Recent News: สรุปข่าวประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2023
‘บมจ.เอสซีจี เดคคอร์’ หรือ SCGD รุกลงทุนสายการผลิต ‘SPC’ เตรียมบุกขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน ตอบรับดีมานด์เติบโต
บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ลงทุน 138 ล้านบาท ผ่าน บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ติดตั้งสายการผลิตสินค้า “กระเบื้องไวนิล SPC” กำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี ที่โรงงานหินกอง สระบุรี เตรียมบุกขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียนรองรับดีมานด์ที่กำลังเติบโต คาดแล้วเสร็จกลางปี 2567 ชูจุดเด่นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต มีความเป็นมิตรต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม และเป็นวัสดุปูพื้นไวนิล รายแรกที่ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยว่า จากการวางกลยุทธ์ขยายตลาดผลิตภัณฑ์กระเบื้องไวนิล Stone Plastic Composite (SPC) จากประเทศไทยสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มธุรกิจตกแต่งพื้นผิวที่มีศักยภาพเติบโตสูง สอดรับกับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ล่าสุด SCGD ลงทุนติดตั้งสายการผลิตสินค้ากระเบื้องไวนิล SPC ภายในโรงงานหินกอง จังหวัดสระบุรี มีกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยเป็นการลงทุนผ่าน บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ หรือ COTTO ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ใช้งบลงทุน 138 ล้านบาท และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จกลางปี 2567
ตลาดกระเบื้องไวนิล SPC มีการเติบโตที่ดีทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Euromonitor มูลค่าตลาดของสินค้าประเภทนี้ในประเทศไทย ในปี 2565 มีมูลค่ารวมกว่า 3,900 ล้านบาท (ประมาณ 122.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และถูกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,300 ล้านบาท (ประมาณ 135.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในปี 2569 เนื่องจากเป็นวัสดุทางเลือกใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตลอดจนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ทำให้มีความต้องการใช้สินค้าเพื่อการปรับปรุงอาคารในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพิ่มขึ้นด้วย
ขณะที่ตลาดในภูมิภาคอาเซียน ผลิตภัณฑ์กระเบื้องไวนิล SPC มีแนวโน้มเติบโตได้ดีเช่นกัน ทั้งจากโครงการที่อยู่อาศัย และโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยว โดยในปี 2565 สินค้ากลุ่มดังกล่าวมีมูลค่าตลาดรวมในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียกว่า 3,800 ล้านบาท (ประมาณ 119.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และถูกคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,500 ล้านบาท (ประมาณ 172.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในปี 2569 โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.6 ต่อปี จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ที่จะขยายธุรกิจเพื่อเจาะตลาดทั้ง 3 ประเทศต่อไป
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD กล่าวว่า นอกเหนือจากกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นสินค้าหลัก บริษัทฯ ยังมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประเภทกระเบื้องไวนิล SPC และ LVT ซึ่งเป็นนวัตกรรมวัสดุปูพื้นและตกแต่งผนัง แบบ Smart Flexible ภายใต้แบรนด์ LT by COTTO ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติเด่น คือ เป็นวัสดุปูพื้นและตกแต่งผนังทางเลือกใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีนำสมัยในการผลิต การออกแบบและพิมพ์ลวดลายเสมือนจริง เป็นลายหินอ่อนและลายไม้ธรรมชาติ ป้องกันน้ำ 100% ป้องกันปลวก ป้องกันการลามไฟ ง่ายต่อการดูแลรักษา ติดตั้งง่าย สะดวกรวดเร็ว สอดรับกับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต การันตีด้วยการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมระดับ World-Class และภายใต้การรับรองจากฉลากสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice มีความปลอดภัย เป็นมิตรทั้งต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นวัสดุปูพื้นและตกแต่งผนัง ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับอาคารเขียว ตามมาตรฐาน LEED หรือ TREES และ อาคารเพื่อการมีสุขภาวะที่ดีตามมาตรฐาน WELL อีกด้วย
ล่าสุด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 วัสดุตกแต่งพื้นผิว Soft + Floor Collection ของ LT by COTTO ยังได้รับเลือกเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่สถาปนิกแนะนำ รวมถึงได้รับรางวัล “ASA Platform Selected Materials 2023” ประเภท Healthcare and Hygiene Materials จาก สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยเป็นวัสดุปูพื้นไวนิลรายแรกที่ได้รับรางวัลนี้
“วัสดุปูพื้นและตกแต่งผนัง แบบ Smart Flexible จะเป็นหนึ่งในสินค้าเรือธงที่ขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจตกแต่งพื้นผิวในภูมิภาคอาเซียนหลังจากที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการขายและทำตลาดในประเทศไทย และด้วยคุณสมบัติอเนกประสงค์ ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย รวมถึงชื่อเสียงของแบรนด์ COTTO ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก จึงมั่นใจว่าจะสร้างยอดขายที่ดีได้อย่างแน่นอน” นายนำพล กล่าว
LINE BK ครบ 3 ปี ยอดผู้ใช้ทะลุ 6 ล้านคน เปิดพฤติกรรมการใช้งานที่น่าสนใจ ตอกย้ำการเป็นตัวช่วยลูกค้ายามวิกฤติ
LINE BK ผู้ให้บริการ Social Banking รายแรกในเมืองไทย ครบรอบ 3 ปี มียอดผู้ใช้งานกว่า 6 ล้านคน เผยได้รู้จักลูกค้าในหลากหลายแง่มุมจากพฤติกรรมการใช้งา พร้อมสรุปสถิติที่น่าสนใจ ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อที่เข้าถึงง่ายเพื่อคนไทยทุกคน ช่วยบรรเทาปัญหาการเงินให้ลูกค้าในยามวิกฤต เดินหน้าก้าวสู่ปีที่ 4 มุ่งพัฒนาระบบ AI หลังบ้าน และพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าให้มากขึ้นในอนาคต
ธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ Social Banking รายแรกในเมืองไทย ภายใต้ชื่อ LINE BK เปิดเผยว่า นับเป็นเวลา 3 ปี ที่ LINE BK ได้ส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับคนไทย และมุ่งพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์การเงินที่สะดวกกว่าเดิม ทำให้เรื่องเงินเป็นเรื่องง่ายในแอปพลิเคชัน LINE ท่ามกลางความท้าทายจากหลากหลายปัจจัย แต่บริษัทฯ ก็สามารถเดินหน้าธุรกิจได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งนอกจากจำนวนผู้ใช้บริการจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ปัจจุบันมีมากกว่า 6 ล้านรายแล้ว ตลอดเส้นทางความสำเร็จ LINE BK ยังได้ทำความรู้จักลูกค้าในหลายแง่มุมจากพฤติกรรมการใช้งาน พร้อมสรุปออกมาเป็นสถิติการใช้งานที่น่าสนใจ
ด้านธุรกรรมทางการเงิน LINE BK ยังคงพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่อให้การใช้งานสะดวก ปลอดภัย และสนุกมากขึ้น รองรับพฤติกรรมของคนยุคดิจิทัล รวมทั้งผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำมากมายจัดทำแคมเปญอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เช่น Shopee, Lazada foodpanda, Agoda และ iQIYI เพื่อมอบส่วนลดและโปรโมชันต่าง ๆ เพิ่มความคุ้มค่าทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต LINE BK และนอกจากนี้ ยังมีโปรโมชันร่วมกับพาร์ทเนอร์แจกเงินคืน เมื่อใช้ฟีเจอร์สแกนจ่าย QR พร้อมเพย์ด้วย LINE BK ณ ร้านที่ร่วมรายการ อาทิ จับมือกับ Tops, Watsons และเต่าบิน ทั้งนี้ พฤติกรรมการใช้งานฟีเจอร์ด้านธุรกรรมการเงินของ LINE BK พบว่า ฟีเจอร์โอนเงินผ่านแชท (In chat transfer), สแกนจ่ายด้วย QR (Scan QR) และ แชร์เงิน (Split bill) เป็น 3 ฟีเจอร์ยอดฮิต ในขณะที่ 3 ซองเงินโอกาสพิเศษที่ถูกส่งมากที่สุด นำมาด้วยอันดับ 1 บอลโลก และอันดับ 2 ลอยกระทง สุดท้ายอันดับ 3 ตรุษจีน ส่วนเป้าหมายออมเงินในบัญชีออมเงินดอกพิเศษ 3 อันดับ ได้แก่ อันดับ 1 เพื่อลูก อันดับ 2 เพื่อความมั่งคั่ง และ อันดับ 3 เพื่อท่องเที่ยว
ด้านบริการสินเชื่อ (วงเงินให้ยืมและวงเงินให้ยืมนาโน) LINE BK มุ่งเจาะลูกค้าที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อของระบบธนาคาร ช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน บรรเทาปัญหาความยากลำบากให้ลูกค้าในยามวิกฤติ ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อที่เข้าถึงง่ายเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ ได้มีการออกบูธประชาสัมพันธ์บริการ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าจากพื้นที่จริง พบว่าลูกค้าที่สนใจเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับบริการยืมเงิน กว่า 70% จะเป็นกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า และไรเดอร์ ชี้ให้เห็นว่า LINE BK เป็นตัวช่วยทางการเงินที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่หลากหลายอย่างแท้จริง
สำหรับภาพรวมลูกค้าสินเชื่อของ LINE BK สัดส่วนอยู่ที่ภาคกลาง 56% ตามด้วยภาคตะวันออก และภาคอีสาน โดยเป็นกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระมากกว่า 53% และได้วงเงินเฉลี่ยอยู่ที่ราว 36,000 บาท ด้านเหตุผลที่คนยืมเงิน LINE BK พบว่า บริการวงเงินให้ยืม คนส่วนใหญ่ยืมไปเพื่อใช้จ่ายส่วนตัว และเพื่อเป็นวงเงินสำรองเผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน ส่วนบริการวงเงินให้ยืมนาโน คนส่วนใหญ่จะยืมเงินไปเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนหรือกระแสเงินสดสำรองสำหรับธุรกิจ ทั้งนี้ยังได้มีการช่วยเพิ่มวงเงินให้กับลูกค้าที่มีความต้องการและชำระคืนได้ดีกว่า 80,000 ราย และเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้คนไทย LINE BK ยังมีการมอบดอกเบี้ยพิเศษให้ลูกค้า ในช่วงเดือน กันยายน – ตุลาคม 2566 อีกด้วย
ด้านประกัน LINE BK เดินหน้าตอบโจทย์ความต้องการด้านการเงินให้กับลูกค้าอย่างครอบคลุม เปิดตัวบริการ LINE BK Insurance Broker เพื่อเติมเต็มบริการในมิติของการป้องกันความเสี่ยง ภายใต้บริษัทกสิกร ไลน์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ตอกย้ำการเดินตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งโปรโมชันพิเศษจัดเต็มความคุ้มค่า เปิดโอกาสให้คนไทยเข้าถึงความคุ้มครองประกันชีวิตได้ง่าย ๆ ผ่าน LINE BK ด้วยความคุ้ม 2 ต่อ รับเงินคืน 15% ทุกกรมธรรม์ และลุ้นรับจี้ทองคำเทพนกกระเรียนเสริมมงคลหนัก 1 บาท จำนวน 15 รางวัล โปรโมชันตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พฤศจิกายน 2566*
ทั้งนี้ จากข้อมูลลูกค้าที่ซื้อประกันผ่าน LINE BK ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 25-44 ปี และเป็นเพศหญิงมากถึง 62% โดยแบบประกันที่ได้รับความนิยม 3 อันดับ ได้แก่ 1 ผู้ป่วยนอกเบาเบา 2 โรคร้ายเจอจ่าย และ 3 ผู้ป่วยในเหมาเหมา ทั้งนี้ยังพบว่าลูกค้ามีความสนใจซื้อประกันมากกว่า 1 กรมธรรม์ โดยจะเลือกซื้อแบบประกันที่มีความคุ้มครองคนละด้านเพื่อครอบคลุมความกังวล ซึ่งช่วยตอกย้ำให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ประกันที่ขายใน LINE BK มีความคุ้มค่าและตรงใจผู้ซื้อตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ คือ ประกันโดนใจ ซื้อง่าย จ่ายเบา จบใน LINE
ธนากล่าวทิ้งท้ายว่า “การก้าวสู่ปีที่ 4 LINE BK ยังคงมีการพัฒนาระบบ AI หลังบ้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความเข้าใจลูกค้าและนำเข้ามาช่วยในเรื่องการอนุมัติสินเชื่อ ช่วยให้คนไทยที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งจะเป็นก้าวแรกที่นำคนเหล่านี้เข้าสู่ระบบธนาคาร พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตการนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากขึ้นในอนาคตและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการอย่างครอบคลุม”
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่ LINE BK Insurance Broker กำหนด เพิ่มเติม linebk.com*