เกาหลีใต้… มากกว่าที่เคยรู้จัก
เรื่อง: อภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์
เมื่อ GM Live ได้รับเชิญจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี หรือ Korea Tourism Organization (KTO) ให้ร่วมทริปไปท่องเที่ยวเกาหลีเพื่อสัมผัสกับจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ผมก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากเมื่อได้เห็นโปรแกรม เพราะเกือบทุกสถานที่นั้น เป็นย่านที่ไม่เคยไป หรือสัมผัสมาก่อนแทบทั้งสิ้น
และเมื่อการเดินทางเริ่มต้นขึ้น….วันแรกที่มาถึงประเทศเกาหลีเราพักกันที่กรุงโซล ( Seoul ) ครับ ผมทำการสำรวจพื้นที่ทันทีเริ่มจาก มุนฮวาบีชุกกีจี หรือ Oil Tank Culture Park ซึ่งผมขอนิยามว่าเป็นสวนสาธารณะที่ผสมผสานกับพื้นที่ทางวัฒนธรรม เพราะในปี ค.ศ. 1970 ที่นี่เคยเป็นคลังน้ำมันที่สำคัญมากๆ ที่เก็บสำรองน้ำมันสำหรับเมืองหลวงไว้ใช้ในภาวะสงคราม หลังการเลิก สถานที่แห่งนี้ก็ปิดตัวยาวหลายสิบปี จนต่อมาในปี ค.ศ. 2013 ทางรัฐบาลกลางได้ประกวดแนวคิดการใช้พื้นที่
จนในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2017 ได้ปรับเปลี่ยนการใช้งานของถังน้ำมันต่างๆ ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงละครในร่ม โรงละครกลางแจ้ง และพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งเมื่อผมได้เห็นและได้สัมผัสทำให้ผมเข้าใจลึกซึ้งถึงแนวความคิดการสร้างประโยชน์ใหม่ในสิ่งก่อสร้างเดิม ซึ่งเป็นแนวทางการปรับเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นและดีอย่างยิ่ง
จากนั้นผมขอตามลายแทงไปเพื่อไปค้นหา สถานที่ซึ่งเปรียบเหมือน Brooklyn ของกรุงโซล และเมื่อมาถึงผมเริ่มต้นด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับ Common Ground หรือ Specialty Store ที่เน้นสินค้าสตรีทแฟชั่น โดยเฉพาะสายรองเท้า Sneaker ซึ่งร้านค้าทั้งหลายนั้น ตั้งอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ ที่เรียงไว้อย่างสวยงาม อย่างมีรสนิยม
แน่นอนว่าย่านนี้ กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมีพลวัต ทำให้ผมได้เห็นการดัดแปลงอาคารที่เคยเป็นโรงงานและกิจการขนาดย่อมเก่าๆ ให้กลายเป็นร้านค้า ไปจนถึงพื้นที่บริการมากมายที่มีสไตล์ ในแบบที่มีสีสัน ซึ่งผสมผสานกับอาคารที่เปลือยแบบโชว์โครงสร้าง และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีพลังเสมอ โดยจุดสุดท้ายสำหรับย่านนี้ คือ Flagship Store แห่งใหม่ของ Dior มีผู้คนจำนวนมาก ทั้งลูกค้า จนถึงผู้ผ่านทางมา ให้สัมผัสด้วยสายตากันอย่างเต็มที่
สำหรับวันที่สอง ผมเดินทางไปที่ จ็อนจู ( JEONJU ) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในจังหวัดจอลลาบุกโด เดินทางด้วยรถไฟที่สะดวกสบายอย่างมาก สำหรับใครที่จะเดินทางมาเองบอกได้เลยว่าไม่ยาก
และเมื่อมาถึงที่ ผมขอเริ่มจาก พิพิธภัณฑ์สุราท้องถิ่น (Jeonju Korean Traditional Wine Museum ) ซึ่งหากจะให้พูดตามตรงเมื่อเทียบกับที่ญี่ปุ่นที่ผมเคยไปมาแล้ว ต้องบอกว่าที่นี่ มีบรรยากาศผ่อนคลายและเป็นกันเองกว่าอย่างเห็นได้ชัด และประเด็นสำคัญที่สุด คือที่นี่อยู่ในหมู่บ้านโบราณหรือJeonju Hanok Village แห่งยุคโซซอน ซึ่งปรับปรุงบ้านกว่า 800 หลัง ให้กลายเป็นสถานที่เพื่อจำหน่ายสินค้าและบริการต่างๆ ใครที่ชอบชุดฮันบก อาหารท้องถิ่นอย่างบิบิมบับ จะต้องชื่นชอบ เพราะมีร้านค้าที่รองรับสำหรับการซื้อของและการชิมเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ
ส่วนใครที่อยากจะรู้เรื่องสุราท้องถิ่น ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างสนุก ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า การที่สินค้าสุราพื้นบ้านเกาหลี สามารถไปตีตลาดโลก และสร้างหมุดหมายทางวัฒนธรรมได้ คือการเริ่มต้นจากการพัฒนาอย่างมีคุณภาพและใส่ใจ ที่เห็นได้จากการเรียนรู้ในสถานที่นี้
ในวันที่สาม…..ผมขอพาไปยัง ซุนชอน ( Suncheon ) โดยมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้าน นากานอึบซอง ( Naganeupseong Folk Village ) ซึ่งต้องขอเทียบอีกครั้งว่า หากคนไทยเคยไปชิราคาวาโกของประเทศญี่ปุ่น เพื่อดูบ้านหลังคาฟางแล้ว ที่ประเทศเกาหลีคุณก็ควรมาซึ่งจุดสำคัญของที่นี่ ที่แตกต่าง คือ บ้านที่ชื่อในภาษาเกาหลีว่า “ โชกาจิบ ” (Chogajip) เกือบทุกหลังนั้นยังมีคนท้องถิ่นอาศัยอยู่จึงมีกลิ่นอายและเสน่ห์แห่งชีวิตให้ได้สัมผัส
และแน่นอนว่า ‘ธรรมชาติ’ คือตัวชูโรงสำคัญสำหรับการเดินทางในวันนี้ ซึ่งผมขอพาไปต่อที่พื้นที่ชุ่มน้ำป่าชายเลนของซุนชอน (Suncheonman Bay Nature Reserve) ที่ต้องยอมรับว่าการเก็บรายละเอียด และดำรงความเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์ งดงาม ผนวกเข้ากับการผสานด้วยกิจกรรมตามยุคสมัย เช่น การเดินท่องป่าหรือ Trekking ซึ่งต้องบอกว่า ทำได้อย่างผสมผสาน และกลมกลืนอย่างยิ่ง
เข้าสู่วันที่สี่ของการเดินทาง โดยมีที่หมายคือ ยอซู (Yeosu) ที่ถือได้ว่าเป็น ‘เมืองชายหาด’ สำหรับประเทศในเขตหนาว เป็นสวรรค์สำหรับคนชอบกิจกรรมกลางแจ้งเลยก็ว่าได้ ซึ่งถ้าใครอยากเพิ่มประสบการณ์ของการเป็นนักสำรวจ จากจุดนี้ มีเส้นทางวิ่งข้ามไปยังเกาะโอดง ซึ่งใช้ระยะทางประมาณ 800 เมตร เหนื่อยพอเหงื่อซึมกำลังเหมาะ คุ้มมากในการเตรียมรองเท้ามาเพื่อวิ่งในเส้นทางนี้ครับ
ต้องยอมรับว่าประเทศเกาหลีเขาสร้างพื้นที่สำหรับให้ชาวต่างชาติมาทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม และเข้าใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับศูนย์แสดงสินค้าและพิพิธภัณฑ์ยอซู (Yeosu EXPO Convention Center & Art Museum Yeosu) ศูนย์กลางในการจัดงานแสดงสินค้าและงานต่างๆ ที่มีความพิถีพิถันแบบมืออาชีพให้ได้สัมผัส และมีบรรยากาศที่เป็นสากลอย่างยิ่ง
และก็มาถึงวันสุดท้ายของการเดินทาง ผมและชาวคณะกลับมาที่กรุงโซลอีกครั้ง โดยเลือกพักในย่าน หมู่บ้านบุคชอน ฮันอก(Bukchon Hanok Village) ที่ถูกโอบล้อมด้วยสถานที่เชิงประวัติศาสตร์สำคัญของกรุงโซล ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศ เช่น พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace) และ พระราชวังชางด๊อกกุง (Changdeokgung Palace) เป็นต้น
หมู่บ้านบุกชอนฮันอก จัดว่าเป็นอีกสถานที่ที่มีเสน่ห์อย่างมาก ท่ามกลางตึกสูงที่ทันสมัยของกรุงโซล แต่อาคารบ้านเรือนในสมัยโบราณของขุนนางระดับสูงในยุคสมัยโชซอน กลับถูกเก็บรักษาและอนุรักษ์ไว้ได้เป็นอย่างดี โดยในปัจจุบัน บ้านหลายหลังในหมู่บ้าน ได้รับการดัดแปลงให้เป็นศูนย์วัฒนธรรม ที่พักนักเดินทาง ร้านอาหาร และโรงน้ำชา พร้อมเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยว ที่เข้ามาเพื่อสัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรมเกาหลีแบบดั้งเดิม ออกจะชวนให้นึกถึงย่านตลาดน้อยของประเทศไทย ที่มีทั้งความเก่าและใหม่ ควบรวมกันอยู่อย่างพอเหมาะ
ต้องบอกว่าการมาเยือนเกาหลีในครั้งนี้ผมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วกว่าทุกครั้ง แม้ว่าก่อนกลับจะได้แวะซื้อของฝากและใช้ชีวิตในบรรยากาศของกรุงโซลในที่คุ้นเคยก่อนการสั่งลา ทั้งที่เมียงดง โซลทาวเวอร์ อินซาดง ก็ตาม ….
และเชื่อว่าจะต้องได้กลับมาสัมผัสเกาหลีใต้อีกอย่างแน่นอน…