Various Automobile หลากหลายระดับกับยานยนต์สำหรับคุณ
Lamborghini Huracán Sterrato ซูเปอร์สปอร์ตคาร์นิยามใหม่ทลายทุกข้อจำกัดที่เคยมีมา
ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) ซูเปอร์สปอร์ตคาร์หรูระดับโลกสัญชาติอิตาลี เผยโฉม Huracán Sterrato รถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นแรกที่ออกแบบเพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจทั้งถนนทางเรียบและทางฝุ่น สร้างนิยามใหม่แห่งยานยนต์สปอร์ตชั้นเยี่ยมและตอกย้ำปรัชญาของแบรนด์กับภาพลักษณ์อันกร้าวแกร่ง ภายใต้ดีไซน์ที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย มาพร้อมระบบกันสะเทือนที่ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบที่เพิ่มระยะความสูงใต้ท้องรถและความกว้างช่วงล้อ อีกทั้งยังติดตั้งท่อลมเข้าแบบคลาสสิกบนฝากระโปรงหลังซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมจิตวิญญาณแบบรถสปอร์ต หากยังช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ไหลเข้าสู่เครื่องยนต์เมื่อต้องวิ่งบนลู่แข่งที่มีฝุ่นดินเยอะ พร้อมระบบ LDVI (Lamborghini Integrated Vehicle Dynamics) เวอร์ชันล่าสุด พ่วงด้วยโหมด RALLY สำหรับการขับขี่บนพื้นผิวที่มี กริพน้อยให้แก่ตระกูล Huracán เป็นครั้งแรก ผสานกับยาง Bridgestone ที่ออกแบบมาให้สอดรับกับดีเอ็นเอของแบรนด์แบบ 100% เพราะมีการออกแบบลายดอกยางใหม่และใช้สารประกอบที่ล้ำสมัย ที่ช่วยให้ยางมีแรงยึดเกาะที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะวิ่งบนทางกรวดหรือถนนราดยาง พร้อมการควบคุมที่ดีเยี่ยมและสุดยอดประสิทธิภาพเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง
สำหรับดีไซน์ห้องโดยสารภายในได้รับแรงบันดาลใจจากเบาะรุ่นเอ็กซ์คลูซีฟใน Alcantara Verde Sterrato สะท้อนถึงปรัชญา ‘Feel like a pilot’ ที่นำมาประยุกต์ใช้กับรถยนต์ Huracán ควบคุมทุกฟีเจอร์ด้วยหน้าจอแบบทัชสกรีน กับการแสดงผลกราฟิกแบบใหม่และฟีเจอร์พิเศษสำหรับการขับขี่ออฟโร้ด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่แบรนด์ให้มาตรวัดความลาดเอียงแบบดิจิทัลพร้อมด้วยตัวบอกระยะการยกตัวและการเอียงตัวของรถ เข็มทิศ ตัวบ่งชี้พิกัดทางภูมิศาสตร์ และตัวบ่งชี้มุมบังคับเลี้ยวแบบครบครัน
ในด้านขุมพลังเครื่องยนต์นั้น พลังเครื่องยนต์ V10 มอบสัมผัสแห่งการขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจด้วยกำลังเครื่องยนต์สูงสุด 610 แรงม้า และแรงบิด 560 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที ผสานระบบส่งกำลังคลัตช์คู่ 7 สปีดและระบบขับเคลื่อน All-wheel drive ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเฟืองท้ายระบบกลไกแบบล็อกตัวเอง โดยสามารถเร่งความเร็วตั้งแต่ 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 3.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่ 260 กม./ชม. เพื่อมอบสมรรถนะการขับขี่ขั้นสูงสุดแม้วิ่งบนพื้นถนนทางหลักจนถึงถนนทางฝุ่น พร้อมระบบเชื่อมต่อระยะไกล ช่วยให้นักขับสามารถตรวจสอบสมรรถนะรถยนต์และวิเคราะห์ข้อมูลผ่านทางแอป UNICA โดยผู้ที่ใช้ Apple Watch สามารถซิงค์ข้อมูลอัตราการเต้นหัวใจเข้ากับระบบเชื่อมต่อ เพื่อตรวจวัดสมรรถนะการขับขี่ของตัวเอง โดยใช้ฟังก์ชั่น Lamborghini Drive Recorder เพื่อบันทึกประสบการณ์การขับขี่ได้ตามต้องการ ให้นักขับเก็บช่วงเวลาแสนเร้าใจในรูปแบบคลิปวิดีโอ
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ขาดไม่ได้คือ Huracán Sterrato นำเสนอออปชันการตกแต่งอย่างไร้ข้อจำกัดเพื่อการสร้างสรรค์ซูเปอร์คาร์ในฝันให้ตรงกับสไตล์นักขับมากที่สุดด้วย Lamborghini Ad Personam โดยสามารถเลือกโทนสีภายนอกได้มากถึง 350 เฉดสี ตลอดจนสีของหนังและการตกแต่งแบบ Alcantara ได้มากกว่า 60 โทน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-512-5111
แอสตัน มาร์ติน DB12 ‘The World’s First Super Tourer’
แอสตัน มาร์ติน แบงคอก เปิดตัวยนตรกรรมสปอร์ตจากประเทศอังกฤษรุ่นล่าสุด แอสตัน มาร์ติน DB12
พร้อมนิยามใหม่ ‘The World’s First Super Tourer’ ที่เน้นความชัดเจนของเส้นสาย ให้กับยนตรกรรมระดับไอคอน ออกแบบและผลิตภายใต้แนวคิด ‘Driver Centric’ โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับผู้ขับ เน้นการใช้งานที่ง่าย สะดวก และมีประสิทธิภาพสูงสุดในการควบคุมรถ ด้วย 5 โหมดการขับ คือ Wet, Individual, GT (พื้นฐาน), Sport และ Sport+ พร้อมติดตั้งระบบออกตัว (Launch Control) สำหรับการทะยานจากจุดสตาร์ท รวมถึงมีระบบควบคุมการทรงตัว (ESP-Electronic Stability Programme) ที่สามารถปรับได้ 3 แบบ คือ ON, TRACK และ OFF
ตัวถังดีไซน์ใหม่ กว้างและดูดุดันยิ่งขึ้น เน้นจุดเด่นของด้วยกระจังหน้า แบบ single vaned ที่มีความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรุ่น DB โดยมีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 56% (เทียบกับ DB11 V8) กันชนหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมแผ่นรีดอากาศด้านหน้า (front splitter) โลโก้สัญลักษณ์ (Aston Martin Wing Badge) แบบใหม่ ติดตั้งบน แอสตัน มาร์ติน DB12 เป็นรุ่นแรก พร้อมช่องระบายอากาศบนฝากระโปรง เพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์ และเทอร์โบคู่ ที่อยู่บริเวณกลางห้องเครื่อง ไฟหน้าแอลอีดี พร้อมเดย์ไทม์รันนิงไลท์แบบใหม่ (6-block pattern) กระจกข้างทรงสปอร์ตไร้กรอบ เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะช่วงความเร็วสูง ด้วยระบบแอโรไดนามิกส์ ‘Aeroblade’ โดยใช้หลักอากาศพลศาสตร์ในการสร้างแรงกด
พร้อมสปอยเลอร์หลังแบบอัตโนมัติ รวมไปถึงความประทับใจใหม่ กับ ‘Presenting Door Handles’ เมื่อกดปุ่มปลดล็อกบนกุญแจรีโมท มือจับประตูจะเปิดขึ้นอัตโนมัติ ช่วยให้จับได้สะดวกยิ่งขึ้น
พร้อมด้วยขุมพลังเบนซินทวินเทอร์โบ วี8 สูบ 4.0 ลิตร 680 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,750-6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ (ZF 8HP75) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ภายห้องโดยสารความหรูหราและประณีตทุกรายละเอียด ระบบอินโฟเทนเม้นท์แบบใหม่ ติดตั้งจอดิจิทัลหน้าผู้ขับแบบ TFT 10.25 นิ้ว คมชัดสูง และปรับแต่งการแสดงผลได้หลายแบบ พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ ผสมผสานความหรูหรา ประณีต ตัดเย็บด้วยมือ เข้ากับปุ่มควบคุมระบบอินโฟเทนเมนท์ล้ำสมัย ขณะที่จอแสดงผลอเนกประสงค์ 10.25 นิ้ว ติดตั้งกลางแดชบอร์ด เน้นความสะดวกของผู้ขับ เร้าใจกับปุ่มสตาร์ท/ดับเครื่องยนต์แบบใหม่ ตัวปรับเลือกโหมดการขับแบบแป้นหมุน พร้อมสวิตช์ควบคุมต่างๆ ติดตั้งบริเวณคอนโซลกลาง ใช้งานได้สะดวก
อีกหนึ่งความพิเศษ คือ ช่วงล่างหน้า-ดับเบิลวิชโบน และหลัง-มัลติลิงค์ พร้อมโช้กอัพอะแดปทีฟ ‘BILSTEIN DTX’ ที่มีความความยืดหยุ่น นุ่มหนึบ และความละเอียดในการขับมากขึ้นถึง 500% (เทียบกับ DB11 V8) ทั้งยังติดตั้งเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิป ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-diff) กับยนตรกรรมสายพันธุ์ DB มั่นใจด้วยคาลิเปอร์เบรกหน้า 6 พ็อต หลัง 4 พ็อต จับคู่จานเบรกโลหะเจาะรูระบายความร้อน หน้า-หลังขนาด 400 และ 360 มิลลิเมตร ตามลำดับ พร้อมมีจานเบรกคาร์บอนเซรามิก เจาะรูระบายความร้อน หน้า-หลังขนาด 410 และ 360 มิลลิเมตร เป็นออปชั่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการชะลอความเร็ว และลดน้ำหนักใต้สปริงได้ถึง 27 กิโลกรัม ปิดท้ายด้วยล้อฟอร์จขนาด 21 นิ้ว จับคู่กับยาง Michelin Pilot Sport S 5 แก้มยางระบุอักษร ‘AML’ บ่งบอกว่าผลิตมาสำหรับ แอสตัน มาร์ติน DB12 พิเศษกับโครงสร้างโฟมด้านใน ช่วยลดเสียงรบกวนและนุ่มนวลยิ่งขึ้น โดยมีขนาดหน้า-หลัง 275/35/ZR21 และ 325/30/ZR21 ตามลำดับ
เพิ่มเติม รายละเอียดได้ที่ แอสตัน มาร์ติน แบงคอก โทร. 02-670-6040 (โชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ สาขาพระราม 3) /02-610-9775 (โชว์รูมสาขาสยามพารากอน)เฟสบุ๊ค: Astonmartinbangkok / อี-เมล: [email protected]
นิสสัน คิกส์ อี–พาวเวอร์ สีสุดเทรนดี้ “ไทเทเนียม กากี”
นิสสัน เปิดตัว นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สีพิเศษ ไทเทเนียม กากี กับรถยนต์สีอินเทรนด์ ออกแบบมาสำหรับคนรุ่นใหม่ที่นิยมการใช้ชีวิตกึ่งผจญภัย และรักการเดินทาง สีภายนอกในโทนกากีเป็นสีที่สื่อถึงธรรมชาติ การผจญภัย ความอบอุ่น และการผ่อนคลาย รวมถึงสะท้อนบุคลิกแอคทีฟไลฟ์สไตล์ที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง มีเฉพาะรุ่น VL และผลิตจำนวนจำกัด 100 คัน
ขณะที่จุดเด่นของรถยังคงเป็นระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ อันเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจากนิสสัน ให้ประสบการณ์การขับขี่เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถ ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จ อัตราเร่งที่ทันใจจากแรงบิดสูงสุดถึง 280 นิวตันเมตร (Nm) แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนขนาด 2.06 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ให้ประสิทธิภาพและกำลังมากขึ้น มาพร้อมอัตราประหยัดน้ำมันเมื่อขับขี่ในเมือง สูงสุด 26.3 กิโลเมตร/ลิตร*
คอมแพคเอสยูวีรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นมากมาย อาทิ Wireless Charger** เอาใจลูกค้ายุคดิจิทัล พวงมาลัยบุเสริมวัสดุบุนุ่ม เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ “อี-เพดัล สเต็ป” (e-Pedal Step) ที่สามารถเร่ง และชะลอความเร็วได้ในคันเร่งเดียว และยังมั่นใจทุกการขับขี่ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน 360 Safety Shield เพิ่มความสะดวกสบายด้วย NissanConnect เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทั้ง Android Auto** และ Apple CarPlay ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิสสัน ประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์ https://nissan.co.th หรือ Facebook, Instagram, Twitter และ LinkedIn หรือรับชมวีดีโอล่าสุดจากนิสสันได้ทาง YouTube
Wrangler Rubicon ‘Monster+ Edition’ ผสานช่วงล่างเทคโนโลยีเอกสิทธิ์ จี๊ป 4X4
จี๊ป ราชาออฟ-โรดสัญชาติอเมริกัน นำ จี๊ป ‘แรงเลอร์ รูบิคอน’ (Wrangler Rubicon®) ‘Monster+ Edition’ จัดเต็มชุดแต่ง Mopar พร้อมสีพิเศษ ‘Earl Grey’ สีเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับปี 2566 จุดเด่นอยู่ที่อุปกรณ์ตกแต่งระดับไฮเอ็นด์ แบรนด์ Mopar ลิขสิทธิ์แท้ทั้งคัน รวมถึงชิ้นส่วน อุปกรณ์ตกแต่งเสริม เพิ่มเติมความโดดเด่น และดุดันขึ้น ซึ่งอุปกรณ์ตกแต่งเสริมที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นล่าสุดนี้ ได้แก่ กระจังหน้าและซุ้มล้อหน้า-หลังที่ได้รับการคัสตอมด้วยสีดำพิเศษ Protective Coating, ล้อแม็กขอบ 17 นิ้วดีไซน์ใหม่พร้อมขอบแหวน สี Earl Grey จับคู่กับยาง All-Terrain 35 นิ้ว, สติ๊กเกอร์กราฟฟิก Clawing บนฝากระโปรงหน้า และป้ายสัญญลักษณ์ Monster+ Edition มาพร้อมช่วงล่างที่มีฟังก์ชั่นพิเศษ กับความสามารถในการปลดเหล็กกันโคลง (Sway Bar) อัตโนมัติ เพิ่มความยืดหยุ่นและช่วยให้ล้อสัมผัสกับพื้นตลอดเวลา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. ‘1488 ALWAYS CONNECTED’ /LINE: @jeepthailand /
FACEBOOK: JeepThailand /WEBSITE: www.jeep.co.th
AION Y Plus รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะประสิทธิภาพสูงระดับไฮเอนด์
รถยนต์ไฟฟ้า AION Y Plus เป็นรถ SUV สัญชาติจีนใช้พลังงานไฟฟ้า 100% มาในโฉมสปอร์ตสวยงามทันสมัย พร้อมกับแบตเตอรี่ที่ออกแบบมาใหม่ 2 ขนาด คือ 63.9kWh ระยะทางวิ่ง 510 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (CLTC) และ 76.8kWh ระยะทางวิ่ง 610 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (CLTC) ให้ประสิทธิภาพของพลังงานเพิ่มขึ้น มีระยะการขับขี่เพิ่มขึ้น ภายในรถมาพร้อมเบาะคู่หน้าที่สามารถพับลงเพื่อเป็นที่นอนขนาด 1.8 เมตร อีกทั้งยังมีหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่ที่รองรับแอปพลิเคชันหลากหลาย ช่วยให้ทั้งคนขับและผู้ร่วมเดินทางได้เพลิดเพลินขณะขับขี่ เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการวันที่ 9 กันยายน 2566 นี้ พร้อมออกจำหน่ายในประเทศไทยเป็นรุ่นแรก บุกตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดย บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : AION Thailand