รีวิว Bose : SoundWear Companion
ด้วยการขับเคลื่อนของเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้เรามีโอกาสได้เห็นสินค้าในหมวดหมู่ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีการทำออกมาก่อนจำนวนมากมาย เกือบทั้งหมดทำออกมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ความต้องการที่สินค้าในหมวดหมู่เดิม ๆ ไม่สามารถตอบสนองได้ อย่างเช่น ชาร์จเจอร์หรืออุปกรณ์ชาร์จไฟที่ทำหน้าที่เป็นเพาเวอร์แบงค์แบบพกพาได้ด้วย หรือโคมไฟตั้งโต๊ะที่ทำหน้าที่เป็น wireless charger ได้ด้วย เป็นต้น
ในอุตสาหกรรมเครื่องเสียงเป็นอีกครั้งที่โบส ‘Bose’ ผู้ผลิตเครื่องเสียงชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในนวัตกรรมสินค้าเครื่องเสียง ล่าสุดพวกเขาได้นำเสนอลำโพงพกพารูปแบบใหม่ที่ไม่ลำโพงบลูทูธเหมือนที่เราเคยรู้จัก แต่เป็นลำโพงพกพาแบบคล้องคอที่มาในรหัสชื่อรุ่นว่า “SoundWear Companion”
คุณสมบัติเด่น
Bose SoundWear Companion ถูกออกแบบให้เป็นลำโพงขนาดมินิที่สามารถสวมใส่ได้ (wearable) โดยคล้องเอาไว้ที่คอ และวางแนบสนิทไว้บนบ่า เชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดเสียงด้วยสัญญาณ Bluetooth
หมายความว่าในระหว่างการใช้งานตัวลำโพงจะติดกับตัวผู้ใช้เหมือนกับหูฟังไร้สาย แต่สามารถฟังเสียงได้เหมือนการฟังจากลำโพงที่วางเอาไว้ใกล้ ๆ แตกต่างจากการฟังเสียงจากหูฟังที่เสียงทั้งหมดจะพุ่งตรงเข้าไปในรูหู
SoundWear Companion ใช้ไดรเวอร์ฟูลเรนจ์ขนาดเล็กบรรจุอยู่ในท่อที่ออกแบบพิเศษโดยใช้เทคโนโลยี waveguide อันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของโบส ท่อนี้ได้ถูกออกแบบให้จัดวางอยู่ภายในแกนกลางของลำโพงอย่างแนบเนียน
ระบบ waveguide นี้มีขนาดความยาว 11 นิ้ว และมีจำนวน 2 ท่อ ทำหน้าที่ในการผลักดันมวลอากาศส่งผ่านออกมาทางช่องเปิดใกล้ ๆ ตัวลำโพง ทำให้เสียงที่ได้ยินมีมวลเนื้อและรายละเอียดของเสียงเต็มอิ่ม โบสอ้างว่าด้วยเทคโนโลยีนี้ทำให้ SoundWear Companion มีคุณภาพเสียงที่โดดเด่นกว่าลำโพงคล้องคออื่น ๆ ทั่วไป
ตัวลำโพง SoundWear Companion ยังออกแบบให้มีไมโครโฟนในตัวสามารถใช้รับสายสนทนาหรือใช้งาน Siri ได้ มีปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชั่นและปรับเพิ่มลดความดังในตัว นอกจากนั้นยังมีระบบสั่นเตือนเมื่อมีสายเรียกเข้า
ตัวก้านคล้องคอทำจากด้วยวัสดุชนิดพิเศษที่สามารถดัดและบิดเป็นเกลียวได้ ตัวลำโพงยังมีคุณสมบัติยืดหยุ่นได้ 4 ทิศทางเพื่อการปรับให้แนบไปกับคอได้พอดี ห่อหุ้มผิวด้านนอกด้วยซิลิโคนชนิดที่ใช้ในทางการแพทย์ไม่ระคายเคืองผิว ด้านนอกออกแบบเป็นปลอกผ้าเนื้อโปร่งห่อหุ้มตัวลำโพงทั้งหมด ตัวลำโพงมีคุณสมบัติกันเหงื่อ กันละอองน้ำ ตามมาตรฐาน IPX4
SoundWear Companion มาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัวแบบชาร์จไฟซ้ำได้ เล่นเพลงต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง พร้อมทั้งระบบชาร์จเร็วที่ใช้เวลาชาร์จเพียง 15 นาทีก็สามารถใช้งานได้นานถึง 3 ชั่วโมง ปัจจุบันมีวางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วในราคา 13,500 บาท
แกะกล่องลองใช้งาน
ลำโพง SoundWear Companion มาพร้อมกับปลอกผ้าหุ้มป้องกันตัวเครื่องสีดำเนื้อโปร่ง ปลอกผ้านี้ติดตั้งเข้ากับตัวลำโพงด้วยซิปซ่อนปลายเรียบร้อย สามารถถอดเปลี่ยนได้ในลักษณะเดียวกับเคสโทรศัพท์มือถือ นอกจากผ้าหุ้มสีดำแล้วทาโบสเขายังมีผ้าสีอื่น ๆ เช่น สีเทา สีน้ำเงินเข้มและสีม่วงเข้ม แยกขายเป็นอุปกรณ์เสริมด้วย
ในกล่องยังมีสายชาร์จ Micro USB มาให้อีกหนึ่งเส้นเอาไว้เสียบชาร์จกับยูเอสบีชาร์จเจอร์ทั่วไปหรือเสียบชาร์จกับคอมพิวเตอร์ ตรงนี้ทำให้ผิดหวังเล็กน้อยเพราะเราคิดว่ายุคนี้มันควรจะเป็นพอร์ตที่ได้รับความนิยมแพร่หลายอย่าง USB Type C ได้แล้ว
ที่ตัวลำโพงสังเกตเห็นปุ่มเปิด-ปิดและปุ่มเชื่อมต่อบลูทูธที่ด้านซ้ายมือ ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงและปุ่มมัลติฟังก์ชั่นที่ด้านขวามือ ตัวปุ่มมีลักษณะค่อนข้างแข็งทำให้การใช้งานช่วงแรกจะรู้สึกว่ากดยากไปหน่อย แต่ในทางกลับกันมันก็ดูน่าจะแข็งแรงทนทานเหมือนกัน
การเชื่อมต่อใช้งานมีความง่ายและราบรื่นในทุกขั้นตอนเหมือนอย่างที่เราสามารถคาดหวังจากสินค้าของโบสได้เสมอ และสะดวกมากขึ้นเมื่อเชื่อมต่อกับแอปฯ Bose Connect ซึ่งทำให้สามารถปรับระดับของเสียงทุ้มจากลำโพง SoundWear Companion ได้ด้วย
ด้านคุณภาพเสียงต้องบอกว่ามันให้ความรู้สึกคนละฟิลลิ่งกับการใช้งานหูฟัง แน่นอนว่ามันให้เสียงไม่ครบทั้งย่านความถี่เหมือนหูฟังแต่ได้เรื่องมิติและความโปร่งสบายหูเข้ามาแทน เพราะมันเหมือนเราฟังเสียงจากลำโพงปกติทั่วไปเพียงแต่มันมาวางไว้ใกล้ ๆ ตัว
เหมือนการนั่งชมดนตรีแบบริงไซด์ติดขอบเวที ลักษณะของดนตรีที่เหมาะมากที่สุดจะเป็นพวกดนตรีน้อยชิ้นและไม่ได้เน้นเสียงทุ้มหนัก ๆ เช่น เปียโน, กีตาร์, ดนตรีอะคูสติกทั่วไป, แบ็คกราวด์มิวสิก หรือเพลงที่เน้นเสียงร้อง บาลานซ์ของเสียงจะจัดว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียวโดยเฉพาะเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีเสียงจอแจ
เราได้ลองใช้ลำโพง SoundWear Companion กับการรับชมวิดีโอ ปัญหาการหน่วงของเสียงพบบ้างเล็กน้อยและไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สามารถรับชมได้ต่อเนื่องและสะดวกเมื่อหยิบมาใช้งานในเวลาที่ไม่อยากสวมหูฟัง
ความเห็นโดยสรุปและข้อแนะนำ
ด้วยความแปลกของลักษณะการใช้งานทำให้ช่วงแรกที่ยังไม่ชินอาจจะยังรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินอยู่บ้าง แต่เมื่อใช้งานไปสักพักเราสามารถนั่งดูหนังได้จนจบเรื่องโดยที่ไม่คิดถึงสิ่งที่คล้องอยู่รอบคอ
อย่างไรก็ดีด้านความเป็นส่วนตัวแน่นอนว่ามันสู้หูฟังไม่ได้ จึงแนะนำให้ใช้งานในสถานที่ส่วนตัวมากกว่าใช้งานในที่สาธารณะ เพราะแม้ว่าความเข้มของสนามเสียงส่วนใหญ่จะอยู่ที่บริเวณตัวผู้ใช้งานแต่ผู้ที่อยู่รอบข้างในระยะ 1-3 เมตร ก็จะยังได้ยินเสียงจากตัวลำโพงค่อนข้างชัดเจนถึงจะเป็นเพียงเสียงในย่านความถี่เสียงกลางและสูงเป็นหลักก็ตาม (ขึ้นอยู่กับระดับความดังที่เปิดด้วย)
ในช่วงแรกเราอาจจะยังมีคำถามเหมือนคนส่วนใหญ่ว่ามันต่างอะไรกับหูฟังไร้สาย? แต่เมื่อได้ลองใช้งานจริงเราพบว่าลำโพงลักษณะนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเครื่องเสียงในยุคนี้ที่อาจไม่เคยมีมาก่อน มีรูปแบบและประโยชน์ใช้สอยเฉพาะตัว แถมยังกลมกลืนไปกับชีวิตประจำวันของเรา (โดยเฉพาะในสถานที่ส่วนตัว) ได้ง่ายกว่าหูฟัง