fbpx

รักเพศเดียวกันต้องโดนปาหินจนตาย! เมื่อบรูไนบังคับใช้กฎหมายอิสลามสวนกระแสโลกคัดค้าน

บทลงโทษที่เพิ่มขึ้นมานี้ ยังรวมถึงการตัดมือและเท้าของผู้ที่ลักขโมย ซึ่งจะทำให้บรูไนเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีบทลงโทษทางศาสนาอิสลามในระดับชาติ

Reasons to Read

  • บทลงโทษที่เพิ่มขึ้นมานี้ ยังรวมถึงการตัดมือและเท้าของผู้ที่ลักขโมย ซึ่งจะทำให้บรูไนเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีบทลงโทษทางศาสนาอิสลามในระดับชาติ
  • กลุ่มชาว LGBT ในบรูไนมีความตื่นกลัวและต้องการออกไปจากประเทศ ซึ่งเว็บไซต์ The Guardian รายงานว่า มีชาว LGBT หลายคนออกจากประเทศไปแล้วเพื่อหาที่ลี้ภัยในประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา
  • สหประชาชาติระบุว่า กฎหมายดังกล่าว ‘โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม’ และมีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนได้ออกมาร่วมประณามกฎหมายนี้
  • สุลต่านยังได้เรียกร้องให้คำสอนอิสลามในประเทศมีความ ‘เข้มแข็งขึ้น’ พร้อมกล่าวว่าบรูไนนั้น ‘ยุติธรรมและมีสงบสุข’

นับเป็นข่าวที่สร้างความตื่นกลัวให้กับกลุ่มชาว LGBT ในประเทศบรูไน ที่ปกครองโดยสุลต่าน ‘ฮัสซานัล โบลเกียห์’ ผู้ทรงอำนาจ หลังจากประเทศได้ขับเคลื่อนไปสู่การบังคับใช้กฎหมายอิสลามอย่างเข้มงวด โดยเพิ่มโทษประหารคนที่ทำผิดประเวณี (การคบชู้ นอกใจ) และการมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันด้วยการ ‘ปาหิน’ และกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา

บทลงโทษที่เพิ่มขึ้นมานี้ ยังรวมถึงการตัดมือและเท้าของผู้ที่ลักขโมย ซึ่งจะทำให้บรูไนเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีบทลงโทษทางศาสนาอิสลามในระดับชาติ เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย ประมวลกฎหมายอาญาฉบับนี้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการในปี 2556 แต่ใช้เวลาหลายปีกว่าจะประกาศเป็นกฎหมาย เนื่องจากเกิดความล่าช้าจากการถกเถียงกันหลังจากถูกคัดค้านจากนานาชาติ

ตอนนี้กลุ่มชาว LGBT ในบรูไนมีความตื่นกลัวและต้องการออกไปจากประเทศ ซึ่งเว็บไซต์ The Guardian รายงานว่า มีชาว LGBT หลายคนออกจากประเทศไปแล้วเพื่อหาที่ลี้ภัยในประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา นอกจากนี้ ชาว LGBT สามคนในบรูไน ยังปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลกับ The Guardian เพราะเกรงกลัวกฎหมายใหม่

ไม่เพียงแต่ชาว LGBT ในบรูไนเท่านั้นที่ช็อกกับบทลงโทษในกฎหมายฉบับนี้ แต่เรื่องนี้ยังถูกต่อต้านจากต่างชาติ และถูกประณามจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและเหล่าคนดัง

โดยสหประชาชาติระบุว่า กฎหมายดังกล่าว ‘โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม’ และมีบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคนได้ออกมาร่วมประณามกฎหมายนี้ ไม่ว่าจะเป็น โจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ, เจมี ลี เคอร์ติส รวมถึง จอร์จ คลูนีย์ และป๊อปสตาร์อย่าง เอลตัน จอห์น ที่ได้เรียกร้องคว่ำบาตรโรงแรมที่บรูไนเป็นเจ้าของในหลายประเทศ

ด้านกระทรวงต่างประเทศของเยอรมนี ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ก็ได้ออกมาประท้วงและเรียกร้องให้บรูไนยกเลิกกฎหมายดังกล่าว

แต่สุลต่านก็ไม่ได้แสดงสัญญาณของการถอยกลับ แถมยังเดินหน้าออกแถลงการณ์ยืนยันว่าบรูไน ‘บังคับใช้กฏหมายของตนเอง’ และในการปราศรัยต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา สุลต่านยังได้เรียกร้องให้คำสอนอิสลามในประเทศมีความ ‘เข้มแข็งขึ้น’ พร้อมกล่าวว่าบรูไนนั้น ‘ยุติธรรมและมีสงบสุข’ และเขาต้องการให้ชาวมุสลิมเผยแพร่คำสอนเพื่อส่งเสียงออกไปสู่สาธารณะ ไม่ใช่แค่ในมัสยิด เพื่อเตือนให้ผู้คนรับรู้ถึงหน้าที่ของชาวมุสลิม

“ใครก็ตามที่มาเยือนประเทศนี้จะได้รับประสบการณ์ที่ดีและเพลิดเพลินไปกับสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและกลมกลืนกัน” สุลต่านกล่าวในการปราศรัยโดยไม่มีการพูดถึงกฎหมายใหม่ที่ขัดแย้ง

ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรต์วอตช์เอเชีย กล่าวว่า “กฎหมายประเภทนี้ไม่ควรมีอยู่ในศตวรรษที่ 21 และมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้บรูไนไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติในด้านสิทธิมนุษยชน”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการประหารชีวิตด้วยการปาหินนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เนื่องจากการลงโทษต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่อย่างจริงจัง และบรูไนไม่ได้บังคับใช้โทษประหารมานานหลายทศวรรษแล้ว

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ