fbpx

Only time will tell เวลาจะบอกทุกอย่าง

เสน่ห์แห่งเรือนเวลาจากคาร์เทียร์ พร้อมถอดรหัสการรังสรรค์กลไกนาฬิการุ่นไอคอนิคของเมซง

การรังสรรค์เรือนเวลาของคาร์เทียร์คือการท้าทายรูปทรงต่างๆ อย่างไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็น สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า ทรงกลม หรือแม้แต่เส้นสายอันบริสุทธิ์ ดังจะเห็นได้จากเรือนเวลารุ่นไอคอนิกของคาร์เทียร์ ได้แก่ แทงก์ (Tank), ซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier), ปองแตร์ เดอร์ คาร์เทียร์ (Panthère de Cartier), บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ (Ballon Bleu de Cartier), และพาช่า เดอร์ คาร์เทียร์ (Pasha de Cartier) เรือนเวลารุ่นไอคอนิกของคาร์เทียร์เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรือนเวลาที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ดีไซน์โดดเด่นยากที่จะละสายตา ทรงคุณค่าและงดงามเหนือกาลเวลา

แทงก์ (Tank) ตำนานแห่งเรือนเวลาของคาร์เทียร์ เรือนเวลารุ่นแทงก์ได้จารึกความสง่างามของคาร์เทียร์ผ่านดีไซน์ที่คมชัดและเพรียวบาง นับตั้งแต่หลุยส์ คาร์เทียร์ (Louis Cartier) สร้างสรรค์เรือนเวลานี้โดยรับแรงบันดาลใจมาจากสี่เหลี่ยมผืนผ้าเมื่อปี ค.ศ. 1917 หลุยส์ คาร์เทียร์ เลือกหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทำให้แทงก์โดดเด่นจากนาฬิกาข้อมือทั่วไปในยุคนั้นซึ่งมีหน้าปัดเป็นทรงกลม ทำให้แทงก์มีกลิ่นอายที่ล้ำสมัย อยู่เหนือกาลเวลามาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน เส้นตรงสองเส้นที่ขนาบข้างหน้าปัดนับเป็นเอกลักษณ์ของเรือนเวลารุ่นนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากภาพมุมสูงของรถถัง โดยมีเอกลักษณ์เป็นคานสองชิ้นประกบเข้ากับตัวเรือนทรงเหลี่ยมดุจล้อรถและหอบังคับการ การประกอบตัวเรือนกับสายนาฬิกา ทำได้กลมกลืนเสียจนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อรักษาหัวใจหลักของแรงบันดาลใจที่น่าทึ่งนี้เอาไว้ แทงก์ ได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นเรือนเวลาคู่ใจของบุคคลสำคัญมากมายจนมีคำกล่าวว่า การสวมใส่แทงก์ คือการประกาศตัวตน จนแทงก์กลายเป็นวัฒนธรรมแห่งยุคสมัย ดั่งที่แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol) ศิลปินชื่อดังระดับโลกได้กล่าวไว้ว่า “ฉันไม่ได้ใส่แทงก์เพื่อดูเวลา อันที่จริงแล้วฉันไม่เคยไขลานนาฬิกาด้วยซ้ำ ฉันใส่แทงก์เพราะมันคือนาฬิกาที่ต้องใส่” นอกจากกลไกอัตโนมัติและระบบควอทซ์แล้ว แทงก์ มัสท์ (Tank Must) มาพร้อมกับกลไกโซลาร์บีท (SolarBeat™) ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 16 ปี โดยเป็นเรือนเวลาแรกของคาร์เทียร์ที่ใช้เทคโนโลยีนี้

เมื่อกล่าวถึงนาฬิกาคาร์เทียร์ นาฬิการุ่นแทงก์ มัสท์ (Tank Must) ถือว่าเป็นหนึ่งรุ่นที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เป็นนาฬิกาที่ดีไซน์อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณของยุค 70 และ 80 ซึ่งได้มีการหยิบนำเอกลักษณ์เด่นของแทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ มาประยุคใช้กับสตีล เกิดเป็นศักยภาพเชิงสุนทรียะที่ยิ่งใหญ่ สร้างแรงบันดาลใจให้ช่างผู้เชี่ยวชาญด้านนาฬิกาคาร์เทียร์ และเป็นพลังขับเคลื่อนการสำรวจเชิงสร้างสรรค์ให้เดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยแทงก์ มัสท์ รุ่นปี 2022 มาพร้อมกับหน้าปัดสีดำล้วนเคลือบแลกเกอร์มันวาว เรียบขรึมไร้กาลเวลาบนตัวเรือนสตีล เปี่ยมด้วยคาแรกเตอร์ที่แน่วแน่ ไร้การประนีประนอม

อีกหนึ่งนาฬิการุ่น Tank ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของคาร์เทียร์คือ แทงก์ อเมริแกน (Tank Américaine) และ แทงก์ ฟรองเซส์ (Tank Française) โดยทั้ง 2 รุ่นนี้มีความคลาสสิคที่แตกต่าง โดยรุ่นแทงก์ อเมริเกน ได้ถูกออกแบบในปี 1987 และเปิดตัวเมื่อปี  1989  ได้รับแรงบันดาลใจตลอดจนตัวเรือนทรงโค้งมนมาจาก Tank Cintrée แต่ขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะเป็นเรือนเวลารุ่นแรกที่มาพร้อมสายแบบปรับความยาวได้ ที่สอดรับกับหัวบัคเกิลแบบพับได้อันโด่งดังซึ่งคาร์เทียร์ที่ได้ยื่นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 1910

ในขณะที่รุ่นแทงก์ ฟรองเซส์ มีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1996 และได้รับการปรับโฉมใหม่ในปี 2023 นำเสนอการออกแบบผ่านความเรียบง่ายแต่ภูมิฐาน ความมีเสน่ห์สุดคลาสสิกที่สร้างความแตกต่าง และความสง่างามไร้กาลเวลา ผสมผสานกับความทันสมัยตามแบบฉบับของคาร์เทียร์อย่างลงตัว ซึ่งเป็นนาฬิกาที่สะท้อนความเชื่อมั่นในเชิงสร้างสรรค์ เฉกเช่นการกลับมาค้นพบเนื้อแท้ที่ยังไม่ผ่านการขัดเกลาของพลอยที่เจียระไนแล้วอีกครั้ง โดยเป็นการจับรูปทรงที่แหวกขนบของนาฬิกามาปรับเส้นสายหลักให้เรียบง่ายขึ้น ตัดทอนรายละเอียดการออกแบบที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อกลับคืนสู่จุดเริ่มต้นแห่งตำนาน

ซานโตส เดอ คาร์เทียร์ (Santos de Cartier) คือนาฬิกาข้อมือที่หลุยส์ คาร์เทียร์ (Louis Cartier) สร้างสรรค์ขึ้นในปีค.ศ. 1904 เป็นพิเศษเพื่ออัลแบร์โต้ ซานโตส-ดูมงต์ (Alberto Santos-Dumont) สหายนักบินของหลุยส์ เพื่อให้ง่ายต่อการดูเวลาขณะที่ขับเครื่องบิน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คาร์เทียร์ออกแบบนาฬิกาข้อมือที่มีหน้าปัดสี่เหลี่ยมในขณะที่ในยุคนั้นนาฬิกาพกมักมีทรงกลม และเป็นนาฬิการุ่นแรกสำหรับสุภาพบุรุษที่โดดเด่นด้วยหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมพร้อมน็อตบนขอบตัวเรือนที่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ซานโตสได้รับการออกแบบโดยยึดหลักแนวคิดเรื่องรูปทรง รสนิยมแบบเรียบง่าย ความถูกต้องของสัดส่วนและรายละเอียดที่ปราณีต สกรูที่มักถูกซ่อนไว้อยู่เสมอในเทคนิคการประกอบเรือนเวลาชั้นสูงก็กลับปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดและกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความสวยงามของคอลเลคชั่นในที่สุดคาร์เทียร์ไม่หยุดยั้งพัฒนาดีไซน์และฟังก์ชันกับบุคลิกใหม่ของซานโตสอยู่เสมอ ทว่ายังคงยืนหยัดในเอกลักษณ์ปรัชญาดั้งเดิม ซึ่งคือการสะท้อนจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของยุคสมัยปัจจุบัน

และในปี 2023 นี้ คาร์เทียร์ได้ยกระดับการรังสรรค์เรือนเวลา Santos-Dumont ไปอีกขั้นด้วยการนำกลไกจักรกลอัตโนมัติ 9629 MC แบบสเกเลตันที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษออกมาเปิดตัว ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงคอลเลคชั่นที่ตอบโจทย์ผู้คลั่งไคล้รูปลักษณ์ที่เรียบบางและงามสง่า แต่เป็นคอลเลคชั่นที่ถูกพัฒนาออกมาให้มีองค์ประกอบที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

ปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ (Panthère de Cartier) จิวเวลรีวอทช์ของคาร์เทียร์ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปีค.ศ.1983 เป็นผลงานชิ้นเด่นของเมซงที่เป็นมากกว่างานศิลปะ ด้วยตัวเรือนทรงเหลี่ยมมุมมน เส้นสายที่กลมกลืนอย่างไร้รอยต่อของตัวเรือนและสายนาฬิกา รวมถึงหมุดตอกที่เห็นบนกรอบตัวเรือน คาร์เทียร์ปรารถนาที่จะให้ปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ รักษาความความโดดเด่นของเส้นสายแต่ยังความอ่อนช้อย จึงทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นเสมือนทั้งเรือนเวลาและเครื่องประดับ โดยปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ มีชื่อเดียวกับกำไลข้อมือที่สะท้อนท่วงท่าของเสือแพนเตอร์ สัตว์ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ประจำแบรนด์คาร์เทียร์ โดยดีไซน์นั้นสืบทอดโดยตรงจากเครื่องประดับที่เปิดตัวในปี 2005

เรือนเวลารุ่นนี้ได้ถูกนำมาออกแบบตีความใหม่อีกครั้งในปี 2017 ใช้การเจาะเป็นรูปทรงเรขาคณิตร่วมกับมุมแหลม ดีไซน์ที่แม่นยำพรั่งพร้อม สอดคล้องกับสายนาฬิกาที่พัฒนาโดยสตูดิโอสร้างสรรค์และ Manufacture ของคาร์เทียร์ เชื่อมด้วยบานพับที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ให้ความยืดหยุ่นสูงสุดตลอดเส้น ยามสวมใส่จึงแนบสนิทไปกับข้อมือ เปี่ยมเสน่ห์อย่างแนบสนิทไร้รอยต่อ แสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสตรีที่เปี่ยมสุข เด็ดเดี่ยว และเป็นอิสระเหนือชายชาตรี โดยปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ นั้นได้ถูกออกแบบมาในหลากหลายรูปแบบและหลายวัสดุให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือนสตีล ตัวรือนโรสโกลด์ ตัวเรือนเยลโลว์โกลด์และสตีล ไปจนถึงดีไซน์หรูหราตามแบบฉบับของคาร์เทียร์เช่นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์หรือโรสโกลด์แต้มแลคเกอร์สีดำฝังพลอยซาโวไรต์ที่ดวงตา หรือตัวเรือนไวท์โกลด์ฝังเพชรและฝังมรกตที่ดวงตา ก็มีเสน่ห์ดึงดูดจนไม่อาจละสายตา

บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ (Ballon Bleu de Cartier) ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเมื่อปี 2007 โดยดีไซเนอร์ของคาร์เทียร์ได้นำความกลมมนมาตีความใหม่ด้วยการเพิ่มมิติในตัวเรือนมากยิ่งขึ้น โดยที่ยังคงความโค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์เด่นของนาฬิการุ่นนี้ เกิดเป็นนาฬิกาหน้าปัดกลมที่มีมิติชั้นเชิง กลมกลืนกับตัวเรือนที่มีความสมดุลระหว่างเส้นสายได้อย่างสมบูรณ์แบบ เม็ดมะยมคริสตัลแซฟไฟร์ สีน้ำเงินอันเป็นเอกลักษณ์ถูกซ่อนอยู่ในวงแหวนกลมเล็กไว้กับตัวเรือนอย่างแนบเนียนไม่มีสะดุดที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา บัลลอง เบลอ เดอ คาร์เทียร์ ขึ้นชื่อเรื่องการสวมใส่สบายข้อมือ และสามารถสวมใส่ได้ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรก คาร์เทียร์ ไม่หยุดยั้งพัฒนาและนำมาตีความใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างมิติใหม่ให้กับเรือนเวลาทรงกลมรุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง Ballon Bleu de Cartier คือเรือนเวลาที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถสวมใส่ได้ในทุกวัน ด้วยดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาอย่างลงตัว และความเข้ากันได้ดีของชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้เรือนเวลารุ่นนี้เป็นที่จดจำอย่างกว้างขวาง และเรียกได้ว่าเป็นไอคอนของคาร์เทียร์อย่างแท้จริง เป็นเรือนเวลาที่พร้อมถ่ายทอดอัตลักษณ์เฉพาะแบบของตนเองผ่านสัญลักษณ์การรังสรรค์เรือนเวลาในแบบฉบับของคาร์เทียร์

พาช่า เดอ คาร์เทียร์ (Pasha de Cartier) เรือนเวลาที่ขึ้นสถานะคัลท์ (Cult) นับตั้งแต่การเกิดของคอลเลคชั่นครั้งแรกในปี 1985 เมื่อปี 2020 คาร์เทียร์นำมาตีความแบบใหม่ เกิดเป็นเรือนเวลาสำหรับบุคคลที่กล้าคิดกล้าทำ เปี่ยมด้วยความคิดสร้างสรรค์ ใจกว้างและเชื่อในความต่าง พาช่า เดอ คาร์เทียร์ เหมาะสำหรับผู้ที่คิดใหญ่ มองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์เฉียบคม สะท้อนคำนิยามความสำเร็จในรูปแบบใหม่อันมีเอกลักษณ์ สร้างความสำเร็จที่ต่างออกไปจากคนรุ่นก่อนอย่างแท้จริง พาช่า เดอ คาร์เทียร์ อวดรูปลักษณ์กราฟฟิกอันเด่นชัด ลายเส้นตารางในหน้าปัดวงกลม ตกแต่งลายกิโยเช่และเลขบอกเวลาอารบิกแบบโอเวอร์ไซส์ ข้อต่อสายประดับด้วยหมุดสตั๊ด Clous de Paris เสริมสายนาฬิกาให้มีลูกเล่นยิ่งกว่าเคย เม็ดมะยมที่ร้อยเข้ากับตัวเรือนด้วยโซ่ ให้ผู้สวมใส่มองเห็นเม็ดมะยมได้ชัดยิ่งขึ้น พาช่า เดอ คาร์เทียร์ นับเป็นเรือนเวลาที่คาร์เทียร์ที่ก้าวออกนอกกรอบการสร้างสรรค์นาฬิกาในแบบเดิมๆ

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาร์เทียร์ โปรดเยี่ยมชม www.cartier.com/en-th

GARMIN ส่ง VENU 3 ซีรีย์ เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ                                                     

Garmin ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์จีพีเอสสมาร์ทวอทช์ระดับโลก เผยโฉม VENU 3 ซีรีย์ จีพีเอสสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุด มาในคอนเซ็ปต์ “KNOW THE REAL YOU นอนดี สุขภาพดี” อัดแน่นด้วยข้อมูลอินไซด์สุขภาพและการออกกำลังกายเชิงลึกเพื่อเป็นที่สุดของผู้ช่วยดูแลสุขภาพ เสริมความฟิต เปิดตัวพร้อมกับ ความสามารถใหม่ล่าสุดในวงการสมาร์ทวอทช์กับ การตรวจจับการงีบ (NAP Detection) และโค้ชการนอน (Sleep Coach) ที่ทำให้ผู้ใช้เข้าใจการนอนอย่างลึกซึ้ง พร้อมตัวช่วยฝึกสมาธิ (Meditation Activity) ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีโหมดสำหรับผู้ใช้รถวีลแชร์ (Wheelchair Mode) ที่สามารถติดตามการออกแรงผลักล้อโดยเฉพาะ มาพร้อมลำโพงและไมโครโฟนแบบบิวท์อิน ให้ผู้ใช้สามารถโทรออกหรือรับสาย รวมถึงตอบกลับข้อความ และยังเรียกใช้ฟีเจอร์สั่งการด้วยเสียงบนสมาร์ทโฟนได้ทันทีจากข้อมือ VENU 3 ซีรีย์ โดดเด่นด้วยหน้าจอทัชสกรีน AMOLED สีสันสดใส คมชัดอ่านง่าย ในดีไซน์เรียบหรูทันสมัย สวมใส่ได้กับทุกลุค โดยมีตัวเลือก 2 ขนาด ได้แก่ VENU 3 ขนาด 45 มม. และ VENU 3S ขนาด 41 มม. นอกจากนี้ ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานยาวนานสูงสุดถึง 14 วันในโหมดสมาร์ทวอทช์ หมดกังวลเรื่องการถอดชาร์จระหว่างคืน จึงสามารถติดตามข้อมูลสุขภาพอย่างระดับความเครียด (Stress Tracking) ระดับพลังงานของร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ (Advanced Body BatteryTM) การหายใจและระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (SpO2) ได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถติดตามการนอนหลับและตรวจจับการงีบหลับได้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน จึงสามารถเป็น “โค้ชการนอน (Sleep Coach)” ให้คำแนะนำการเพิ่มคุณภาพการนอนของแต่ละบุคคลได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ให้คุณพร้อมสำหรับเช้าวันใหม่ตั้งแต่ก่อนเข้านอน

โค้ชการนอนคนสำคัญ – Important ‘Sleep Coach

สุขภาพดีเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ VENU 3 ซีรีย์ มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจภาพรวมการนอนของตัวเอง และคำแนะนำในการปรับพฤติกรรมเพื่อการนอนอย่างมีคุณภาพ และเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริง

ฟีเจอร์ใหม่ที่คุณจะต้องตกหลุมรัก – New Features to Love

นอกจากฟีเจอร์การนอนและการตรวจจับการงีบหลับแล้ว VENU 3 ซีรีย์มีฟีเจอร์อัพเดทใหม่เพื่อตอบโจทย์การใช้งานทั้งด้านสุขภาพ การฝึกซ้อม และการใช้งานในชีวิตประจำวันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระดับพลังงานของร่างกายเวอร์ชั่นใหม่ (Advanced Body BatteryTM)  โหมดวีลแชร์ (Wheelchair Mode) ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานรถวีลแชร์สามารถติดตามการออกแรงผลักล้อ รับแจ้งเตือนการถ่ายเทน้ำหนัก (Weight Shift) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแสดงข้อมูลอินไซด์ของผู้ใช้บนวีลแชร์ ประโยชน์ของการออกกำลังกายและเวลาในการฟื้นตัว (Workout benefit and recovery time) ช่วยให้ผู้สวมใส่เข้าใจประโยชน์ของการออกกำลังกายต่อร่างกายในแต่ละครั้ง และเข้าใจว่าต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใดที่ร่างกายจะสามารถฟื้นตัวเพื่อรับความท้าทายใหม่ๆ ได้ ฟีเจอร์ให้คะแนนความเหนื่อย (Rate of perceived exertion) เป็นการให้คะแนนการออกกำลังกายในแต่ละครั้งโดยบันทึกความยากในการออกกำลังกายและความรู้สึกในขณะออกกำลังกาย  การออกแบบแผนการซ้อมอินเทอวัล (Interval Creation) ผู้ใช้สามารถตั้งค่าการฝึกซ้อมแบบ Interval สำหรับการวิ่งหรือปั่นจักรยานจากนาฬิกาได้ กิจกรรมฝึกสมาธิ (Meditation Activity) ปฏิบัติตามคำแนะนำการฝึกสมาธิ ช่วยลดความเครียดและความกังวลได้

ลำโพงและไมโครโฟนในตัว (Built-in speaker and microphone) ผู้ใช้ VENU 3 ซีรีย์สามารถโทรออกและรับสายได้จากนาฬิกาบนข้อมือ ทั้งยังสามารถใช้งานระบบสั่งการด้วยเสียงของสมาร์ทโฟนในการตอบกลับข้อความ และสั่งการคำสั่งอื่นๆ เมื่อเชื่อมต่อนาฬิกาเข้ากับสมาร์ทโฟนที่รองรับการใช้งานร่วมกัน ผู้ใช้ระบบ Android ยังสามารถดูภาพจากข้อความ และตอบกลับข้อความด้วยคีย์บอร์ดบนนาฬิกาได้อีกด้วย เลือกขนาดตัวอักษร ผู้ใช้สามารถดูแจ้งเตือน ข้อมูลสุขภาพ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ ได้สะดวกขึ้นด้วยการเลือกขนาดตัวอักษรที่เหมาะสมกับสายตาของตนเอง โดยมีให้เลือก 2 ขนาดคือ ตัวอักษรขนาดเล็ก และขนาดใหญ่

กูรูสุขภาพประจำตัว – For Health Gurus  VENU 3 ซีรีย์ พร้อมที่จะเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพ ด้วยการส่งมอบข้อมูลด้านสุขภาพขั้นสูงที่ครอบคลุมหลากหลายเมตริก

คู่หูสายออกกำลังกาย – For Fitness Fanatics มาพร้อมแอปกีฬาในตัวมากกว่า 30 รายการ อาทิ การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่กีฬาบนวีลแชร์ ผู้ใช้ยังสามารถออกกำลังกายเพื่อฝึกความแข็งแรงกล้ามเนื้อ (Strength Training) HIIT พิลาทิส และโยคะตามแอนิเมชั่นบนหน้าปัดนาฬิกาได้ง่ายๆ หรือสร้างการออกกำลังกายทีละขั้นตอนจากรายการการออกกำลังกายกว่า 1,600 รายการ

คู่ใจสายเดินทาง – For Life on The Goไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อแม้อยู่ระหว่างการเดินทาง

VENU 3 ดีไซน์โดดเด่นด้วยขอบตัวเรือนสเตนเลสสตีลน้ำหนักเบา พร้อมสายซิลิโคน โดยมีให้เลือก 2 เฉดสี ได้แก่ เฉดสีขาว Whitestone และสีดำ Black สำหรับ VENU 3S มีให้เลือก 5 เฉดสี ได้แก่ เฉดสีเทา Pebble gray สีเทา Sage gray สีเทา French gray สีชมพู Dust rose และสีครีม Ivory พบกับ VENU 3 ซีรีย์ ได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของการ์มินทุกสาขา เพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3Pruife หรือที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Garmin Thailand และ อินสตาแกรม Garmin Thailand

Swatch BIOCERAMIC WHAT IF? Collection

Swatch ชวนนึกสนุก ย้อนเวลาสู่จุดกำเนิดของตำนานนาฬิกาที่เขย่าโลกกว่า 40 ปี กับคอลเลกชัน BIOCERAMIC WHAT IF? ด้วยคำถาม โลกจะเป็นอย่างไร ถ้าหากวันนั้นสวอท์ชเลือกเปิดตัวด้วยนาฬิกาสี่เหลี่ยม

ในวันนี้ ทุกคนอาจจะคุ้นเคยกับไอเดียของ ‘มัลติเวิร์ส’ (multiverse) หรือโลกแห่งความจริงคู่ขนานเป็นอย่างดี เรื่องราวแห่งกาลเวลาของสวอท์ช (Swatch) ครั้งนี้พาสาวกนาฬิกาย้อนกลับไปในช่วงต้นของยุค 1980 ช่วงที่โปรเจ็คสวอท์ชอยู่ระหว่างการพัฒนาและถูกเก็บเป็นความลับขั้นสุดยอดอยู่ ก่อนจะพลิกโฉมประวัติศาสตร์ของนาฬิกาข้อมือ ด้วยการเลือกใช้ดีไซน์หน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสในคอลเลกชัน BIOCERAMIC WHAT IF? สุดตื่นตาต้อนรับครึ่งหลังของปี 2023

ย้อนกลับไป เมื่อปี 1982 วงกลม หรือ จตุรัส คือคำถามที่ตอบยากที่สุดในออฟฟิศของสวอท์ช เพราะคำตอบนั้นจะกลายมาเป็นหน้าตาของนาฬิกาข้อมือกว่าหลายล้านเรือนในอนาคตข้างหน้า และแน่นอนว่าสี่ทศวรรษต่อมา ในปี 2023 ทุกคนคงจะเห็นกันแล้วว่า ’วงกลม’ เป็นคำตอบสุดท้ายของคำถามสุดหินเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ทำให้ทุกครั้งที่เราก้มลงไปดูเวลาบนข้อมือก็จะพบกับหน้าปัดทรงกลมสุดคุ้นเคย

ไม่ต้องเสียเวลาสงสัยนาน เพราะสวอท์ชได้เตรียมคำตอบสนุกๆ ไว้ให้คุณแล้วในภาพยนตร์สั้น ถ่ายความเป็นไปในโลกปัจจุบันที่พลิกผันไปเนื่องจากการตัดสินใจที่เปลี่ยนไปของสวอท์ชเมื่อ 40 ปีก่อน พร้อมคอลเลกชัน BIOCERAMIC WHAT IF? คอลเลกชันนี้เปรียบเสมือนจักรวาลคู่ขนานที่สวอท์ชเลือกเปิดตัวแบรนด์เมื่อ 40 ปีก่อนด้วยนาฬิกาข้อมือดีไซน์หน้าปัดจตุรัส โดยสวอท์ชได้นำเอาโปรโตไทป์ของนาฬิกาในปี 1982 มารังสรรค์เป็นคอลเลกชันใหม่ที่มาพร้อมกับความท้าทาย เต็มไปด้วยพลังบวก และดีไซน์สุดล้ำบนหน้าปัดที่จะสร้างความแตกต่างให้กับทุกลุคของคุณ

นอกจากหน้าปัดทรงจตุรัสสุดยูนีคแล้ว คอลเลกชันนี้ยังผลิตด้วยวัสดุไบโอเซรามิกที่ผสานผงเซรามิกเข้ากับวัสดุชีวภาพ (biosourced materials) ทำให้คุณสามารถออกไปผจญภัยอย่างมั่นใจด้วยความทนทานที่เหนือกว่าในวัสดุพิเศษที่จะอยู่บนนาฬิกาทุกเรือนในคอลเลกชันนี้

ครั้งนี้สวอท์ชมาพร้อมกับ 4 สไตล์ที่แตกต่างไม่เหมือนใครด้วยหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 33 x 33 มิลลิเมตร และตัวเรือนผิวแมทท์ ใน 4 สี ทั้งสีเทา (WHAT IF…GRAY?) สีเขียว (WHAT IF…GREEN?) สีเบจ (WHAT IF…BEIGE?) และสีดำ (WHAT IF…BLACK?) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในโมเดลออริจินัลกลุ่มแรกของสวอท์ช ส่งต่อดีไซน์คลาสสิกเหนือกาลเวลาสู่ข้อมือของคุณ พร้อมกับเข็มเรืองแสงในที่มืด และหน้าต่างบอกวันและวันที่ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา

คอลเลกชัน BIOCERAMIC WHAT IF? ยังก้าวขึ้นไปอีกขั้นด้วยกระจกเต็มขอบจากวัสดุชีวภาพ เป็นนวัตกรรมวัสดุที่แข็งแกร่งทำให้เห็นมุมด้านข้างของหน้าปัดได้ ให้คุณได้ชื่นชมนาฬิกาจากทุกองศาและมองเห็นขีดบอกเวลาจากด้านข้างด้วย อีกนวัตกรรมสุดล้ำอย่างวัสดุไบโอเซรามิกที่ทำให้สวอท์ชสามารถฟื้นคืนดีไซน์จากสี่ทศวรรษที่แล้วสู่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปี 2023 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากความพิเศษทั้งหมดแล้ว ฝาปิดแบตเตอรี่ด้านหลังของคอลเลกชันนี้ยังมาพร้อมกับลายพิมพ์หน้าปัดสุดคลาสสิกที่ถอดแบบมาจากรุ่นแรกของสวอท์ชในปี 1983 ระบุวันที่ 1 MAR ตรงกับวันเปิดตัวแบรนด์สวอท์ช เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีอีกด้วย

ออกเดินทางสู่จักรวาลคู่ขนานของโลกแห่งนาฬิกาไปกับคอลเลกชัน BIOCERAMIC WHAT IF? ได้แล้ววันนี้ ที่ร้าน Swatch ทุกสาขา และบนเว็บไซต์ SWATCH.COM   เพิ่มเติมได้ที่ LINE OA @swatch_th
Facebook: SWATCH Instagram: @SWATCH_TH

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ