Work from home ท่ามกลางวิกฤต เรื่องที่ควร Work แต่ทำไมไม่ Work?ช้า หรือ แค่ไม่ชิน?
เรื่อง : ศรัณย์ คุ้งบรรพต
จากสถานการณ์โลก ทั้งโรคระบาดไวรัสโคโรนา และ PM 2.5 ที่ถาโถมอยู่ตอนนี้ ผมได้ยิน 1 คำถามที่โดนใจผม และมั่นใจว่าต้องโดนใจใครหลายๆคน
“ทำไมไม่ให้พนักงานทำงานจากที่บ้านทั้งๆที่มันวิกฤติขนาดนี้ คนที่มีอำนาจ มัวทำอะไรกันอยู่ ทำไมไม่ตัดสินใจ สั่งการ”
เออ นั่นสิครับ น่าคิด น่าหงุดหงิดด้วยซ้ำ…เพราะเอาจริงๆ พนักงานในหลายๆตำแหน่งงาน เช่นกลุ่มที่ไม่ต้องเจอลูกค้า หรือ ไม่มีความจำเป็นต้องผูกตัวติดกับออฟฟิซ ก็น่าจะสามารถ work from home ได้บ้างเมื่อถึงเวลาจำเป็น เวลาคับขันแบบนี้ หรืออย่างน้อยออกมาตรการ วิธีการช่วยเหลือพนักงานและประชาชนทั่วไปด้วยวิธีอื่นๆ ก็ยังดี เช่น บังคับใส่หน้ากาก โดยคนที่รับผิดชอบจัดหาให้ หรือ หาหน้ากากในราคาถูกกว่าแต่ได้มาตรฐานมาให้ ยาวจนไปถึงการสั่งการ แนะนำ หรือ ขอความร่วมมือว่า ให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน โดยจัดกลุ่มว่า ใคร “ต้อง” ทำงานที่บ้าน และ ใคร “ควร” อยู่ในมาตรการไหน
สำหรับเรื่อง Work from home แน่นอน ห้ามพูดว่าไม่รู้จักว่า Work from home คืออะไร เพราะมันไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับโลกใบนี้ และไม่ใช่ Rocket science อะไรที่เราๆไม่คุ้น ทำไม่ได้ หรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อน (โคโรน่าไวรัสใหม่กว่ามาก)
Concept นี้มีมานานมากแล้ว และบางบริษัททั้งในไทยและต่างประเทศก็ได้เริ่มทำกันมานาน เพียงแต่ว่า ในบ้านเรา มันยังไม่แพร่หลาย หรือ บางครั้งก็นำมาใช้กันอย่างกล้าๆกลัวๆ หรือ พอคิดจะ Work from home เราๆท่านๆก็จะได้รับคำแนะนำ หรือ หาทางออกไปเองเลยด้วยการ “ลา” ให้มันจบๆไป แต่สุดท้ายก็นั่งทำงานอยู่บ้าน โดนเจ้านายไลน์ตามจิกถามงานยิ่งกว่านั่งที่ออฟฟิศ
เราลองมาตั้งหลัก และ ลองมองดีๆ จะพบว่า ประเทศไทย และ อีกหลายประเทศในเอเชีย เราเหมาะสมมากๆนะครับที่จะนำแนวคิด Work from home มาใช้อย่างจริงจัง ในแบบที่แทบไม่ต้องถามว่าทำไม…เพราะเรารู้อยู่เต็มอก โดยไม่ต้องอ้างถึง Work life balance หรือ การ เคารพ Diversity ในบางกรณีเช่น คุณแม่ลูกอ่อน หรือ การมีความจำเป็นส่วนตัวที่ต้องจัดการทางบ้านในระยะเวลาสั้นๆ
ทำไมไทยจึงเหมาะ เหมาะมานานแสนนาน…
รถติดจนจิตแตกไงครับ มงลงเรามาหลายปีติดในเรื่องรถติดเกือบที่สุดในโลก ปัญหาเรื้อรังที่เป็นปัญหามานาน และ กำลังจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเรามีทางแก้ไขแล้วนะ แต่เพราะ สภาพของ “ปัญหาได้กลายเป็น norm ใหม่ไปเรียบร้อย” คนกรุงเทพ “ชิน” และ “ทำใจ” รับมันเป็น new norm ไปแล้วที่จะต้องใช้เวลาอยู่ในรถมากกว่าเล่นกับลูก หรืออยู่กับ ครอบครัว ชนิดว่าพอกลับถึงบ้านคุณพ่อคุณแม่สะบักสะบอมไปหมดเหมือนเพิ่งฝ่าสงครามกลับบ้าน
มลภาวะไงครับ ออกมานอกบ้านทีไร อยากจะซื้อประกันชีวิตเพิ่มทุกที อยากฟอกปอด อยากสระผม ชำระล้างร่างกาย บางรายอยากพรมน้ำมนต์เพื่อชะโลมใจว่ารอดตายไปได้อีกวันจากควันพิษที่เดิมก็แย่อยู่แล้ว ก่อนที่จะมีกระแสเรื่อง PM 2.5
โรคร้ายและฝุ่นนรกไงครับ มาแทบทุกปีจนจะเป็นวาระประจำแล้ว กำลังจะเป็นอีก new norm ที่ต้องยอมทำใจรับ โดยเฉพาะ ฝุ่น และโรคระบาดที่กำลังจะกลายเป็นฤดูกาลฤดูที่ 4 ที่เราไม่ต้องพกร่ม หรือเสื้อกันหนาว แต่ต้องพกหน้ากาก และ คนใหญ่คนโตก็เพียงออกมาบอกว่า “ดูแลตัวเองกันนะลูกน้า…ออกกำ”
นี่ยังไม่นับรวมเรื่องอื่นๆ ที่แต่ละคนก็อาจจะมีเหตุผลส่วนตัวที่อยากจะขอ Work from home
เหตุผลชัดหรือยังครับ เหตุและปัจจัยพร้อม แต่ทำไมหลายองค์กร ทั้งรัฐ และเอกชน ถึงยังไม่ยอมให้คนไทยอย่างเราๆทำงานที่บ้าน
อย่างแรกเลย หลายองค์กรและบรรดาเจ้านายทั้งหลาย ยังระแวงว่า ถ้าให้ทำงานที่บ้าน พนักงานจะทำงานจริงๆ หรือ อู้ และหลายครั้งเราหลายๆคนในฐานะพนักงานถูกมองว่าวินัยไม่ดีครับ (ซึ่งก็มีส่วนจริงอยู่มาก) “ขนาดนั่งในออฟฟิศ ยังมาสาย ยังนั่งหลับ พักเที่ยงเลท นั่งตีป้อม ซื้อของออนไลน์กันเลย ถ้าให้ทำงานอยู่บ้าน ก็คงเหมือนส่งพนักงานไปเดินห้าง หรือนอนดูซี่รี่ส์อยู่บ้าน งานไม่เดิน”
สาเหตุถัดมา หลายองค์กร ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะลงทุนเรื่องระบบที่รองรับให้พนักงานไปทำงานที่บ้านได้เหมือนอย่างที่ทำได้ที่ออฟฟิศ เช่น การเข้าระบบงานจากที่บ้าน ระบบการประชุมทางไกล หรือแม้แต่แลปท้อป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นงบประมาณมหาศาลที่ต้องลงทุน แถมยังต้องมาเสี่ยงที่จะพบว่า “อ้าว ลงทุนให้ work from home ขนาดนี้ แต่พนักงานเดินเล่นซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมอยู่พารากอน”
และคำว่าขนมพอสมน้ำยาก็มีจริง เพราะพนักงานเองก็หัวหมอไม่เบา ทำนองว่า “จะให้ทำงานจากที่บ้านหรอ งั้นฉันจะต้องขออะไรคืนบ้างแหละ” เพราะในหลายครั้งที่พอหลายองค์กรเริ่มจะริเริ่มให้ทำงานที่บ้านได้ พนักงานเองก็เริ่มพ่นพิษด้วยการถามคำถามว่า “งั้นองค์กรต้องช่วยจ่ายค่าอินเตอร์เน็ทนะคะ เพราะถือว่าจะเอามาใช้ทำงาน” องค์กรก็เลยเพลีย และล้มเลิกไปในที่สุด และ คงอยากจะถามว่า “ปกติที่ดูเน็ทฟลิคที่บ้านนี่คือใช้เน็ทจาก Wifi สาธารณะ หรือ Hack password wifi ข้างบ้านหรอครับ”
ในสหรัฐ หรือ หลายๆที่ทั่วโลก การทำงานจากที่บ้านเป็นเรื่องปรกติมาก และ ได้ผลดีไม่ต่างจากนั่งทำงานที่ออฟฟิซ (อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ที่ผมเห็นมา) เพราะ ระบบพร้อม คนพร้อม โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้านายก็พร้อม เมืองนอกเขามีความพร้อมในมุมที่ว่า เจ้านายก็ไว้ใจลูกน้องว่าอยู่ที่ไหนก็ทำงานแน่ๆ และมีการตั้งเป้าหมายถึงผลงานที่คาดหวังที่ชัดเจน ติดตามผลงานได้ทางออนไลน์หรือโทรศัพท์เพราะสื่อสารเรื่องงานได้ทั้งวัน งานไม่ตกหล่น จนออกมาเป็นผลงานได้ ไม่ต่างจากการนั่งในออฟฟิศ
ในสหรัฐ หรือ หลายๆที่ทั่วโลก การทำงานจากที่บ้านเป็นเรื่องปรกติมาก และ ได้ผลดีไม่ต่างจากนั่งทำงานที่ออฟฟิซ (อย่างน้อยก็จากประสบการณ์ที่ผมเห็นมา) เพราะ ระบบพร้อม คนพร้อม โดยเฉพาะคนที่เป็นเจ้านายก็พร้อม เมืองนอกเขามีความพร้อมในมุมที่ว่า เจ้านายก็ไว้ใจลูกน้องว่าอยู่ที่ไหนก็ทำงานแน่ๆ และมีการตั้งเป้าหมายถึงผลงานที่คาดหวังที่ชัดเจน ติดตามผลงานได้ทางออนไลน์หรือโทรศัพท์เพราะสื่อสารเรื่องงานได้ทั้งวัน งานไม่ตกหล่น จนออกมาเป็นผลงานได้ ไม่ต่างจากการนั่งในออฟฟิศ
แต่ถ้าใครโกหก ก็เจ็บหนัก หรือ เด้ง…
โดยส่วนตัวผมเคยทดลองทำงานจากที่บ้านทั้งตอนที่ทำงานในเมืองไทย และ ที่ต่างประเทศ ผมพบว่าการทำงานจากที่บ้านมีประสิทธิภาพอย่างน่าตกใจ ผมเองได้ไอเดียบรรเจิด ได้คิดนอกกรอบ ผมใช้เวลาได้คุ้มค่า และ งานเสร็จเร็วกว่าการนั่งทำงานในออฟฟิศ
ในมุมกลับกัน ลองมาดูระบบการเข้างานแบบตอกบัตร เซ็นชื่อแสกนนิ้วแบบที่หลายๆที่ทำอยู่ ผมสงสัยว่า มันวัดอะไรได้บ้าง นอกจากวินัย และ คนนี้มาทำงานตรงเวลา แต่มันมีอีกหลายจุดมากที่ขาดหายไป และไม่สามารถทำให้ใครมั่นใจได้เลยว่า การมาทำงานของพนักงานที่มาเช้า หรือ ตรงเวลานั้น มีประสิทธิภาพ ได้งานอย่างที่คาดหวัง
แต่ก็อย่าเข้าใจผิดว่าผมจะมาถอนรากถอนโคนระบบเดิม เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็แล้วแต่ว่าองค์กรไหน ต้องการเครื่องมือการบริหารอย่างไร เพียงแค่อยากชวนให้ลองมามองมุมการที่เปิดทางเลือกให้พนักงานทำงานจากที่บ้านว่ามันก็มีข้อดีอยู่หลายข้อ
อย่างแรก สิ่งรบกวนระหว่างการทำงานมันหายไป เช่น ไม่มีเพื่อนมาชวนเดินไปซื้อชานมไข่มุกข้างๆตึก ไม่มีโทรศัพท์ที่โทรมาผิดให้เราต่อสายให้ใหม่ ไม่ต้องไปยืนเมาท์ใน pantry หรือโดนเพื่อนร่วมงานมาลากไปฟังเขาอวดเรื่องลูก เรื่องสามี
และอย่างที่สอง ที่สำคัญเลย ผมเอาเวลาที่ต้องเดินทางไปกลับระหว่างบ้านและออฟฟิศ โดยเฉลี่ยนวันละ 3 ชั่วโมง มานั่งทำงาน ในมุมทำงานที่บ้านของตัวเอง และ บรรยากาศที่ผมเองเลือกได้ว่ามุมไหน นั่งท่าไหนระหว่างทำงานแล้วเราสบายใจ
และสุดท้ายด้วยระบบ และ วัฒนธรรมที่ทีมงานตั้งข้อตกลงกันไว้ ผมรู้ตัวว่า วันรุ่งขึ้นพอกลับไปที่ออฟฟิศ เมื่อเจอเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน ผมก็มีงานไปส่ง ไปถกกัน เพื่อให้งานไปต่อได้
ระบบตรวจสอบว่าพนักงานทำงานจริงหรือไม่ มันก็มีอยู่และควรมีนะครับ แต่พอทำไปจนเกิดเป็นวัฒนธรรมการทำงาน ทั้งคน ทั้งองค์กร แทบจะไม่ต้องมากังวลเรื่องนี้แล้ว เพราะ Trust system จะทำหน้าที่ของมันเอง แต่ถ้าใครทำลายระบบ และ ทำลายความไว้ใจ ก็ต้องรับโทษแบบที่เอาให้หราบจำ
ผมจึงอยากจะผลักดันครับ องค์กรไหน เป็นองค์กรใจกล้า ทำได้ ทำไปก่อนเลย ถ้าคนพร้อม ระบบพร้อม อยากให้ลอง เพราะลองแล้ว อาจจะทดลองทำเป็น season ก็ได้ แล้วค่อยๆปรับกันไป จนทั้งคน นโยบาย ระบบ และ องค์กรพร้อมที่จะทำและเดินไปด้วยกัน จนเป็นหนึ่งในทางเลือกของพนักงานและองค์กร
ตัวอย่างดีๆในบางที่ บางประเทศก็มีให้เห็นแล้ว ลองเดินตามเขาก็ได้ คิดเสียว่าได้ช่วยชาติแก้ปัญหาสังคม ช่วยพนักงานให้มีสุขภาพจิตดี มีสมดุลในชีวิต และในเวลาวิกฤตแบบนี้ ทุกคนก็ปลอดภัย
เผลอๆผลของงานอาจจะดีขึ้น ดีกว่าที่นั่งจ้องหน้าทำตาแป๋วกันอยู่ในออฟฟิศ แต่ไม่ทำงานอะไรเลยก็ได้