fbpx

เปิดบ้าน Wisesight BASE33 กับคอนเซปต์ออฟฟิศใหม่! สำหรับเทรนด์การทำงานยุคหลังโควิด

บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอันดับหนึ่งในประเทศไทยและมีประสบการณ์ในด้านโซเชียลมีเดียมามากกว่า 15 ปี เผยโฉมฐานทัพรูปแบบใหม่บนพื้นที่ 1,234 ตร.ม. ที่ยึดคอนเซปต์การทำงานแบบยืดหยุ่นที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ทั้งที่บ้านและที่ออฟฟิศ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

คุณกล้า ตั้งสุวรรณ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “ตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตการณ์โควิดเป็นต้นมา เราพบว่าในอนาคตเราต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานอย่างสูง ทำให้เราดำเนินการปรับรูปแบบพื้นที่ทำงานของเราให้กลายเป็น ‘Hybrid Workplace’ เน้นให้ทุกคนได้เข้ามาสร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน พื้นที่ที่ออกแบบมาจึงไม่เหมือนการทำงานในยุคก่อนที่ต้องนั่งทำงานต่อเนื่องวันละ 8 ชั่วโมง แต่พนักงานสามารถยืน, นั่ง, เดินทำงานตามจุดต่างๆ ได้ และจุคนได้มากกว่า 200 คน เรามองว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นได้ทั้งที่ทำงาน และที่ที่ทุกคนได้มาใช้เวลาในช่วงต่างๆ ของการทำงานร่วมกัน”

ซึ่งคอนเซปต์นี้ถูกประยุกต์ในพื้นที่ทุกตารางเมตรของ BASE33 โดยแบ่งออกเป็น  4 โซนหลักๆ ได้แก่

1. THE FRONT
สัมผัสความเป็นไวซ์ไซท์ได้ตั้งแต่ก้าวแรกด้วยจอ Command Center ขนาดใหญ่ที่แสดงผลข้อมูลบนโลกโซเชียลในหลากหลายรูปแบบ ให้คุณไม่พลาดในการเกาะติดทุกกระแสโซเชียลแบบเรียลไทม์ในบรรยากาศสบายๆ แบบเป็นกันเอง โดยไม่จำกัดเพียงแค่ลูกค้า หรือพาร์ทเนอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำงานต้องพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการทั่วไป เช่น พนักงานส่งเอกสาร สินค้า และผู้สมัครงานด้วย

2. THE CAFE
โซนคาเฟ่ ถูกออกแบบมาใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับกิจกรรมในหลากหลายรูปแบบของทีมงานกว่า 200 ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการจัดประชุม และสัมนาภายใน, งานเลี้ยงสังสรรค์, การจัดอีเวนท์รูปแบบต่างๆ รวมไปถึง มีความเหมาะสมในการนั่งทำงาน สืบเนื่องมาจากช่วงโควิดที่คนนิยมไปนั่งคาเฟ่ ไวซ์ไซท์จึงอยากทำให้พื้นที่นี้เป็นคาเฟ่ของทุกคน คาเฟ่ที่สามารถนั่งทำงานจริงและใช้ชีวิตไปได้พร้อมๆ กัน โดยเรามีบาร์ขนาดใหญ่ที่เปิดต้อนรับตลอด 24 ชั่วโมงรวมถึงเบียร์แท็ป, อาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่สามารถบริการตัวเองได้ที่ตู้กดอัตโนมัติ พร้อมผ่อนคลายไปกับกิจกรรมต่างๆ อาทิ บอร์ดเกม, ปิงปอง, พูล ทุกคนจึงสามารถชวนเพื่อนๆ มาใช้เวลาร่วมกันได้ตลอดวัน

3. THE STUDIO
โซนสตูดิโอที่ถูกจัดเตรียมขึ้นมาเพื่อรองรับการผลิตสื่อในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำไลฟ์, การถ่ายวีดีโอ, การสัมนาออนไลน์ และการทำการสื่อสารในรูปแบบอื่นๆ ให้สอดรับกับรูปแบบการทำงานของคนในปัจจุบัน

4. THE ROOM
โซนห้องประชุมที่ออกแบบมาเพื่อรองรับและตอบโจทย์การใช้งานของคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้ถึง 30 คน ไปจนถึงห้อง Phone Booth สำหรับการประชุมออนไลน์ขนาดเล็กสำหรับ 1-2 คน ที่เพิ่มยืดหยุ่นในการประชุมยุคใหม่

เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือ ชื่อของห้องประชุมที่ถูกตั้งขึ้นตามเฉดสีแดงซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของไวซ์ไซท์ ได้แก่ Wine, Scarlet, Crimson, Ruby, Raspberry, Imperial, Burgundy และ Rose ซึ่งสะท้อนความแตกต่างที่ลงตัวของทุกๆ คน

ซึ่งทั้งหมดเป็นภาพรวมของรูปแบบสถานที่ที่ถูกออกแบบมารองรับการทำงานแบบ Hybrid Working ที่ใช้ข้อมูลบนโลกโซเชียลเป็นองค์ประกอบในการวางคอนเซปต์เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ให้สามารถใช้พื้นที่การทำงาน และใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างลงตัว โดย คุณพุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท, รองผู้อำนวยการฝ่ายการบริการวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยเทรนด์การทำงาน และเทรนด์โซเชียลในช่วงครึ่งปีแรกของ 2565 ที่น่าจับตามองผ่าน 2 มิติ ด้วยกัน คือ

  1. เทรนด์การทำงาน

เสียงของคนบนโลกโซเชียลมากกว่า 64% คิดว่าการทำงานที่บ้านเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากสามารถจัดสรรเวลาการทำงานได้และทำให้เนื้องานที่ออกมามีประสิทธิภาพดีกว่า นอกจากนี้ ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และมีเวลาที่เหลือทำกิจกรรมอื่นๆ กับคนในครอบครัวได้ ในขณะที่ 26% มองว่าการทำงานที่บ้านทำให้เสียสุขภาพกายและใจ เกิดความเครียดได้ง่าย พื้นที่แวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน รวมถึง เหงาและอยากเจอผู้คน

ดังนั้น หากกลุ่มคนบนโลกโซเชียลจะออกมาทำงานที่ออฟฟิศ ออฟฟิศแห่งนั้นจะต้องเป็น ‘ออฟฟิศที่อยู่แล้วสบายใจ’ คือ จัดการทำงานอย่างเป็นระบบ มีความเป็นมืออาชีพ มีค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม เพื่อนร่วมงานเปิดใจรับฟังความคิดเห็นอย่างเข้าใจ ตัวงานมีคุณค่าและสนุกที่ได้ทำ

2. เทรนด์โซเชียลในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 แบ่งออกเป็น 3 ส่วน

  • Spectrum of Attitude: โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่สาธารณะที่เต็มไปด้วยความคิดเห็นจากคนหลากหลายประเภท มีทั้งความคิดเห็นที่ตรงกัน และต่างกัน ซึ่งทำให้เกิดการถกเถียงหรือที่เรียกว่า ดราม่า นั่นเอง โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีดราม่าเกิดขึ้นทั้งสิ้น 760,000 ข้อความ และได้รับเอ็นเกจเมนต์รวม 187,000,000 เอ็นเกจเมนต์ โดย 8 เรื่องหลักที่ทำให้เกิดเรื่องดราม่า ได้แก่ 1.) สิทธิส่วนบุคคล (Privacy) 2.) ความเชื่อ (Belief) 3.) ปัญหาสังคม (Social Issue) 4.) คุณค่าชีวิต (Life Value) 5.) เพศ (Gender) 6.) เชื้อชาติ (Racism) 7.) สิทธิมนุษยชน (Human Rights) 8.) ความแตกต่างทางความคิดระหว่างหนุ่มสาวและผู้สูงอายุ (Generation Gap)

สิ่งที่แบรนด์สามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงดราม่าเหล่านี้ คือ 1.) มีหลักการที่ถูกต้อง 2.) ถ่อมตน 3.) เปิดใจรับฟังผู้บริโภค และไม่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง

  • The norm is shifting: ผู้บริโภคในยุคนี้มองหามาตรฐานการให้บริการที่สูงขึ้นจากแบรนด์ รวมถึง ต้องการให้แบรนแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องต่างๆ เช่น ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ในช่วง Pride Month ที่ผ่านมาผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกับแบรนด์ที่ส่งเสริมเรื่อง LGBTQ+ อย่างยั่งยืนมากกว่าแบรนด์ที่เปลี่ยนโลโก้เป็นสีรุ้ง หรือจัดแคมเปญเดินขบวน

ดังนั้น คำแนะนำสำหรับแบรนด์ที่จะมัดใจผู้บริโภคได้ คือ จริงใจ, สม่ำเสมอ, และไม่ทำตามกระแสShort, Fast, and Repeat: แพลตฟอร์ม TikTok ทำให้กระแสวิดีโอขนาดสั้นกลับมาบูมอีกครั้ง ซึ่งตัวแแพลตฟอร์มเองก็เป็นแหล่งกำเนิดเทรนด์ กระแสเต้น กระแสเพลง รวมถึง อาหารการกินและการรีวิว ถือว่าเทรนด์เหล่านี้คล้ายกับดราม่าก็ได้เพราะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ช่วงเวลาที่คนให้ความสนใจนั้นลดลง แต่ก่อนไวรัลอยู่ในความสนใจได้เกือบหนึ่งสัปดาห์ แต่ในปัจจุบันเพียงแค่สองวันไวรัลเหล่านั้นก็หายไปแล้ว

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซเชียลมีเดียไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นเลย คาแรคเตอร์ของคนบนโลกโซเชียลก็ยังคงคล้ายคลึงกับปีก่อน ทำให้เรายังไม่เห็นอะไรใหม่ ผมขอเรียกยุคนี้ว่าเป็นยุค ‘Fast & Furious Consumer’ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นไว และจบไวมาก แบรนด์จึงควรตั้งสติ และถามตัวเองอยู่เสมอว่าเทรนด์นี้เราควรเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยหรือไม่ หรือเทรนด์นี้ส่งผลเสียหรือดีต่อภาพลักษณ์แบรนด์มากกว่ากัน เพราะการทำอะไรตามกระแสก็ไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป” คุณต่อ เสริม

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ