Recent News: สรุปข่าวประจำวันที่ 3 กรกฏาคม 2023
“เนอวานา บียอนด์ พระราม 2” เปิดตัวบ้านซีรีส์ใหม่ ตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชั่น บนทำเลศักยภาพ ติดถนนพระราม 2 ใกล้ทางด่วน
เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดตัวบ้านซีรีส์ใหม่ 2 ชั้นในโครงการ “เนอวานา บียอนด์ พระราม 2” บ้านหรูสไตล์ โมเดิร์นตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกทุกคนในครอบครัว สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชัน เพื่อประโยชน์ใช้สอยที่ลงตัว พร้อมเปิดให้ชมเป็นครั้งแรกวันที่ 8-9 กรกฎาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 15.99 ล้านบาท
นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (NVD) กล่าวว่า “บริษัทตั้งใจออกแบบบ้านซีรีส์ใหม่ในโครงการเนอวานา บียอนด์ พระราม 2 ให้มีความหรูหรามากขึ้นบนที่ดินขนาดใหญ่ พร้อมพื้นที่และฟังก์ชันที่ให้มากกว่าตามเอกลักษณ์การออกแบบของเนอวานา เพื่อตอบรับกับกลุ่มลูกค้าในโซนพระราม 2 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพเพื่อการอยู่อาศัยอีกทำเลหนึ่งในย่านฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานคร”
บ้านซีรีส์ใหม่ 2 แบบ ได้แก่ SERENE และ WISDOM เป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์น มีพี้นที่ใช้สอย 235 และ 319 ตารางเมตร ถูกออกแบบเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้อยู่ร่วมกันอย่างลงตัว มีการจัดวางพื้นที่ให้ทุกคนอยู่อาศัยได้ในทุกช่วงชีวิต พร้อมเตรียมฟังก์ชันไว้ให้ครอบครัวที่ต้องการพื้นที่สำหรับผู้สูงอายุ โดยยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้านการออกแบบของบ้านเนอวานา ที่มุ่งเน้นสร้างจังหวะการปิดทึบ (Mass) และเปิดโล่ง (Void) ที่สัมพันธ์กันระหว่างทั้ง 2 ส่วน เพื่อเพิ่มความโปร่งโล่งสบายภายในตัวบ้าน อีกทั้งสร้างความสวยงามของสถาปัตยกรรม และทำให้เกิดประโยชน์ใช้สอยได้อย่างพอดี รวมไปถึงยังสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันภายในเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกบ้านที่หลากหลาย
โครงการเนอวานา บียอนด์ พระราม 2 ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 2 มีพื้นที่ 42 ไร่ ในสังคมเอ็กซ์คลูซีพ(Exclusive) 137 ครอบครัว โครงการได้รับการออกแบบให้มีความร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เน้นความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่มีมาตรฐานสูง พร้อมดับเบิล เกต เอ็นทรานซ์ (Double gate entrance) ตั้งแต่ทางเข้าโครงการ มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 15.99 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70% จากโครงการสามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองได้สะดวกด้วยทางด่วน หรือจะเชื่อมไปยังถนนบางขุนเทียนและถนนวงแหวนรอบนอก (กาญจนาภิเษก) ได้ง่ายๆ อีกทั้งยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายครบครัน อาทิเช่น โรงเรียนนานาชาติ BASIS, NORWICH และโรงเรียนรุ่งอรุณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพระราม 2 โลตัส บิ๊กซี โฮมโปร และ The Bright พระราม 2 รวมทั้งโรงพยาบาลชั้นนำ ได้แก่ โรงพยาบาลนครธน โรงพยาบาลบางประกอก 9 โรงพยาบาลบางมด 1 และโรงพยาบาลพระราม 2
“เราหวังว่าบ้านซีรีส์ใหม่ของเนอวานา บียอนด์ พระราม 2 จะได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อบ้านเป็นอย่างดี จากการออกแบบบ้านรูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย และประสบความสำเร็จในการขายไม่ต่างจากโครงการอื่นๆของเนอวานา” นายศรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
WDC เดินกลยุทธ์เพิ่มช่องทางขายครึ่งปีหลัง Relocate สาขาภูเก็ต เล็งเปิดแฟลกชิปใหญ่สุด สร้างยอดทะลุ 1,000 ล้าน
WDC หรือ เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง ชูกลยุทธ์เพิ่มช่องทางขาย ทุ่ม 15 ล้าน ย้ายสาขาภูเก็ตไปทำเลใหม่ “ไพร์มโลเกชั่น” พร้อมเล็งเปิดแฟล็กชิปสโตร์ พื้นที่ใหญ่สุดในช่วงปลายปี เดินหน้าสร้างยอดขายทะลุ 1,000 ล้าน เติบโต 25% หลังเห็นสัญญาณบวกตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 ขณะที่ตลาดวัสดุตกแต่งพื้นและผนังแนวโน้มสดใสหลังผ่าน COVID-19 กลับมามีมูลค่ากว่า 30,000 ล้าน
นายบัณฑิต หิรัญญนิธิวัฒนา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวสเทิร์น เดคอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WDC ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุตกแต่งพื้นและผนังระดับพรีเมียม เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังว่า “บริษัทฯ จะสร้างผลการดำเนินงานให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยการใช้กลยุทธ์การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากขึ้น ทั้งกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา นักออกแบบ และลูกค้าทั่วไป (End-user) โดยจะมุ่งเน้นขยายช่องทางการจัดจำหน่ายตลาดในประเทศ และเตรียมความพร้อมขยายตลาดต่างประเทศในอนาคตด้วย”
สำหรับตลาดภายในประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลักอยู่ 3 ช่องทาง ได้แก่ การค้าส่ง การขายเข้าโครงการ และการค้าปลีก ซึ่งมีโชว์รูมสินค้าของบริษัทรวม 8 สาขา ได้แก่ สาขา Crystal Design Center (CDC) สาขานิมิตใหม่ สาขาหาดใหญ่ สาขาเชียงใหม่ สาขาภูเก็ต สาขาบางนา สาขาพัทยา และสาขาขอนแก่น ซึ่งในช่วงปลายปีนี้ บริษัทยังมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่จะเป็นรูปแบบแฟลกชิพสโตร์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเนื้อที่รวมประมาณ 1,300-1,400 ตารางเมตร
ล่าสุด สาขาจังหวัดภูเก็ต บริษัทได้เปิดโชว์รูม WDC บนทำเลใหม่ บนถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นไพร์มโลเกชั่น และมีขนาดพื้นที่โชว์รูมใหญ่ขึ้นกว่าเดิมถึง 5 เท่า ด้วยขนาดพื้นที่ประมาณ 500 ตารางเมตร จากเดิมที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทใช้งบลงทุนไปกว่า 15 ล้านบาท เนื่องจากต้องการรองรับกับความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าในจังหวัดภูเก็ตและใกล้เคียง ที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด
โดยโชว์รูม WDC แห่งใหม่ของจังหวัดภูเก็ต ยังคงออกแบบและตกแต่ง ภายใต้ 3 DNA สำคัญของบริษัท ที่ประกอบด้วย นวัตกรรม (Innovation) ความสวยงามจากการออกแบบ (Design) และความคุ้มค่า (Value) หรือราคาที่เหมาะสม ด้วยการออกแบบโชว์รูมให้โชว์รูม ตอบสนองความต้องการใช้สินค้า และมุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดี ในการเลือกซื้อสินค้ากลุ่มกระเบื้องและวัสดุตกแต่ง พื้นและผนัง ภายในโชว์รูมจะมีพื้นที่แสดงสินค้า ห้องจัดแสดงการใช้งานสินค้าจริง (Mock Up Room) เพื่อให้ลูกค้าเกิดแรงบันดาลใจ และสร้างจินตนาการในการนำเอาวัสดุไปใช้งานให้เหมาะสมกับความของต้องการของกลุ่มลูกค้า
นอกจากช่องทางการทำตลาดภายในประเทศแล้ว ปัจจุบันบริษัทฯ ยังส่งสินค้าออกไปทำตลาดในต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยในปีหน้าบริษัทฯโฟกัสการทำตลาดในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการส่งออกให้ได้มากขึ้น ซึ่งรูปแบบการทำตลาดจะเป็นการเข้าไปถือหุ้น หรือการเป็นพันธมิตรกับผู้ผลิตกระเบื้องและวัสดุตกแต่งพื้นและผนัง ที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าตามมาตรฐานของประเทศในยุโรป ซึ่งเป็นผู้ผลิตในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศให้ได้มากขึ้นด้วย และเป็นฐานผลิตสินค้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนอื่น ๆ ด้วย
นายบัณฑิต กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ว่า “มีทิศทางการเติบโตเป็นบวก ซึ่งบริษัทฯ น่าจะทำยอดขายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตในอัตรา 25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเห็นทิศทางเป็นบวกจากช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้ถึง 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว ภาพรวมตลาดมีอัตราการเติบโต 10-12% โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาพัฒนาโครงการอสังหาฯ กันเพิ่มมากขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีหลัง ยังคาดว่าจะมีการเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การทำงาน และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ”
พร้อมทั้งยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาพรวมตลาดวัสดุตกแต่งพื้นและผนังในปีนี้ เริ่มกลับมาเติบโตมากขึ้น 30,000 ล้านบาท จากช่วงที่ผ่านมาตลาดหดตัวลงไปเหลือมูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม เป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตลาดอสังหาฯ เริ่มมีอัตราการเติบโต และผู้ประกอบการอสังหาฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น”
สำหรับแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการบริหารจัดการ ระบบการทำงานภายใน ให้มีประสิทธิภาพและมีความสมบูรณ์ ซึ่งปัจจุบันเตรียมความพร้อมในส่วนนี้ไว้แล้ว 70-80% นอกจากนี้ บริษัทฯ มีจุดมุ่งหมายหลักที่จะสร้างผลกำไรสุทธิให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากนั้นจึงจะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป