fbpx

วัดย่านฝั่งธนฯ มีมากกว่าที่เคยได้เห็น

เรื่อง/ภาพ : อภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์

การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้หลายๆ สิ่งเกิดขึ้นกับผม .. ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็ได้อะไรมากมายจากการที่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับ New Normal หรือ ปกติใหม่ เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ผมว่างเว้นจากการเดินทางไปต่างประเทศเกือบจะสองปีแล้ว … แต่กลายเป็นว่าผมได้ทำความรู้จักกับความงามในแบบใกล้ตัวมากมาย  ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยมองข้ามไป

————— 

ผมอยากให้ทุกท่านลองมาสัมผัสกับวัดเล็กๆในย่านฝั่งธนบุรีกันครับ เพราะย่านนี้ไม่ได้มีแค่วัดอรุณราชวราราม วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร  หรือวัดที่มีชื่อเสียงคุ้นหูเท่านั้น ซึ่งถ้าหากไม่เลือกไปเที่ยวชมวัดที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ดูโดดเด่นเป็นสง่าแล้วละก็  ลองเปลี่ยนมาเป็นการค้นหาวัดที่ซ่อนตัวตามคลองต่างๆ ในย่านฝั่งธนบุรีกันดูบ้างครับ  รับรองว่าได้เจอขุมทรัพย์ดีๆ อีกมากเหมือนที่ผมได้พบเจอมา

—————–

วัดเกาะ ตลิ่งชัน

ที่นี่คือวัดแรกที่ผมอยากแนะนำให้มาทำความรู้จัก หาไม่ยากครับ โดยเริ่มต้นค้นหาคำว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกรุงเทพมหานคร แล้วนำรถมาจอดบริเวณนี้ได้ ซึ่งมีที่จอดของเอกชนแบบเสียค่าจอด แต่สามารถจอดรถไว้ได้อย่างสบายใจ จากนั้นขอให้เดินหรือจะปั่นจักรยานก็ได้ไม่ว่ากัน ข้ามสะพานเล็กๆ เป็นสะพานข้ามคลองบางเชือกหนัง แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางเดินผ่านชุมชน ก็จะพบกับ วัดเกาะ ที่เป็นจุดบรรจบกันของคลองบางระมาดและคลองบางเชือกหนัง ซึ่งจากภาพที่เห็นนั้นประหนึ่งว่าวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะเลยทีเดียว

วัดเกาะ ดูเหมือนวัดเก่าในชนบท แต่มีภูมิทัศน์ที่สะอาด และที่น่าสนใจสำหรับผม คือ วิหารหลวงพ่อดำ ซึ่งคงความเรียบง่าย สวยงาม โดยที่หน้าบันมีตัวอักษร“ชุ่ม” ซึ่งเป็นนามผู้สร้าง ภายในวิหารประดิษฐาน หลวงพ่อดำ ซึ่งชาวบ้านนิยมมาบนบานศาลกล่าว โดยเฉพาะเรื่องการเกณฑ์ทหาร เมื่อสำเร็จก็จะมีการแก้บนด้วยไข่ 100 ฟอง

ไฮไลท์ของผมสำหรับที่นี่ไม่ได้อยู่ที่เรื่องการมาบนบานศาลกล่าวครับอย่าเพิ่งเข้าใจผิด แต่เป็นพระอุโบสถที่สร้างเมื่อ พ.ศ. 2473 หลังคาประดับด้วยช่อฟ้าและใบระกา โดยมีการบูรณะขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2522  ซึ่งรูปแบบการก่อสร้างแม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเมื่อมองจากภายนอก แต่เมื่อเข้าไปภายในพระอุโบสถ แล้วมองไปบนผนัง

ภาพพุทธประวัติที่ปรากฎให้เห็นนั้นต่างหากที่เป็นไฮไลท์สำหรับผม เพราะดูมีเอกลักษณ์อย่างมาก สอบถามได้ความว่าเป็นผลงานของนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเที่ยวชมที่วัดแห่งนี้ และห็นความทรุดโทรมของผนัง จึงเสนอตัวกับเจ้าอาวาสในการทำภาพพุทธประวัติให้ทางวัด ซึ่งผลงานที่เห็นนี้เป็นเทคนิคการผสมผสาน ในรูปแบบ  กราฟิตตี้อาร์ต หรือ การพ่นสีบนผนังเป็นหลัก โดยผลงานภาพสไตล์นี้ผมเชื่อเหลือเกินว่า ไม่น่าจะมีวัดใดในประเทศไทยที่จิตรกรรมพุทธประวัติบนผนังวัดเป็นฝีมือต่างชาติ และ สร้างขึ้นมาด้วยการพ่นสีสเปรย์

————

วัดปากน้ำฝั่งใต้ 

เมื่อออกจากวัดเกาะแล้วเดินย้อนกลับทางเดิม แต่อย่างเพิ่งข้ามสะพานนะครับ ขอให้ตรงไปอีกสักหน่อยจะพบกับวัดปากน้ำฝั่งใต้ ซึ่งเมื่อเข้าไปภายในวัด จะได้กลิ่นหอมของขนมปังอบอวลมากครับ เพราะที่วัดนี้มีห้องทำขนมปังขนาดใหญ่ ซึ่งทางวัดสร้างขึ้นสำหรับทำขนมปังโดยเฉพาะและทำสดใหม่ทุกวัน เพื่อจำหน่ายสำหรับรับประทาน หรือจะให้เป็นอาหารปลากับวังปลาหน้าวัดเพื่อเป็นการทำทานกับปลาดุกปลาสวายจำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะได้บุญได้กุศลแล้วยังมีได้ซึมซับกับบรรยากาศสองฝั่งคลองที่ดูเผินๆ ก็มีบรรยากาศคล้ายกับอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เพียงแต่เล็กกว่าทว่ายังคงความดั้งเดิมมากกว่าด้วยวิถีชีวิตแท้ๆ ของคนท้องถิ่น ซึ่งมีมากกว่านักท่องเที่ยว  และถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นหลักเขตริมน้ำที่เป็นการแบ่งสองฝั่งคลองระหว่างเขตตลิ่งชัน และเขตภาษีเจริญ

สำหรับวัดปากน้ำฝั่งใต้ และฝั่งเหนือที่อยู่ตรงข้ามกันนั้น ตามประวัติไม่มีการบันทึกรายละเอียดมากนัก แต่สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่ยังคงมีกลิ่นอายหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง

———————-

วัดจำปา

จริงๆ ถ้าจะให้เล่าความประทับใจ และรายละเอียดของวัดในย่านฝั่งธนบุรียังมีอีกมากมายจริงๆ ครับ … แต่สำหรับในครั้งนี้ขอปิดท้ายด้วยวัดที่มีจระเข้บนหลังคา… ใช่ครับผมเขียนไม่ผิด และคุณก็อ่านไม่ผิดอย่างแน่นอน

ที่เห็นนี้ คือ จระเข้ปูนปั้นบนหลังคาระเบียงคต จากการสืบค้นและสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ในย่านนี้ ต่างเล่าว่าบริเวณนี้น้ำค่อนข้างนิ่งจระเข้ชอบนัก คนโบราณจึงปั้นจระเข้ไว้บนหลังคาเพื่อประกาศว่าที่นี่มีเจ้าถิ่นแล้ว จระเข้จากถิ่นอื่นจักได้มิขึ้นมา ..ผมว่าเป็นกุศโลบายที่น่ารักที่เดียว

วัดจำปาก่อตั้งวัดเมื่อปี พ.ศ. 2365 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. 2370 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3  แต่วัดน่าจะสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมีอุโบสถหลังเก่าเป็นทรงวิลันดาที่นิยมสร้างกันสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย   

อุโบสถ วิหาร และระเบียงคต ตกแต่งด้วยถ้วยชามและตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้าบันอุโบสถมีกระเบื้องอย่างฝรั่ง เป็นชามล้างหน้าลายดอกไม้ขนาดใหญ่และประดับตกแต่งด้วยปูนปั้นระบายสีถ้วยชามกระเบื้องเคลือบ ภายในอุโบสถมีฐานชุกชี มีราชวัตรโลหะหล่อตั้งล้อมฐานพระประธาน ทำจากโลหะหล่อจากประเทศอังกฤษ ลายพรรณพฤกษาอย่างฝรั่ง ประดับตราแผ่นดินสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้สันนิษฐานได้อีกว่าคงได้รับการบูรณะอีกครั้งในสมัยดังกล่าว ภายใน อุโบสถประดิษฐานพระประธานนามว่า หลวงพ่อโชคดี  พร้อมภาพจิตรกรรมฝาผนังให้ดูเพลินตา

————————-

ครับ…ทั้งสามวัดที่ผมพาเที่ยวพอสังเขปนี้ น่าจะมีข้อมูลน้อยมากๆ ในโลกออนไลน์ และน้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าหากได้มาสัมผัสสถานที่จริง ผมเชื่อว่าสามารถเก็บความประทับใจกลับไปได้อย่างมากแน่นอน อย่าเชื่อผม จนกว่าจะมาสัมผัสด้วยตัวเอง

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ