองที่มีลักษณะส่งเสริมการรัฐประหารแต่ไม่ส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย […]Read More
ใครว่านกเขาจะขันแรงแค่ยามเช้า เพราะจริงๆ แล้วตลอดทั้งคืนมันก็ขยันขึ้นมาขันเช่นกัน แต่เป็นการขันแบบหลับๆ ตื่นๆ ก็แค่นั้น ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะองคชาตแข็งตัวขณะหลับ นั่นเอง ทันทีที่ได้ยินเสียงไก่ขันในตอนเช้า คุณสุภาพบุรุษทั้งหลายโดยเฉพาะหนุ่มๆ คงจะรู้ดีว่า ‘นกเขา’ ของตัวเองก็ดูเหมือนจะกำลังขันแข่งกับไก่อยู่ เพื่อให้สุภาพสตรีที่หลงเข้ามาอ่านเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งมากขึ้น ก็ต้องอธิบายอย่างตรงไปตรงมาว่าเรากำลังพูดถึงการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายในตอนเช้า และถ้าคุณสงสัยว่าทำไมมันต้องชูชันขึ้นมาในเวลานั้นด้วย คำตอบคือ… จริงๆ แล้วอวัยวะเพศชายไม่ได้แข็งเฉพาะตอนเช้าเท่านั้น แต่มันแข็งสลับอ่อนอยู่ตลอดทั้งคืน ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะองคชาตแข็งตัวขณะหลับ (Nocturnal Penile Tumescence) เป็นอาการปกติของคุณผู้ชายที่มีสมรรถภาพทางเพศสมบูรณ์ หรือภาษาชาวบ้านก็คือยังเตะปี๊บดังอยู่นั่นเอง ปกติภาวะนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 3-5 ครั้งในเวลากลางคืน ขณะร่างกายอยู่ในภาวะหลับตื้น (REM sleep) โดยจะแข็งสลับอ่อนอย่างละครึ่งของเวลาที่นอนหลับ เช่น ถ้านอน 8 ชั่วโมง อวัยวะเพศก็จะแข็งรวมๆ ประมาณ 4 ชั่วโมง สำหรับสาเหตุของการแข็งตัวขององคชาติในตอนเช้านั้น เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนที่ชื่อว่า ‘นอร์อะดรีนาลิน’ (Noradrenaline) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ลดการแข็งตัวขององคชาติ แต่ในตอนกลางคืนจนถึงเช้าฮอร์โมนนี้จะไม่ค่อยถูกปล่อยออกมามากนัก ทำให้อวัยวะเพศชายแข็งตัวได้ง่ายขึ้น กลับกันในช่วงเวลากลางคืนจะมีฮอร์โมนอีกตัวที่ถูกปล่อยออกมานั่นคือฮอร์โมน ‘ฟอลลิเคิลสติมูเลติง’ (Follicle Stimulating Hormone) […]Read More
ความอึด ตายยาก คือคุณสมบัติขึ้นชื่อของแมลงสาบพอๆ กับเรื่องกลิ่นตัวของมัน และว่ากันว่าอาวุธนิวเคลียร์ก็ทำอะไรมันไม่ได้ เรื่องนี้…จริงเหรอ? คำตอบคือ… แมลงสาบ แมลงที่มีกลิ่นเหม็นสาบสมชื่อ พบเห็นได้ตั้งแต่ในบ้านเรือนยันกองขยะ ขึ้นชื่อเรื่องความสกปรกชนิดที่ไม่มีใครอยากจะสัมผัส และอีกเรื่องที่ถือว่าชื่อเสียงของเจ้าแมลงสาบนั้นดังกระฉ่อนพอๆ กันก็คือเรื่องของความอึด ตายยาก ที่ว่ากันว่าอาวุธนิวเคลียร์ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ว่าแต่อึดอย่างนั้นจริงเหรอ? ก็ในเมื่อยาฆ่าแมลงในร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านยังฆ่าแมลงสาบได้เลย ถ้าว่ากันตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็สามารถตอบได้สั้นๆ ตรงนี้เลยว่า “ยังไม่พบหลักฐานที่ยืนยันว่าแมลงสาบรอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ได้” มีเพียงความจริงที่ว่า โดยทั่วไปแมลงมีความสามารถในการต้านทานต่อรังสีมากกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลัง เนื่องจากขนาดตัวที่เล็กของของพวกมันและยังมีระบบโครงกระดูกภายนอก (Exoskeleton) ที่พบในสัตว์ประเภทแมลงหรือหอย ซึ่งเป็นโครงสร้างแข็งที่ช่วยปกป้องร่างกายจากภายนอก และยังเป็นที่รู้กันดีว่าแมลงสาบบางชนิดสามารถอยู่รอดได้แม้จะได้รับสารอาหารอย่างจำกัด แถมยังขยายพันธุ์ได้เร็วอย่างน่าตกใจ ด้วยสาเหตุเหล่านี้นักวิจัยหลายคนจึงเชื่อว่าแมลงสาบน่าจะอยู่รอดจากกัมมันตภาพรังสีได้นานกว่าสัตว์มีกระดูกสันหลัง ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ คำตอบอาจจะรอเราอยู่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาของนักวิจัยจากสถาบันสรีรวิทยาพืชและนิเวศวิทยาในเซี่ยงไฮ้ ที่หาสาเหตุว่าทำไมแมลงสาบถึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แสนจะเลวร้ายได้ และคำตอบที่ได้ก็คือเป็นเพราะ ‘ยีน’ นั่นเอง นักวิจัยพบว่าแมลงสาบมียีนที่ช่วยให้พวกมันรับรู้กลิ่นอาหารได้ไวมากโดยเฉพาะอาหารที่กำลังบูดเน่า และยังมียีนที่คอยควบคุมระบบถอนพิษในอวัยวะภายใน เป็นเหตุผลที่ว่าอาหารเน่าเสียไม่สามารถทำอะไรแมลงสาบได้ ต่างจากมนุษย์ที่ต้องมีอาการท้องเสียหรืออาจจะรุนแรงกว่านั้นได้ หากกินของเสีย ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะแมลงสาบยังมียีนที่ช่วยให้พวกมันมีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง สามารถต่อสู้กับภาวะติดเชื้อได้ หรือแม้กระทั่งยีนที่ช่วยให้พวกมันสร้างแขนขาขึ้นมาใหม่ทดแทนส่วนที่ขาดหรือหลุดไปได้ และแมลงสาบตัวเมียก็สามารถออกลูกออกหลานได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวผู้ด้วย นักวิจัยจึงสรุปว่ายีนที่พบในแมลงสาบเหล่านี้นี่แหละที่ช่วยให้พวกมันมีชีวิตรอดและอยู่มาทุกยุค และคงจะอยู่ต่อไปอีกนานไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จะสูญพันธุ์ไปก็ตาม แต่เดี๋ยวก่อน!! นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าแมลงสาบจะอยู่ยั้งยืนยง และเป็นสายพันธุ์ที่ครองโลกหรอกนะ ก็เพราะโลกนี้ยังมียาฆ่าแมลงอยู่น่ะสิ ถึงจะยังไม่แน่ชัดว่าแมลงสาบรอดจากอานุภาพของนิวเคลียร์ได้จริงหรือไม่ แต่ที่จริงแท้แน่นอนก็คือทุกวันนี้แมลงสาบจอมอึดตายได้ด้วยยาฆ่าแมลงซึ่งเป็นสารเคมีที่มีผลต่อระบบประสาทของแมลง […]Read More