fbpx

THE NEXT TRILLIONAIRE

อลังการงานสร้าง, ประโยคที่วิ่งวนๆ อยู่ในหัวสมอง ทันทีที่รถยนต์กำลังเลี้ยวตัวเข้าสู่อาณาจักรแห่งนี้
บนพื้นที่กว่า 15 ไร่ที่เรายืนอยู่ในขณะนี้ ตึกที่ตั้งตระหง่าน ถูกจัดแบ่งเป็นฐานบัญชาการของ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) แต่รายรอบที่มองเห็นไม่ไกล กำลังถูกล้อมรั้วเอาไว้ ปรากฏป้ายชื่อโครงการที่จะแล้วเสร็จในอนาคตอันใกล้ว่า River King Village คะเนพื้นที่กว้างขวางนั้นจากสายตา น่าจะกินความใหญ่โตพอๆ กับห้างสรรพสินค้าขนาดย่อม นี่ยังไม่นับปั๊มน้ำมันที่อยู่ติดกันนั่นอีก ทั้งหมดที่ว่านี้ เป็นของสุภาพสตรีที่เรามีนัดกับเธอ แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์

เมื่อปลายปีก่อน สุภาพสตรีคนนี้เพิ่งได้รับรางวัล Asia Media Woman of the Year 2019 สาขา Media Award หรือ รางวัลสตรีข้ามเพศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมคอนเทนต์เอเชีย จากงาน Content Asia ประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้นิตยสาร Forbes Thailand ยังจัดอันดับให้เธอเป็นสตรีข้ามเพศที่รวยที่สุดในเอเชีย และเป็นอันดับ 3 ของโลก

CEO หญิงคนนี้ยังถูกขนานนามอีกว่าเป็น Queen of Content หรือเจ้าแม่คอนเทนต์ที่ไม่ว่าสื่อเจ้าไหน ต่างก็มีสินค้าคอนเทนต์ของเธอออนแอร์อยู่ในสถานี ด้วยความสำเร็จเหล่านี้ จึงนำพาให้บริษัทที่ปลุกปั้นมากับมืออย่าง ‘เจเคเอ็น’ เดินหน้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ พร้อมศักดิ์ศรีพ่วงท้ายว่า ‘มหาชน’ วันนี้ ตัวเลขในวงจรธุรกิจอยู่ที่ราว 6,000-7,000 ล้านบาท แต่ก็ใช่ว่า มหาเศรษฐีอย่างเธอจะไม่เคยเจอกับวันที่โดนมรสุมการเปลี่ยนแปลงเข้าโจมตี พูดด้วยภาษายุคนี้ เรียกว่าชีวิตถูกดิสรัปต์ (Disrupt) มาไม่รู้กี่ครั้ง จากครอบครัวร้านเช่าม้วนวิดีโอต้องเจอกับการมาถึงของแผ่น VCD, DVD ไม่นานนักก็ถูกต้อนรับด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า Blu-ray ก่อนที่ยุคสมัยจะไปต่อกับ Video Streaming แวบเดียวก็กลายมาเป็นบริการ OTT (Over The Top) นี่ยังไม่นับแพลตฟอร์มที่มาแรงประจำยุคอย่าง YouTube และอีกสารพัด

ทั้งหมดทั้งมวล เธอไม่ยี่หระต่อการเปลี่ยนแปลง เพราะรับรู้อย่างดีว่า สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปนั่นก็คือ ‘คอนเทนต์ที่อยู่ในมือ’ ไม่ว่าจะแพลตฟอร์มไหน สุดท้าย-ท้ายสุด ก็ต้องมีคอนเทนต์วิ่งวนอยู่ในนั้น เหมือนร่างกายที่ต้องมีอาหารหล่อเลี้ยง ไม่ต่างอะไรกับจอทีวีที่จะไม่มีวันไร้ละครหรือรายการ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นแต้มต่อเมื่อสิ่งที่เป็นเสมือน ‘หัวใจ’ ล้วนตกอยู่ในมือของเธอทั้งสิ้น!

เราเดินเข้ามาสู่ออฟฟิศของ ‘แอน เจเคเอ็น’ ไม่ใช่สิ! เรียกว่า เดินเข้ามาสู่ ‘อาณาจักร แอน เจเคเอ็น’ ถึงจะสมน้ำสมเนื้อมากกว่า เพราะตรงหน้าขณะนี้ รายล้อมไปด้วยภาพโปสเตอร์เหล่าบรรดาซีรีส์ ละคร ภาพยนตร์ และอีกสารพัดคอนเทนต์ที่นำมาติดไว้ละลานตา แน่นอน… ทั้งหมดคือคอนเทนต์ที่สร้างความสำเร็จให้กับเธออย่างมากมาย บริเวณไม่ไกลกันนั้น ยังเป็นห้องส่งขนาดย่อมที่ทาง JKN กับ CNBC สถานีโทรทัศน์ด้านธุรกิจของอเมริกาชื่อดัง ได้ร่วมกันสร้างเนื้อหาภาคภาษาไทยขึ้นมาอีกอลังการงานสร้าง, ประโยคดังกล่าวลอยวนเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดอีกครั้ง และไม่กี่อึดใจต่อจากนี้ เรากำลังนั่งลงพูดคุยกับเธอ สุภาพสตรีข้ามเพศระดับพันล้าน เอาเข้าจริง เรื่องตัวเลขความมั่งคั่งนั้นถือเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์มากพอตัว แต่เมื่อเทียบกับความสามารถของเธอ เงินที่ว่าพันล้านหมื่นล้านอาจจะสู้สองมือ หนึ่งมันสมอง ของสุภาพสตรีคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ!

ตั้งแต่เดินเข้ามาสู่พื้นที่การทำงาน JKN ขออนุญาตใช้คำว่า ‘อาณาจักร’ แลดูจะเหมาะสมกว่า อยากให้คุณแอนช่วยเล่าถึงความเป็น ‘อาณาจักรเจเคเอ็น’ ให้ฟังหน่อย

แอน-จักรพงษ์ : เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) เราคือผู้จัดจำหน่ายคอนเทนต์ระดับโลก ที่นำเข้ามาสู่เมืองไทยแต่เพียงผู้เดียว เราบริหารงานมาทั้งหมด 21 ปีแล้วค่ะ ให้กับมีเดียแพลตฟอร์มทุกๆ เจ้า ไม่ว่าจะเป็นทีวีดิจิทัล เคเบิลแซทเทิลไลท์ OTT นอกจากนั้นก็ยังมีคอนเทนต์ที่เราขายให้กับสายการบิน รถโดยสาร ยานพาหนะต่างๆล่าสุด เรากำลังสร้าง ริเวอร์ คิง วิลเลจ (River King Village) ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ขนาด 15 ไร่ ภายในจะมีทั้งเธียเตอร์ มีร้านอาหารที่เปิด 24 ชั่วโมง รวมถึงเป็นสตูดิโอขนาดใหญ่ เพราะว่าปัจจุบันเรามีสำนักข่าว เจเคเอ็น-ซีเอ็นบีซี เป็นความร่วมมือของ เจเคเอ็น ร่วมกับ ซีเอ็นบีซี ซึ่งเป็นสำนักข่าวเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก โดยเราได้รับลิขสิทธิ์มาจากสหรัฐอเมริกา เพื่อให้มาทำฉบับภาษาไทย

นอกจากการจัดจำหน่ายคอนเทนต์จากทั่วโลกเข้ามาสู่เมืองไทยแล้ว เรายังจับมือกับกลุ่มบีอีซี หรือช่อง 3 จัดจำหน่ายคอนเทนต์ไทยไปสู่ทั่วโลกอีกด้วย ภายใต้ชื่อว่า เจเคเอ็นเวิลด์ไวด์ ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว ละครไทยที่ออกสู่สายตาทั่วโลก เป็นฝีมือของเราและทีมงานเจเคเอ็น ที่มุ่งมั่นเดินทางไปเปิดบูธยังต่างประเทศ หรือเรียกว่า โกลบอล โชว์เคส เพื่อให้ต่างชาติได้รู้จักละครของไทย ที่ผ่านมามีการพาศิลปินดาราไปร่วมในงาน ปีแรกมีน้องแต้ว-ณฐพร กับน้องเคน-ภูภูมิไปด้วยกัน เพื่อโปรโมทละครเรื่องนาคี ส่วนปีล่าสุดก็พาน้องเจมส์จิ (เจมส์-จิรายุ) ไปร่วมงานโชว์เคสครั้งนี้ด้วยล่าสุดเราได้ก้าวไปอีกหนึ่งสเต็ป นั่นคือการทำโปรดักชั่นเอง กับโปรเจกต์ซีรีส์ฟอร์มยักษ์ เรียกว่าใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศก็ว่าได้ เรื่องสยามรามเกียรติ์ หรือ The Prince of Ayodhya เป็นบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 1 ซึ่งที่ผ่านมา เราอาจจะเคยเห็นเฉพาะในการแสดงโขน หรือศิลปะบนผนังที่วัดพระแก้ว แต่ครั้งนี้เราจะถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของโมชั่นพิกเจอร์ โดยแอนรับหน้าที่เป็นเอ็กเซ็กคูทีฟ โปรดิวเซอร์ ซึ่งเราจะได้เห็นผลงานนี้ รวมทั้งตัวโครงการริเวอร์ คิง วิลเลจกันในปี 2021 หรือปีหน้า ทั้งหมดคือความสนุก ความมันที่กำลังทำกันอยู่ในตอนนี้ (ยิ้ม)

สถานการณ์โรคโควิด-19 ปั่นป่วนไปทุกวงการ คุณมีโปรเจกต์เยอะแยะมากมายขนาดนี้ ได้รับผลกระทบบ้างไหม

แอน-จักรพงษ์ : เรียกว่าได้รับโอกาสจากโควิด-19 มากกว่า (ยิ้ม) ยอดขายไตรมาสที่ 1 เราเติบโตไปอีกประมาณ 10-15% ทั้งๆ ที่ทุกคนหยุดงาน ทำงานไม่ได้ หยุดโปรดักชั่นกันหมด ดาราไม่มีงาน อีเวนต์ไม่มีจัด คอนเสิร์ตไม่มีเล่น คนอยู่กับบ้านเพื่อดูทีวี แต่พอจะดูทีวี จะดูอย่างไร เพราะทีวีแต่ละช่องก็ผลิตงานไม่ได้ โปรดักชั่นไม่ได้ ทุกคนเลยโทรฯ หาเจเคเอ็นหมดเลยค่ะ (ยิ้ม) กลายเป็นว่า ไตรมาสที่ 1 ยอดขายอย่างเดียวก็เกือบ 500 ล้านบาทเข้าไปแล้ว ต้องขอบคุณโควิด-19 ที่ทำให้เราเปลี่ยนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส

ทุกวันนี้อาจเรียกได้ว่า คุณมีพันธมิตรเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มมีเดียแทบทุกเจ้าในเมืองไทย ถามหน่อยว่า คุณบริหารจัดการลูกค้าแต่ละเจ้าได้อย่างไร

แอน-จักรพงษ์ : รู้เขา รู้เรา เป็นสิ่งสำคัญที่สุด แอนชอบพูดกับหลายคนว่า เราเป็นนักเลงข้ามเพศนะ คือ ใจถึง ใจใหญ่ ถ้าให้มา ฉันให้กลับเหมือนกัน บางคนขายของปุ๊บ จะเอาลูกค้าให้ตาย จะเอาให้ได้มากที่สุด มองแต่เรื่องเงินๆ ดิฉันจะบอกคุณเลยนะ คุณจะดับชีวิตตัวคุณเอง เพราะถ้าลูกค้าอยู่ต่อไม่ได้ คุณก็ไปด้วย ฉะนั้น พาร์ตเนอร์ชิป (Partnership) สำคัญมากลูกค้าทุกคนจะรู้ว่า ถ้าให้ใจแอน แอนจะเทกลับไปสามสี่เท่า เราจะเมกชัวร์หมดว่า ซื้อของเรา เขารวยขึ้น และเขาก็เห็นภาพตรงนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น แต่ละปีธุรกิจถึงเติบโต เติบโตมาจากความซื่อสัตย์ของเรา รวมทั้งเติบโตมาจากการเรียนรู้ปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง เวลาเจอปัญหา เราขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ เพราะปัญหามาให้เราเรียนรู้ ปัญหาทำให้เราเกิดปัญญาค่ะ (ยิ้ม)

สมมุติถ้าเป็นแมวมองนักกีฬา เขาจะมองหานักกีฬาเก่งๆ มาเล่นในลีกอาชีพ แต่สำหรับนักค้าคอนเทนต์แล้ว คุณมีสายตาการมองคอนเทนต์แบบไหน ที่เชื่อว่ามันจะขายได้

แอน-จักรพงษ์ : แอนจะพูดอยู่เสมอๆ ว่า การบริหารคือใช้สมอง แต่เวลาเลือกคอนเทนต์ คือใช้หัวใจ นี่คือเรื่องจริง เพราะส่วนใหญ่คนดูละครเป็นผู้หญิง ค่าเฉลี่ยอยู่ที่อายุ 35 ปี นี่คือกลุ่มคนที่ทำให้เรตติ้งของช่องทีวีดิจิทัลขับเคลื่อน เพราะฉะนั้น เวลาจะเลือกคอนเทนต์ ให้สมมุติว่าเราเป็นนางเอกไปเลยค่ะ (หัวเราะ) เช่น ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์ของเรื่องอย่างนี้ เราเอนจอยหรือเปล่า พระเอกของเรื่องใช่ไหม ไม่ใช่ดูเฉพาะรูปหล่อหรือไม่หล่อนะ แต่คือมีเสน่ห์โดยรวมหรือเปล่าที่สำคัญที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมาบรรจบที่คำว่ารัก หรือคำว่าแฮปปี้ เพราะนั่นคือสิ่งที่คนไทยชอบดู ไม่จำเป็นจะต้องขำตลกตลอดเวลา ดราม่าซีรีส์ที่เป็นแบบเมโลดราม่าสุดๆ ดูไป ร้องไห้ไป หรือดูแล้วมัน ตบกัน อิจฉากัน ทั้งหมดนี้คือความสนุก ถ้าดูแล้วมีความสนุก เรื่องนั้นก็รอด

กำลังจะบอกว่าคนไทยชอบเสพอะไรที่สนุกไว้ก่อน

แอน-จักรพงษ์ : ใช่, คนไทยชอบคำว่าสนุก คำเดียวเลย สนุก หาอะไรมาก็แล้วแต่ เลี้ยวมาคำว่าสนุกให้ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ละครขำ ตลก แต่ดูแล้วสนุก กว่าพระนางจะได้กัน จากเป็นศัตรู แล้วมารักกันได้อย่างไร จากสองครอบครัวที่เกลียดกัน มารักกันได้อย่างไร หรือนั่งดูแล้วก็ร้องห่มร้องไห้ เกลียดยายนี่ จะไปตบ นู่นนั่นนี่ แต่เข้าใจไหม นั่นแหละคือคำว่า สนุกถ้าไม่สนุกก็ไม่ตามสิ ยิ่งถ้าละครขำ สนุก ก็ดี แต่ต้องถูกจริตคนไทย ต้องเข้ากับวัฒนธรรม การขายคอนเทนต์มันคือการขายคัลเจอร์ (Culture) ฉะนั้น ถ้าจะให้เขาบริโภคคอนเทนต์ของคุณ คุณก็ต้องเข้าใจคัลเจอร์เขา คุณต้องเข้าใจคัลเจอร์คนไทย แล้วคุณถึงจะเสิร์ฟอาหาร ความบันเทิงเหล่านี้เข้าสู่สายตา ทำให้มันกลายเป็นยาเสพติดให้ได้ เรามักพูดเสมอๆ ว่า เราขายยาเสพติดทางสายตา เพราะฉะนั้น เราจะต้องทำให้เขาติดหนึบ เอาให้แบบลงแดงถ้าไม่ได้ดู ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเคล็ดลับในการทำงานตลอด 21 ปีที่ผ่านมา

นอกจากความสนุก ต้องอาศัยปัจจัยอื่นอีกไหม ถึงจะทำให้คอนเทนต์ประสบความสำเร็จ

แอน-จักรพงษ์ : ต้องรู้จักคุกกิ้ง (Cooking) หรือปรุงให้เป็น ในที่นี้คือ ใครพากย์ ใครแปล ใครทำเพลง ต้องทำมาร์เก็ตติ้งทุกช่องทาง ทุกสิ่งทุกอย่าง มันคือการปั้น เรามักพูดอยู่เสมอๆ อีกเช่นกันว่า เราเปลี่ยนจากก้อนหินให้กลายเป็นทองคำบางครั้งเรื่องไม่ได้สนุกจากความเป็นออริจินัลของเขา แต่เรามาทำให้มันสนุกได้ ต้องคุกกิ้งให้เป็น หรือเรียกว่าทรานส์ฟอร์มให้เป็น ละครเราตัดต่อใหม่หมดเลยนะ จากด้านหลังมาด้านหน้า จากด้านหน้ามาตรงกลาง เพื่อให้ถูกจริตกับคนไทย ดูแล้วคือนั่งอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้ (หัวเราะ)

พูดถึงเจเคเอ็นฯ ถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ต้องนึกถึงซีรีส์อินเดีย ถามหน่อย ทำไมต้องซีรีส์อินเดีย คุณแอนรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าจะถูกใจคนไทยแบบนี้

แอน-จักรพงษ์ : ละครอินเดีย เป็นรากเหง้าวัฒนธรรมของประเทศไทยนะคะ ภาษาสันสกฤตก็มาจากเขา ศาสนาก็มาจากเขา ความเชื่อทางพราหมณ์ หรือเทพเจ้าทั้งหลายก็มาจากเขา หน้าตึกทำงานของคนไทยแทบทุกที่มีพระพรหม พระศิวะ พระพิฆเนศ ก็มาจากเขา การไหว้ นะมัสเต ก็มาจากเขา เขาคือมาสเตอร์ออฟไทยแลนด์แล้วพอเราหยิบละครของเขามาฉาย ปรากฏว่ามันคือเรื่องราวแม่ผัว ลูกสะใภ้ ความรักที่ยากเหลือเกินกว่าจะรักกันได้ หรือเรื่องราวของผู้หญิงที่พูดความรู้สึกของตัวเองไม่เป็น ซึ่งคล้ายกับบุคลิกของผู้หญิงไทย มันจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมคนไทยถึงดูละครจากอินเดียแล้วอิน เพราะเราไม่ได้ต่างกัน แถมยังมีความเชื่อมโยงกันอีกด้วยที่มาแรงอีกประเทศคือ ละครของฟิลิปปินส์ คนประเทศเขามีหน้าตาคล้ายๆ คนไทย ความเป็นอยู่ก็เหมือนๆ กัน ที่สำคัญคือ เรื่องราวของละครจะโฟกัสที่ว่า คนจนจะไปรักคนรวยได้อย่างไร จะไปมีชีวิตที่หรูหรา ประสบความสำเร็จ แฮปปี้ได้อย่างไร หรือการเป็นคนดีสักวันต้องเจอคนดี อะไรอย่างนี้ เป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับคนไทยมากแต่ถ้าแบบดราม่าฝรั่งจ๋า เอามาไม่ได้ คนไทยไม่ดู เพราะวัฒนธรรมต่างกัน จะตัดต่ออย่างไรให้ตายก็แล้วแต่ ก็ไม่ใช่ เหมือนคนดูไม่กินสเต๊ก จะกินส้มตำ จะไปบังคับเขาทำไม แต่ถ้าเขาจะกินสเต๊ก เขาอาจจะต้องการสเต๊กแบบจิ้มแจ่ว เออ…อันนี้เราหาได้ ต้องเป็นภาพยนตร์ หรือซีรีส์ฮอลลีวูดที่เป็นประเภทพวกแอคชั่น เผ็ด มัน เหมือนน้ำจิ้มแจ่วทุกสิ่งที่เราบอกมานี้ เป็นเรื่องที่เราจำเป็นจะต้องรู้ว่า เราจะทรานส์ฟอร์มอย่างไร การทรานส์ฟอร์มทางธุรกิจสำหรับเรา คือการรู้จริตของคนไทย สินค้าที่มาจากทั่วโลก พอเวลามาอยู่ที่เมืองไทย ต้องทรานส์ฟอร์มอย่างไร เพื่อให้เขากินแล้วติดใจ มองแล้วติดใจ จนกลายเป็นยาเสพติดทางสายตา

คุณแอนพูดคำว่า ‘ทรานส์ฟอร์ม’ (Transform) อยู่บ่อยๆ จะว่าไป ชีวิตคุณแอนต้องเจอกับการทรานส์ฟอร์มมาตลอด ตั้งแต่ธุรกิจของครอบครัว ในอดีตที่เป็นศูนย์เช่าวิดีโอ เจอการเปลี่ยนแปลงมามากมาย จากม้วนวิดีโอ VHS เปลี่ยนมาเป็นแผ่น VCD, DVD จนเปลี่ยนมาเป็นการโหลด ต่อมาถึงการสตรีมมิ่งอย่างในปัจจุบัน คุณมองอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้บ้าง

แอน-จักรพงษ์ : สำหรับเรา นี่คือการดิสรัปต์ทั้งหมดเลย เป็นการ Evolution หรือการวิวัฒนาการของโลก การเปลี่ยนแปลงนิสัยผู้บริโภค ซึ่งไม่ใช่เฉพาะธุรกิจมีเดีย แต่ทุกธุรกิจเจอดิสรัปต์กันหมด เมื่อก่อนที่บ้านทำร้านวิดีโอ ม้วน VHS ดูเช้าสายกลางวันเย็น ถ้าอยู่บ้านนะ (หัวเราะ) จนพอไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย กลับมากลายเป็นยุคของ VCD ไปแล้ว ต่อมาก็เป็น DVD จากนั้นก็มายุคของ Blu-ray ช่องอนาล็อกเริ่มหมดไป มีเคเบิลแซทเทิลไลท์เข้ามา อยู่ได้บ้าง อยู่ไม่ได้บ้าง แล้วก็มีช่องทีวีดิจิทัล ทันใดนั้น ช่องดิจิทัลยังมาไม่ถึงครึ่ง ก็เกิดมี OTT โผล่เข้ามาอีก อยากจะกดดูเมื่อไรก็กดได้เมื่อนั้น What is this?!! (หัวเราะ) นี่มันอะไรกัน! แล้ว OTT ที่กดดูเสียตังค์ ก็ยังต้องไปต่อสู้กับ YouTube ซึ่งฟรี!

จึงอยากบอกกับทุกคนว่า ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไป ขอให้รู้ให้เยอะ เรียนให้เยอะ อ่านให้เยอะ แล้วต้องหยุดอีโก้ตัวเอง อีโก้คือการทำร้ายตัวเองอย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นการปล่อยให้ดิสรัปชั่นเข้ามากัดกินตัวเอง เพราะโลกไม่เคยหยุดหมุน แต่คุณดันหยุด นั่นแหละคือการที่มีอีโก้แล้วคุณไม่เรียนรู้
เพราะฉะนั้น ถามตัวเองว่า ตัวเองต้องการเป็นอะไร และจงมีแพสชั่น ทำงานแบบฮาร์ดเวิร์กกิ้ง (Hard Working) แล้วต้องเวิร์กกิ้งสมาร์ท (Working Smart) ด้วย รวมทั้งต้องมีวิชั่น (Vision) ต้องรู้จักการทรานส์ฟอร์ม ทีนี้ต่อให้มีดิสรัปชั่นอะไรเข้ามา ก็ฆ่าฉันไม่ได้ แล้วยังเป็นจุดสำคัญของคำว่า ประสบความสำเร็จ

การเรียนรู้เรื่องการทรานส์ฟอร์ม คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิตคุณ ถูกไหม

แอน-จักรพงษ์ : ถูกต้อง ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่า ทรานส์ฟอร์เมชั่น ถ้าคุณทรานส์ฟอร์มตัวเองไม่ทัน หรือทรานส์ฟอร์มไม่เป็น คุณจะทำอะไรก็แล้วแต่ ก็ไม่ประสบความสำเร็จหรอก ซึ่งทุกๆ ธุรกิจ การทรานส์ฟอร์มเป็นเรื่องปกติมาก และเป็นเรื่องสำคัญมาก เหมือนอย่างที่เล่าไปเมื่อสักครู่ เจเคเอ็นเอง เราก็นำคอนเทนต์หรือของดิบมาจากต่างประเทศ แล้วเราก็ทรานส์ฟอร์มให้กลายเป็นของที่คนไทยชอบ รัก หลง และดูทุกวันนี้ คนชอบให้ไปพูดเรื่องทรานส์ฟอร์มไลฟ์ (Transform Life) หมายรวมถึงการทรานส์ฟอร์มธุรกิจ ครอบครัว รวมทั้งคู่ค้าพาร์ตเนอร์ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ เพราะเคล็ดลับความสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นของเรา คือการทำไลฟ์ทรานส์ฟอร์เมชั่น (Life Transformation) ถ้าคุณทรานส์ฟอร์มได้ดี คุณจะไม่เจอดิสรัปชั่นแน่นอนค่ะ (ยิ้ม)

พูดในแง่ธุรกิจ คุณแอนเคยคิดอยากจะทรานส์ฟอร์ม จากคนขายคอนเทนต์ไปสู่การเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มไปเลยบ้างไหม เพราะไหนๆ คุณแอนก็มีคอนเทนต์ในมือมากมายอยู่แล้ว

แอน-จักรพงษ์ : (หัวเราะ) มีคนมานำเสนอเกือบทุกวัน ให้ซื้อบริษัทเกือบทุกวัน ขอเงินไปลงทุนเกือบทุกวัน ไม่นับคนมาจีบเกือบทุกวันด้วยนะ (หัวเราะ) มีแพลตฟอร์มที่เป็นช่องสถานีจะให้เราไปหุ้นด้วยเต็มไปหมดเลย เอางี้แล้วกัน เกือบทุกช่องในประเทศ อยากให้เราไปถือหุ้น แล้วก็เอาคอนเทนต์เราใส่เข้าไป เขาก็จะรอดชีวิตและประสบความสำเร็จ (ยิ้ม) แต่เราทำไม่ได้ เพราะเราต้องซื่อสัตย์ มันเป็นการให้ความเคารพกัน เช่น สินค้าประเภทนี้ คอนเทนต์ประเภทนี้ ให้คนอื่นไม่ได้ ต้องให้เจ้านี้ เพราะเขาฉายมาโดยตลอด หรือละครฝรั่งที่เป็นแอคชั่น ให้ใครไม่ได้ ต้องเป็นเจ้านี้ ละครอินเดียต้องเป็นของเจ้านั้นเท่านั้น คือพอเวลาให้ใครไปแล้ว ต้องอยู่กับคนคนนั้น ไม่ใช่พอเขาทำจนเกิดปุ๊บ แล้วเราก็แปรใจให้คอนเทนต์กับคนอื่นแทน

เราพูดกับทุกคนชัดเจนว่า ท่านขา เฮียขา พี่ขา หนูเสิร์ฟกับทุกคนนะคะ คือว่าหนูก็คบกับผู้ชายทุกคน ที่เฮียเห็นอยู่น่ะค่ะ แต่ว่าผู้ชายทุกคนล้วนแล้วแต่ได้รับความแตกต่างกันไปหมด คือได้รับความสุขคนละประเภทกันไปนะคะ แล้วเราก็จะไม่แชร์อันนี้ไปให้กับอีกคนหนึ่ง ฉะนั้นเรามาเริ่มทำงานกันเถอะค่ะ เพราะถ้าไม่เริ่มทำงาน ก็เท่ากับคุณไม่ปักเสาเข็มกับเรา ถ้าต่อไปมันจะหลุดไปไหน จะกลับมาไม่ได้แล้ว ตัดสินใจเถอะค่ะธุรกิจสื่อทุกวันนี้เป็นเรื่องของ War of Content หรือสงครามในการแก่งแย่งคอนเทนต์ ซึ่งเราก็เลยกลายเป็นเจ้าแม่คอนเทนต์พันล้านของประเทศไทย (ยิ้ม) เพราะเครื่องมือสื่อสารเต็มไปหมด ทุกคนต้องการคอนเทนต์กันหมด ดิสรัปชั่นทำลายคนอื่น แต่กลับกลายเป็นสร้างความร่ำรวยให้กับเรา เราใช้ดิสรัปชั่นให้เป็นประโยชน์ ใช้การทรานส์ฟอร์มที่เราเผชิญมาทั้งชีวิต จนมันกลายมาเป็นทักษะในชีวิต เป็นวิชาชีวิตในการสร้างความร่ำรวยให้กับเรา

เราไม่ต้องการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม แต่เราขึ้นไปอยู่ข้างบนอยู่เหนือเมฆ โดยให้คอนเทนต์กับทุกคน แบบนี้จะดีกว่า แต่ว่าเมื่อคอนเทนต์มาอยู่กับมือเรา ก็ต้องรู้จักทรานส์ฟอร์มให้เป็น เขาชอบบริโภคแบบนี้ไหม จะเป็นการเสพติดทางสายตาของแต่ละช่องได้ไหม ตรงกลุ่มเป้าหมายของเขาใช่ไหม สมมุติบางกลุ่มเขาดูแต่ข่าว เราก็ควรให้คอนเทนต์ข่าวอย่าง CNBC ไป หรือบางช่องคนดูละครจีน ดูละครฟิลิปปินส์ ดูละครเกาหลี ดูละครอินเดีย แต่ละแพลตฟอร์มมีความแตกต่างกันหมด หน้าที่ของเราคือ เคารพในการทำงานร่วมกัน และเรามอบในสิ่งที่เขาต้องการค่ะ

ชีวิตเดินทางมาถึงจุดนี้ มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ 6,000-7,000 ล้านบาท ถามจริงๆ คุณแอนเคยคิดว่าตัวเองจะรวยขนาดนี้ไหม ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดว่าจะมีเงินเป็นพันล้าน หมื่นล้าน

แอน-จักรพงษ์ : ไม่เคยคิด นี่เรื่องจริงนะ เห็นเงินในธนาคารหลายๆ ครั้งก็ตกใจว่า พระเจ้าช่วย! นี่ฉันมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย คือทำมาเรื่อยๆ ไง ได้เงิน 10 ล้านแรก ตอนอายุ 21 ก็ตกใจ ดีใจจะตายชักอยู่แล้ว (หัวเราะ) ซื้อรถด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เคยเป็นแคชเชียร์ที่ปั๊มน้ำมัน ที่ออสเตรเลีย จนมีความฝันว่า ถ้าวันหนึ่งเงินฉันเหลือ จะทำปั๊ม ตอนนี้ทำมา 2 ปั๊มแล้ว แล้วทำปั๊มไม่หยุดเลยค่ะ เดี๋ยวจะไปต่างประเทศ ทำปั๊มที่ต่างประเทศด้วย เพราะชอบ (หัวเราะ) ตั้งใจว่าจะให้มี Convenience Store อยู่ข้างใน มีร้านกาแฟ มีร้านค้า ชอบอะไรแบบนี้ (ยิ้ม)

ยืนยันว่าไม่เคยคิดว่าจะรวย ไม่เคยคิดว่าจะขึ้นมาเป็นบิลเลี่ยนแนร์ เป็นมหาเศรษฐีหลายพันล้าน ไม่เคยคิด คิดอยู่อย่างเดียวว่า เราอยากจะประสบความสำเร็จ อยากจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า ฉันไม่ได้บ้า ฉันมีความสามารถ ฉันมีมันสมองคำว่าไม่ได้บ้าหมายความว่า ฉันไม่ใช่เกย์ ฉันไม่ใช่ไบฯ ฉันไม่ใช่เลสเบี้ยน แต่ฉันคือผู้หญิงจริงๆ ที่เกิดผิดร่าง เพราะฉะนั้น การที่ถูกดูถูกมาตั้งแต่เด็ก มันช่วยเยอะมากนะ พอเวลาคนบูลลี่เราเยอะๆ ด่าว่าเรานู่นนั่นนี่อะไรต่างๆ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เลือกที่จะเป็น แต่ว่ามันห้ามหัวใจไม่ได้ ก็ฉันเป็นอย่างนี้จริงๆ คือฉันเป็นผู้หญิงจริงๆแต่ก่อนไม่มีคำว่า ทรานส์วูแมน มีแต่คำว่า ตุ๊ด เกย์ กะเทย ซึ่งก็ถูกด่าอย่างนี้มาตลอดทั้งชีวิต มันเลยกลายเป็นแรงผลักดันให้เราโดยเปลี่ยนแรงกดดันให้กลายเป็นแรงผลักดันในที่สุด ฉันต้องประสบความสำเร็จ ฉันต้องเก่ง ฉันต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้แต่จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าคิดถึงเรื่องเงิน ให้คิดถึงเรื่องแพสชั่น แพสชั่นจะทำให้คุณไม่เหนื่อยในสิ่งที่ทำ แล้วต้องทำงานด้วยความขยัน ทำด้วยมันสมอง มีวิสัยทัศน์ ต้องมีวิชั่นจริงๆ นะ จะอยู่อย่างเดิมไม่ได้ ต้องไปฟังให้เยอะ อ่านให้เยอะ พูดคุยกับคนที่มีประโยชน์ให้เยอะๆ ไม่ใช่คุยแต่เรื่องน้ำเน่า มันไม่เกิดอะไรขึ้นมากับชีวิตโลกพัฒนาไปเรื่อยๆ คุณจะหยุดโลกไม่ให้หมุนไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องฟังให้เยอะ เดินทางให้เยอะ วิเคราะห์ให้เยอะ แล้วต้องเรีนรู้ให้เยอะจริงๆ ถึงจะสามารถล่วงรู้ถึงเส้นทางถัดไปของชีวิตและธุรกิจได้ อย่า Sit down in the same place. หรือนั่งในที่เดิมๆ ชีวิตไม่มีคำว่าคอมฟอร์ตโซน (Comfort Zone) ถ้าใครหยุดที่คอมฟอร์ตโซน นั่นเท่ากับเดดโซน (Dead Zone) คุณจะอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ทั้งระดับล่าง กลาง สูง ดิสรัปชั่นมาหาคุณแน่ ดิฉันบอกได้เลย หากคุณไม่เรียนรู้เพิ่มขึ้น

รู้สึกอย่างไรกับสมญานามที่คนอื่นมอบให้ว่าเป็น ‘ข้ามเพศพันล้าน’

แอน-จักรพงษ์ : ภูมิใจ แต่ก็บอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า อย่าเหลิง อย่าหลง มันก็เป็นเพียงแค่การให้เกียรติของคนที่พูดขึ้นมา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ อยู่ที่การดำรงตนของเรา ข้ามเพศพันล้านจึงเป็นเรื่องของการตอกย้ำถึงหน้าที่และบทบาท ที่ต้องแสดงให้กับสังคมได้เห็นว่า การเกิดข้ามเพศ เป็นเรื่องปกติ อย่าซ้ำเติม แล้วคนข้ามเพศก็มีสมองได้ ประสบความสำเร็จได้ และร่ำรวยได้เราต้องเป็นตัวอย่างให้กับสังคม ไม่ใช่ภูมิใจ แล้วก็จบกันตรงนี้ แต่เราต้องนำความสำเร็จของเรา ฉายาที่คนให้เรา ทะนุถนอมสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้กลายเป็นโรลโมเดลให้กับคน เราเกิดมาผิดร่าง เราเจอบูลลี่มาโดยตลอด มันก็เป็นการสอนให้เรารู้ว่า เราจะไม่เถียงกลับ แต่เราทำตัวให้ประสบความสำเร็จ มันจะเหมือนคลื่นสึนามิที่สาดให้คนที่เคยดูถูกเรา ล้มหายตายจากไปเรื่องแบบนี้ ภาษาอังกฤษบอกว่า Don’t judge the book by it cover. คืออย่าพิจารณา อย่าตัดสินคนด้วยภาพลักษณ์ของเขา หรือแม้แต่ฟังตามๆ กันมา โดยที่ยังไม่ได้วิเคราะห์ ไม่ทันได้สัมผัส ไม่ทันได้เห็น คนที่มีมายด์เซตแบบนี้ เราไม่ควรไปอยู่ใกล้ เพราะคือคนคิดลบ ทำอย่างไรก็ไม่บวกขึ้นมา ชีวิตเราไม่ควรไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านั้นคำว่าข้ามเพศพันล้าน คือรางวัลแห่งชีวิต เป็นรางวัลที่มาจากการเปลี่ยนแรงกดดันให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้กลายเป็นความสำเร็จ ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาเอง ถ้าคุณคิดบวก ใครที่กำลังท้อ ให้นึกถึงหน้าแอน-จักรพงษ์ คนที่เคยถูกด่ามาทั้งชีวิต เติบโตมาได้ด้วยการคิดบวก มีสติปัญญา จนวันนี้สามารถมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนทั้งประเทศได้ นั่นคือคอนเทนต์ที่นำมาจากทั่วโลก เรานำวิสัยทัศน์มาสู่สายตาคนไทย เพื่อให้คนไทยได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากทั่วโลก

ยังมีแพสชั่นอะไรที่คุณแอนอยากทำอีกไหม เงินยังสำคัญที่สุดในชีวิตคุณอยู่หรือเปล่า

แอน-จักรพงษ์ : ณ วันนี้ จริงๆ ก็มีครบทุกอย่างในชีวิตแล้วนะ เงินก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญอะไรแล้วในชีวิต ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ ไม่มีความเดือดร้อนอะไรอีกแล้ว ถามว่ายังมีแพสชั่นอะไรอีกไหม อยากจะทรานส์ฟอร์มประเทศ (ยิ้ม) อยากจะไปให้ถึงจุดนั้น อยากจะเป็นผู้นำหญิงคนแรกของไทย แต่ต้องเกิดจากการที่เราสามารถสร้างสรรค์ประเทศได้นะ เราต้องมีประโยชน์จริงๆ จะเป็นตำแหน่งถึงขั้นไหน หรือสูงสุดของประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี อะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ต้องเพื่อสังคมประเทศชาติเพราะคนเราเกิดมาครั้งเดียว เราจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะอย่างไรต่อในชีวิต ในเมื่อเรามาถึงขั้นนี้แล้ว การต่อสู้ทางธุรกิจ ความร่ำรวย ความสำเร็จตรงจุดนี้ ก็คงไม่มีอะไรแล้ว แต่ก็คงทำต่อไป เพราะเป็นคนชอบทำงาน ปัจจุบันก็มีมูลนิธิของตัวเอง (ข้ามเพศบันดาลใจ) ก็เอาไว้สร้างสรรค์สังคม ให้การศึกษาคน ปีหนึ่งบริจาคเป็นล้าน กับการให้โอกาสคนได้เรียนหนังสือทีนี้บทบาทต่อไป ในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ในฐานะที่เกิดมาเป็นคนไทย แล้วก็เป็นข้ามเพศพันล้านคนเดียว คนแรกของไทย และของเอเชีย เราควรจะต้องใช้สติปัญญา ความสามารถที่เรามีอยู่ทั้งในเรื่องของการค้าขายวัฒนธรรม การค้าขายระบบพาณิชย์ เพราะเป็นคนชอบการค้า เป็นคนชอบหาเงิน เป็นคนขายของเก่ง น่าจะมาสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ ฉะนั้น ความใฝ่ฝันอันสูงสุดในตอนนี้ก็คือ การเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และเป็นนายกฯ ข้ามเพศคนแรกของโลก

สมมุติว่าคุณแอนได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ อยากชูนโยบายอะไรหรืออยากทำสิ่งใดก่อนเป็นอันดับแรก

แอน-จักรพงษ์ : การศึกษาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนอันดับสอง ส่งออกวัฒนธรรม และพัฒนาการค้าขาย โอเค เรารู้ว่าเงินสำคัญที่สุด หรือความเป็นอยู่ของบุคลากรประเทศชาติสำคัญที่สุด ปากท้องประชาชนสำคัญที่สุด แต่ว่ารากเหง้าทุกอย่างต้องเกิดจากการศึกษา การศึกษาในที่นี้คือ กล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด วิเคราะห์เป็น อย่าให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเด็กอยู่ที่ปลายนิ้วมือเท่านั้นต้องมีการเรียนที่สามารถไปออกสู่ระบบอินเตอร์เนชั่นแนลได้ ภาษาอังกฤษต้องได้ ค้าขาย พูดคุยกับคน ต้องทำได้ แล้วการเรียนต้องหยุดการเป็นเทกซ์บุ๊ก (Text Book) ต้องเรียนแล้วพัฒนามายด์เซต (Mindset) หรือวิธีคิด ฝึกให้คิดบวก มีกระบวนการทางความคิดที่เติบโต โดยการที่ไม่ได้นั่งเรียนอยู่ในตำรา แต่มันคือการเรียนรู้ด้วยชีวิตการจะออกไปสู่นานาชาติถ้าภาษาไม่ได้ก็ตายแล้ว ถูกไหมคะ ฉะนั้นเราภูมิใจกับความเป็นไทยได้ แต่เราไม่ควรจะโฟกัสอยู่แค่นี้ ไม่อย่างนั้นดิสรัปชั่นจะกัดกินประเทศหมด เหตุหนึ่งที่มันเกิดดิสรัปชั่นเพราะเรามัวแต่โฟกัสแต่ในประเทศเรานี่แหละ เรามัวแต่ภูมิใจความเป็นไทย ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่เราไม่ภูมิใจ เราก็ภูมิใจ ทุกคนภูมิใจหมดแหละ แต่ภาคปฏิบัติเราก็ต้องได้เหมือนกัน ค้าขายกับคนได้ไหม ไปสู่ระบบนานาชาติได้ไหม หากเราไม่ได้สอนให้เด็กๆ มีคาแรคเตอร์ในการกล้าคิด กล้าทำ กล้าริเริ่ม

คนไทยส่วนใหญ่ชอบตามๆ กัน แต่ความคิดริเริ่มต้องมี ความคิดริเริ่มเกิดมาจากอะไร อย่างที่บอก อย่าใช้ชีวิตอยู่แค่ในหนังสือ Living by the book. มันจะไม่เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องให้เด็กไปมีกิจกรรม ไปลองทำมาหากินดู อีคิว (EQ) สำคัญกว่าไอคิว (IQ) เสมอ จินตนาการสำคัญกว่าความรู้เสมอ ไอน์สไตน์เคยพูดเอาไว้ นี่เป็นเรื่องจริง ซึ่งถ้าได้เป็นผู้นำประเทศ สิ่งนี้คือสิ่งแรกที่เราจะทำ เพราะอีก 20-40 ปีข้างหน้า เด็กในยุคนี้ ทุกคนต้องเติบโตขึ้นมา พวกนี้จะกลายเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติ คำถามคือ เราจะเตรียมตัวพวกเขาได้อย่างไร นั่นแหละคือภารกิจของดิฉันอันดับแรกค่ะ (ยิ้ม)

ชูนโยบายขนาดนี้ ว่าแต่คุณแอนจะลงการเมืองเมื่อไร

แอน-จักรพงษ์ : (หัวเราะ) เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เคยสัมภาษณ์ไว้หลายๆ ที่ เราบอกขออีก 10 ปี เพราะตอนนี้ยังสาวยังสวยอยู่นะคะ ยังไม่อยาก (หัวเราะ) ถ้าเลข 5 ไปแล้ว ก็คงจะไปเข้าสู่ระบบที่เรียกว่าขอไปพัฒนาประเทศชาติบ้าง แต่จะไม่ไปเล่นการเมือง เพื่อจะเป็นนักการเมืองมืออาชีพ จะไม่ทำแบบนั้น
เราขอเป็นนักพัฒนามืออาชีพ ที่จะเข้าไปพัฒนาประเทศชาติ ไม่ใช่เข้าไปเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง แล้วตัวเราเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ เพราะฉันมีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าไปทำงานการเมือง ธุรกิจจะไม่ทำเลย ชี้แจงให้ทุกคนเห็นเลยว่า เราพร้อมที่จะทำ

สมมุติ (อีกครั้ง) หากจะมีคนมาติดต่อขอซื้อ ‘คอนเทนต์ชีวิต’ ของคุณแอนทั้งหมด คุณจะยอมขายไหม

แอน-จักรพงษ์ : มีคนติดต่อมาเยอะค่ะ จะสร้างหนังเกี่ยวกับชีวิตดิฉัน เต็มเลย มีทั้งละคร มีทั้งภาพยนตร์ ทั้งในประเทศ นอกประเทศมีหมด บางคนตั้งชื่อว่า เดอะ เกิร์ล อิน เดอะ มิเรอร์ (The Girl in the Mirror) ผู้หญิงคนนั้นที่ฉันเห็นในกระจกถามว่ายินยอมขายไหม ยินยอมเมื่อถึงเวลา ก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่งนะตัวเรา เป็นโอเพ่นบุ๊กไปแล้ว เพราะฉะนั้น มันคงเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แน่นอนว่าให้ทำ แต่ว่าตอนนี้ยังอยากที่จะบ่มบางอย่าง ก็เก็บเอาไว้ก่อน ได้เห็นแน่นอน ใช้คำนี้เลย แต่ในเมื่อเราเป็นนักค้าคอนเทนต์ ก็จะรู้ว่าจังหวะไหนควรทำ และจังหวะไหนที่ควรปล่อย

คำถามสุดท้าย ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณแอน มันเป็นความฝันทั้งหมด คุณจะรู้สึกอย่างไรที่เงินพันล้านหายไปชั่วพริบตา

แอน-จักรพงษ์ : ก็ทำกลับมาใหม่สิคะ เพื่อให้กลายเป็นความจริง ไม่ต้องห่วงเลย ถ้ามันอยู่ในความฝันคุณได้ นั่นหมายความว่า คุณมาถูกทางแล้ว คุณเห็นภาพความสำเร็จของตัวคุณเองแล้วจะไปกลัวอะไร ก็ในเมื่อเรามีสมองและสองมือ เราย่อมต้องสร้างให้มันเป็นจริงได้สิคะ Idea is not important, Execution is the most important matter. การลงมือทำสำคัญที่สุด จงลับคมมีดของตัวเองในเรื่องของประสบการณ์ชีวิต หมั่นไปสั่งสมวิชาชีวิต อย่าย่อท้อ ต่อสู้ อย่าอีโก้ เรียนรู้ Keep Learning Keep Walking แล้วคุณจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ (ยิ้ม)

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ