Recent News สรุปข่าวประจำวันที่ 1 มิถุนายน 2023
สยามพิวรรธน์ ร่วมสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำ เพิ่มสถานีบริการชาร์จรถไฟฟ้า ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการรถยนต์ EV ครอบคลุมทุกศูนย์ฯ
ในขณะที่กระแสรักษ์โลกกำลังมาแรง ทำให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ได้รับความสนใจ และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ทั้งการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ประหยัดพลังงาน และช่วยลดมลพิษ สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม ไอซีเอส และ สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) ในประเทศไทยเพื่อร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม
นราทิพย์ รัตตประดิษฐ์ ประธานบริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า สยามพิวรรธน์ในฐานะองค์กรที่สนับสนุนและสร้างแรงบันดาลใจด้านสิ่งแวดล้อม การยกระดับคุณภาพชีวิต และการตอบแทนสังคม ได้เปิดพื้นที่อาคารจอดรถของศูนย์การค้าในกลุ่มสยามพิวรรธน์ ได้แก่ สยามพารากอน สยามคาร์พาร์ค ไอคอนสยาม ไอซีเอส และสยามพรีเมียม เอาท์เล็ต ให้มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายแบรนด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ยนตกรรมไฟฟ้าในปัจจุบัน และสร้างความมั่นใจกับผู้บริโภคด้วยการผนึกกำลังกับพันธมิตร เพื่อมอบประสบการณ์อย่างเหนือระดับให้กับผู้ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากหลายๆ ปัจจัย โดยเฉพาะการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงค่ายรถยนต์ต่างๆ ก็ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น โดยข้อมูลจากกรมขนส่งทางบก ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-เมษายน) มียอดจดทะเบียนราว 20,000 คัน ซึ่งส่งผลให้ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับสถานีชาร์จในอาคารจอดรถของศูนย์การค้าในกลุ่มสยามพิวรรธน์เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคต บริษัทวางแผนจะเพิ่มจุดบริการชาร์จรถไฟฟ้ามากขึ้น ทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์”
โดยสถานีบริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของศูนย์การค้าในกลุ่มสยามพิวรรธน์ มีดังนี้
EV Charger Parc ชั้น 3A ฝั่งนอร์ท ของอาคารจอดรถสยามพารากอน
- Destination Charger สถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า TESLA รองรับการให้บริการเฉพาะรถยนต์ TESLA ได้ถึง 6 ช่องจอด
- EVme Charging Station สถานีอัดประจุไฟฟ้าที่กำลังจะเปิดให้บริการในวันที่ 1 มิถุนายน 2566 นี้ รองรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ ได้ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ เปิดให้บริการจำนวน 6 ช่องจอด
อาคารสยามคาร์พาร์ค ชั้น GB
- EA Anywhere จำนวน 6 ช่องจอด รองรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ทุกแบรนด์
อาคารไอคอนสยาม
- EA Anywhere ชั้น B1 จำนวน 10 ช่องจอด รองรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ทุกแบรนด์
- BMW Exclusive Parking ชั้น UG จำนวน 5 ช่องจอด รองรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BMWเฉพาะรุ่นที่กำหนด อาทิ BMW ซีรีส์ 7, X7, ซีรีส์ 8, BMW M และ BMW i
- SHARGE EV CHARGING STATION ชั้น UG จำนวน 3 ช่องจอด โดยสามารถใช้บริการได้กับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ทุกแบรนด์
- GWM ชั้น 3 จำนวน 6 ช่องจอด รองรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า GWM เท่านั้น
อาคาร ICS
- EV CHARGE Evolution จำนวน 4 ช่องจอด
สยามพรีเมียม เอาท์เล็ต
- EA Anywhere จำนวน 5 ช่องจอด
- EVOLT จำนวน จำนวน 2 ช่องจอด
ทั้งนี้ คุณนราทิพย์ กล่าวถึงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่อว่า “ทุกโครงการต่างๆ ที่สยามพิวรรธน์ ดำเนินการนั้น จะต้องสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับสังคมในวงกว้าง ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทย ตลอดจนดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรามีนโยบาย และการวางแผนแนวทางปฏิบัติด้าน Sustainable ที่ชัดเจนตั้งแต่แรกเริ่มและถูกดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติขององค์กร”
“เอสซีจี” ผนึก “มัส บี” บริษัทร่วมทุนในกลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ถือหุ้น 50 : 50 ดัน NocNoc ขึ้นเบอร์ 1 Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียน
“เอสซีจี” ผนึก “มัส บี” บริษัทร่วมทุนในกลุ่มไทยเบฟและเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมทุนใน BetterBe โดยถือหุ้นฝ่ายละ 50% รวมมูลค่ากว่า 3,900 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าดัน “NocNoc” ผู้ให้บริการ
ทุกเรื่องออนไลน์มาร์เก็ตแพลตฟอร์มในประเทศไทยและอินโดนีเซีย ขึ้นเบอร์ 1 ในธุรกิจ Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียน ภายในปี 2571 พร้อมชูประสบการณ์เป็นแพลตฟอร์มการซื้อสินค้าและบริการตกแต่งบ้านที่เข้าถึงง่าย หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์สำหรับลูกค้า ผู้ขาย และผู้ให้บริการ ด้วยเทคโนโลยีระบบ AI ช่วยเปลี่ยนแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านเป็นแรงบันดาลจริง มั่นใจสิ้นปี 2566 ยอดขายเติบโต 2.5 เท่าจากปีก่อน
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า “บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ BetterBe ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในเอสซีจี ที่ประกอบธุรกิจออนไลน์มาร์เก็ตแพลตฟอร์มในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ NocNoc และในประเทศอินโดนีเซียภายใต้ชื่อ Renos เป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูง เติบโตต่อเนื่อง เข้าถึงตลาดรวมกว่า 300 ล้านคน อีกทั้งยังตอบรับกับเทรนด์การอยู่อาศัยที่ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็วมากขึ้น
การร่วมทุนใน BetterBe ระหว่างเอสซีจี กับ บริษัท มัส บี จำกัด (“มัส บี”) บริษัทร่วมทุนของกลุ่มบริษัท
ไทยเบฟเวอเรจ และบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ครั้งนี้ โดย เอสซีจี ถือหุ้น 50% และมัส บี ถือหุ้น 50% ถือเป็นการผสานศักยภาพของเอสซีจี กับมัส บี ที่มีเครือข่ายระบบโลจิสติกส์ ทั้งการขนส่ง คลังสินค้า รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ศูนย์การค้า และโรงแรมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ จะทำให้ NocNoc แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมคว้าโอกาสเติบโตในอนาคต จากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและการเปิดตลาดบ้านและที่อยู่อาศัย (Home and Living) ไปสู่วงกว้างมากขึ้น”
นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้มีอำนาจของ มัส บี และรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มดิจิทัลและเทคโนโลยี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การที่มัส บี ได้เข้ามาร่วมทุนกับเอสซีจีครั้งนี้ เนื่องจากมองเห็นทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมออนไลน์มาร์เก็ตเพลสแพลตฟอร์ม ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2566 ทางศูนย์วิจัยกสิกร ได้ประเมินว่ามูลค่าตลาด B2C E-Commerce น่าจะมีอัตราการขยายตัวในอัตรา 4-6% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 606,000-618,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสทางการตลาดในการสร้างการเติบโตด้านยอดขายและรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ มัส บี ยังมองว่าการร่วมทุนใน BetterBe กับเอสซีจี มีศักยภาพและความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในธุรกิจเกี่ยวกับการตกแต่งบ้านและการอยู่อาศัย ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ มีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลาย รวมถึงระบบการจัดส่งสินค้าหรือโลจิสติกส์ที่สามารถกระจายสินค้าถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรง และยังมี Home and Living Platform จัดจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับบ้านและการอยู่อาศัย ที่มีความแข็งแกร่งอย่าง NocNoc ซึ่งจะเข้ามาเสริมโอกาสทางการตลาดและเพิ่มยอดขาย ให้กับสินค้าในกลุ่มบริษัทฯได้อีกมากด้วย”
นางชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc กล่าวว่า “NocNoc มุ่งสู่ Home and Living Destination Platform ที่ช่วยให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ที่เปิดกว้างให้ผู้ขาย แบรนด์ และพันธมิตรทุกรายสามารถนำเสนอสินค้าบนแพลตฟอร์มได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ขณะที่ผู้บริโภคเข้าถึงตัวเลือกสินค้าและบริการในกลุ่มบ้านและที่อยู่อาศัย (Home and Living) หลากหลาย ครบวงจร ตอบโจทย์ทุกความต้องการ โดย NocNoc เร่งนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประสบการณ์การซื้อสินค้า อาทิ AI Personalization และ NocNoc GPT ซึ่งช่วยให้การต่อเติม ตกแต่งบ้านทั้งหลังเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องบ้าน เพื่อให้ผู้บริโภคใกล้ชิดกับ NocNoc มากขึ้น เปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจคนแต่งบ้าน อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ขายบนแพลตฟอร์มเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น
การร่วมทุนครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ NocNoc เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นโอกาสของผู้ขาย แบรนด์ และพันธมิตรทุกรายบนแพลตฟอร์มที่จะเติบโตไปพร้อมกัน โดยบริษัท ฯ ตั้งเป้าขึ้นแท่น ผู้นำตลาดเบอร์ 1 Home and Living Destination Platform ในตลาดอาเซียน ภายในปี 2571
28 มิ.ย. 66 – 2 ก.ค. 66 นี้ NocNoc เตรียมจัดงานใหญ่ใจกลางเมืองครั้งแรก “NocNoc Fair” งานแฟร์เพื่อคนรักบ้านที่รวบรวมสินค้าและบริการทุกเรื่องบ้านจากร้านค้าบนแพลตฟอร์ม NocNoc กว่า 3,000 ร้านค้า ในดีลคุ้มสุดพิเศษ พร้อมอัปเดตเทคโนโลยีที่พร้อมเป็นผู้ช่วยให้การแต่งบ้านเป็นเรื่องง่ายผ่าน “NocNocGPT” ที่ใช้ระบบ AI วิเคราะห์และออกแบบบ้านในสไตล์ที่ใช่เพื่อคนแต่งบ้านโดยเฉพาะ และต่อเติมแรงบันดาลใจ Home InspiRealtion จากเหล่าศิลปินและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังที่พร้อมแชร์เรื่องบ้านในทุกสไตล์ ความสุขอัดแน่นเพื่อคนรักบ้านตลอด 5 วันเต็ม ที่ ชั้น 1 CentralwOrld, Central Court & Eden Zone ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/3MrYdBe”
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา NocNoc มียอดขายรวมบนแพลตฟอร์มกว่า 10,000 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่เปิดให้บริการ ปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการเฉลี่ยมากกว่า 3 ล้านรายต่อเดือน ทั้งกลุ่มลูกค้า B2C และ B2B จากการร่วมทุนกันในครั้งนี้ รวมถึงกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ เชื่อมั่นว่า NocNoc จะมียอดขายบนแพลตฟอร์มเติบโต 2.5 เท่า จากปีที่ผ่านมา