วาสนา วีระชาติพลี ชีวิตที่เลือกได้ของดีเจ “ขิงแก่”
หลายคนบอกว่า การกลับมาของ วาสนา วีระชาติพลี บนหน้าปัดวิทยุคลื่น 99.5 ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 5 ทุ่มถึงตี 1 คือปรากฏการณ์ทางดนตรีที่ดีที่สุดแห่งปี คนวัย 30 ขึ้นไป ไม่มีใครไม่รู้จักเธอ
เพราะ วาสนา วีระชาติ-พลี คือชื่อของดีเจแห่งยุคไนท์สปอต ที่ทั้งเฉียบขาด คมคาย เปิดเพลงดี แน่น หนัก มีสาระ เพลงของเธอเป็นเพลงที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน เพราะคอลเลกชั่นเพลงของวาสนา เป็นคอล-เลกชั่นที่เธอสะสมเองด้วยความคลั่งไคล้ใหล-หลงในดนตรีประเภทที่ ‘ไม่เหมือนใคร’ ซึ่งยากจะให้นิยามว่าเป็นดนตรีประเภทไหน เพราะทั้งที่มันก็เป็นร็อค เป็นป๊อป เป็นเพลงจากฝั่งอังกฤษบ้าง อเมริกาบ้าง แต่เมื่อผ่านวิธีการเลือกสรรและคัดเปิดในแบบของเธอ รายการ Radio Active กลับออกมามีเอกลักษณ์ และเพลงทั้งหมดก็ร้อยเรียงกันออกมามี ‘ซาวนด์’ ที่เป็นตัวของตัวเอง จนอาจกล่าวได้ว่า นี่คือเพลงแบบ ‘วาสนา’ หรือที่เด็กรุ่นหลังเรียกเธอว่า ‘ป้าแต๋ว’ ซึ่งแทนที่จะฟังดูเชย เฉิ่ม พ้นสมัย เพลงของ ‘ป้าแต๋ว’ กลับเป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกใหม่ สด และกลายเป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ พอๆ กับที่แฟนเพลงยุค 10 ปีที่แล้วเกือบต้องปาดน้ำตาที่ได้ฟังเธออีกครั้ง
แต่จะว่าไป, ดนตรีไม่ใช่สิ่งดีที่สุดสิ่งเดียวในรายการเพลงของเธอ สิ่งที่ วาสนา วีระชาติพลี มอบให้กับผู้ฟัง ก็คือการสร้างทัศนคติของ ‘ความเป็นตัวของตัวเอง’ การหยัดยืนต่อสู้เพื่อตัวตนของตัวเอง ไม่ยอมค้อมศีรษะให้กับสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อถือ เมื่อเธอเชื่อว่า เด็กไทยทุกวันนี้พูดไม่ชัด เธอจึงเริ่มประโยคแรกของรายการว่า “วันนี้คุณพูดภาษาไทยชัดกันหรือยังคะ”
เมื่อเธอเชื่อว่า เด็กไทยทุกวันนี้พูดภาษาอังกฤษผิดๆ เธอจึงมักมีคำถามเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาถามกันเป็นประจำ ไม่เว้นแม้แต่คำถามยากๆ และลงลึก เช่นคำถามเกี่ยวกับภาษาค็อกนีย์ของอังกฤษ เมื่อเธอเชื่อว่า ดนตรีที่เธอชอบ เป็นดนตรีที่มีคุณค่าในเชิงศิลปะ เธอก็เลือกจะหยัดยืนเปิดเฉพาะเพลงที่เธอรัก และนำเพลงที่เธอเห็นว่าดีมาเปิดเปรียบเทียบกับเพลงที่มีคุณค่าน้อยลงมา
โดยทั้งหมดนี้เธอไม่แคร์สปอนเซอร์ใดๆ ทั้งสิ้น นี่คือ วาสนา วีระชาติพลี ดีเจที่หายหน้าไปจากเมืองไทยถึง 10 กว่าปี โดยมีข่าวร่ำลือกันในหมู่แฟนเพลงว่า เธอไปจากเมืองไทย เพื่อออกเดินทางตามหา ริชชี่ เจมส์ นักดนตรีของวง Manic Street Preachers ที่ป่วยเป็นโรคจิตเภท และหายสาบสูญไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอย
วันนี้ วาสนา วีระชาติพลี กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในวาระที่ ‘ขิงแก่’ ทั้งในวงการเมืองและวงการบันเทิงหวนคืนเวทีกันเป็นการใหญ่แน่นอน, เธอย่อมไม่ใช่คนที่กลับมาตามกระแส แต่จะกลับมาตามความรักและความมุ่งมั่นของตัวเองหรือไม่
นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องคุยกัน !
GM : คุณคิดอย่างไรที่มีคนบอกว่า คุณคือปรากฏการณ์ทางดนตรีที่ดีที่สุดแห่งปี
วาสนา : เป็นพวกแฟนเพลงเก่าๆ หรือเปล่า ตอนที่กลับมาใหม่ๆ เขาก็รู้กัน เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่ความชอบ แฟนเพลงแบบอื่นที่เขาไม่ชอบ เขาคงไม่พูดแบบนี้ คงต้องเป็นแฟนเพลงของเราถึงจะพูดแบบนี้ได้ เพราะว่าดนตรีแบบที่ดิฉันเปิด มันไม่มีเลยในประเทศนี้
GM : แสดงว่าคนที่เคยฟังโหยหาดนตรีแบบที่คุณเปิด
วาสนา : สมมุติว่าเขาฟังตอนอายุ 15 ตอนนี้อายุก็กำลังดี เป็นอายุที่ดิฉันอยากได้ คือ 20-45 ปี เพลงแบบนี้คนจะเข้าใจผิดหาว่าเป็นเพลงเด็ก ซึ่งคนไทยไม่มีพื้นฐานของเรื่องดนตรี ไม่สามารถแยกแยะว่าอะไรคืออะไร ในวงการเอเยนซี่ วงการตลาดหรือแม้แต่เจ้าของสินค้าก็ไม่มีไอเดีย คือมันเป็นเพลงที่อาจจะโดดเด่นแปลกกว่าเพลงตลาดทั่วไป เขาก็ไปหาว่าไม่มีคนฟังหรือเป็นเพลงประหลาด แต่ถ้าคนพวกนี้ได้ไปอยู่ในอังกฤษ ก็จะรู้ว่าเป็นเพลงอีกแบบหนึ่งซึ่งอยู่ในตลาดของเขา จะมีสถานีวิทยุเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเพลงแนวนี้โดยเฉพาะ เขาจะมี MTV2 ที่อุทิศให้กับเพลงอย่างนี้อย่างเดียว มีตลาดของเขา เพราะฉะนั้น พูดยาก ต้องฟัง
ศิลปินที่ดิฉันเปิดทั้งหมดไม่มีคนอื่นเปิด เพราะมันเป็นคนละพันธุ์ ถ้าเป็นมนุษย์ก็คนละพันธุ์ ถ้าเป็นสัตว์ก็คนละประเภท เพลงที่เราฟังกันอยู่ในวิทยุของเมืองไทยนี่มันอีกพันธุ์หนึ่งเลย ซึ่งดิฉันฟังไม่ได้ วงที่ดิฉันเปิดส่วนใหญ่เขาเรียกว่า ‘อินดี้’ คำว่า อินดี้ มาจากคำว่า independent เมื่อก่อนนี้สมมุติว่าเรามี Major Label อย่างโซนี่ อีเอ็มไอ วอร์เนอร์ พวกนี้เรียกว่าเมเจอร์ ศิลปินที่สังกัดพวกนี้เรียกว่าเป็นศิลปินระดับเมเจอร์ จะมีบริษัทสังกัดที่เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ๆ แต่ถ้าอินดี้นี่คือบริษัทเล็กๆ ในเมืองนั้น ในท้องถิ่น ไม่ได้ใหญ่ ไม่ได้ออกไปอินเตอร์ อยู่เฉพาะในประเทศ เพราะฉะนั้นศิลปินพวกนี้พอเริ่มตั้งวงมาเล่นกัน ต่อมาก็อาจจะได้เซ็นสัญญากับบริษัทเล็กๆ เขาถึงเรียกว่าเป็นอินดี้ แต่เดี๋ยวนี้มีที่แน่กว่า เดี๋ยวนี้มันมีเป็น unsign คือไม่เซ็นสัญญา ไม่มีสังกัดเลย ดิฉันเล่นวงแบบนี้เยอะมาก เขาเรียกว่า อันไซน์แบนด์ ไอ้พวกนี้ไม่มีใครอุปการะเลย คือออกเงินเอง จ้างเอง ไปทำแผ่นเอง เอามาส่งให้สถานีเปิด ยังหาผู้จัดการอยู่ ยังไม่มีอะไรเลย นี่คืออันไซน์แบนด์ ตอนนี้ดิฉันจะสนับสนุนวงพวกนี้เยอะ
GM : พูดกันเป็นตำนานเลยว่า การที่คุณหายหน้าไปจากเมืองไทย เป็นเพราะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณออกเดินทางไปตามหา ริชชี่ เจมส์ นักดนตรีวง Manic Street Prea- chers ที่เป็นโรคจิตเภท (schizo- phrenia) และหายสาบสูญไป เป็นอย่างนั้นจริงไหม
วาสนา : ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง เพราะดิฉันสนิทกับเขามาก ช่วงสุดท้ายในชีวิตเลยอยากจะช่วยเขามาก เจอกันครั้งสุดท้ายตอนปลายปี 1994 ที่ไปที่โน่น แล้วพอปีรุ่งขึ้น เดือนกุมภาพันธ์ เขาก็หายไป เราเคยคุยกันหลายๆ เรื่องก็พยายามนึกว่าเขาจะไปที่ไหนนะ เขาเคยคุยถึงสถานที่โน้นสถานที่นี้ให้ฟัง ก็ลองพยายามไปดูๆ ว่าเขาจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า
GM : คุณรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว ?
วาสนา : สนิทมากค่ะ สนิทกันทั้งวง ดิฉันสนิทกับวงนี้มาก คือช่วงนั้นไปอังกฤษบ่อยๆ ตอนที่ยังไม่ได้ไปอยู่ ทุกครั้งที่ไปก็จะเอาของจากเด็กๆ แฟนเพลงเมืองไทยไปให้เขา เราพยายามช่วยทุกอย่าง เขาน่าจะรู้สึกดีขึ้นที่มีคนรัก แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ประเด็นของการที่คนจะเป็นโรคจิตเภทหรือ schizophrenia มันไม่ใช่แค่เรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องทางกายภาพของสมอง เหมือนกับคนเป็นโรคหัวใจ พอเขาหายไป ก็ใช้เวลานานเป็นปีไปตามหา ไปตามที่ต่างๆ ใช้เวลานานเหมือนกันนะคะ ดิฉันยังไม่สิ้นความหวัง เสร็จแล้วก็มีข่าวลือว่าเขาไปโผล่ที่อินเดียบ้าง เนปาลบ้าง คิดว่าคงจะไม่ใช่ ดิฉันคิดว่าเขาคงกระโดดสะพานที่ข้ามอังกฤษกับเวลส์แล้ว มันเป็นแม่น้ำใหญ่ เขาไปจอดรถทิ้งไว้แถวนั้นไง คนก็เลยเดาว่า เขาคงกระโดดลงไปแถวๆ นั้น แต่ด้วยความที่เรายังไม่เจอศพเขา เราก็เลยไม่รู้
GM : คุณคิดว่าเขาคงไม่อยู่แล้วใช่ไหม
วาสนา : คือถ้าเขาไม่อยากอยู่เขาก็ไม่ควรอยู่ ดิฉันไม่สนับสนุนให้คนที่มีความทุกข์ขนาดนั้นอยู่ เขาเป็นคนที่หาทางออกอะไรให้กับชีวิตตัวเองไม่ได้เลย ถ้าคนเรารู้ว่าตัวเองไม่มีความสุขเพราะอะไรก็ยังโอเค ยังมีโอกาสรักษาได้ แต่คนคนนี้มีทุกอย่างที่ควรจะชอบ มีแฟนรักเยอะแยะ มีพร้อมทุกอย่าง แต่ทำไมไม่มีความสุข ก็แสดงว่ามันหาจากโลกนี้ไม่ได้แล้ว คิดดูสิคะ เงินทองก็มี อะไรก็มี แสดงว่าความสุขของเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ ต้องไปหาที่อื่น ดิฉันไม่ชอบให้คนเกิด ดิฉันชอบให้คนตาย นี่คือปรัชญาชีวิตของดิฉัน อย่างแอฟริกาหรือว่าอินเดียไม่ควรมีคนเกิดอีกแล้ว ทำไมสักแต่ว่าจะเกิด ทำไมเราต้องเกิด เกิดมาแล้วคุณมีความสามารถที่จะมีชีวิตที่มีความสุขหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าคนเราต้องเกิด ใครเขาบัญญัติไว้ว่าต้องเกิด เรามาดูสภาพของโลกเรา
ทุกวันนี้มันเน่า มันเละ อันนี้มันเป็นปัญหาของโลกที่ดิฉันไม่เห็นด้วย คือดิฉันเห็นว่าคนที่ซัพเฟอร์เยอะเกินเหตุ ถ้าเขาจะตายทำไมต้องสงสาร คือทุกคนมีความทุกข์ ยิ่งมีความรักยิ่งมีความทุกข์ แต่เราเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนเลยต้องมีความทุกข์ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ดิฉันต้องเลี่ยงให้หมด ดิฉันจึงไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว แต่มีความรักเยอะมาก แต่เป็นคนไม่ผูกพัน ยิ่งรักใครมาก ยิ่งอยากให้เขามีความสุข การที่เขามีความสุข หมายความว่า ถ้าเขาไม่อยากอยู่กับเราก็ต้องปล่อยเขาไป เพราะฉะนั้น ดิฉันถึงบอกว่าคนเราเห็นแก่ตัว ที่บอกว่ารักเขานี่มันไม่จริง แต่รักตัวเองต่างหาก ความหึงหวงนี่ดิฉันไม่มี หึงไม่เป็น เกิดมาไม่หวงใคร รักมากแต่ไม่หวง คือดิฉันเป็นลูกศิษย์ คาลิล ยิบราน เป็นคนที่ตามปรัชญาเขาแล้วทำได้ ถ้าทุกคนปรับได้ก็คงเป็นสวรรค์ แต่มันคงไม่ง่าย
ดิฉันฝึกเพราะเชื่อในปรัชญาของเขามาก คือถ้าคนเราทำได้อย่างนี้ ถ้าคุณแต่งงานแล้วคุณมีลูกคุณก็ไม่ต้องมาคิดอะไร ชีวิตคุณก็จบ ชีวิตของคุณ 80% ก็ต้องให้ลูก ถ้าดิฉันเป็นแม่คนคงตายไปเลย เพราะต้องเป็นแม่ที่รักลูกมากจนไม่นึกถึงตัวเองเลย ซึ่งดิฉันคิดว่ามันไม่จำเป็น ดิฉันคงต้องให้ลูกเรียนให้ดี ทุกอย่างต้องเพอร์เฟ็กต์ แต่เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ดิฉันจึงเลี่ยง ไม่อยาก
ผิดหวัง ถ้ามีลูกแล้วลูกเรียนไม่เก่งนี่ตายแน่ คงเอาไปโยนทิ้งน้ำ (หัวเราะ) ก็เลยไม่มีดีกว่า เพราะทนไม่ได้
ปรัชญาของคาลิล ยิบราน ทำให้ดิฉันคิดว่าคุณต้องไม่ยึด รักได้แต่อย่าไปคิดว่าเขาเป็นของเรา รักอะไรก็ได้ แต่ทำไมต้องไปคิดว่าเขาเป็นของเราล่ะ คุณไม่ได้เป็นเจ้าของใคร และไม่ได้มีอะไรในโลกเป็นของคุณ เขาแค่ผ่านมา ก็เหมือนลูกเขาผ่านท้องเรา เราต้องให้เขาไป คืออย่าไปคิดทึกทักเอาเองว่าไอ้นี่เป็นของเรา สิ่งนี้เป็นของเรา เราก็จะได้ไม่มีความหวง ไม่มีความรู้สึกที่เป็นเจ้าของอะไร ดิฉันเป็นคนที่รักง่ายมาก มีความรักเยอะ แต่ไม่มีความหวง
GM : ความเชื่อเรื่องความตายของคุณ มาจาก คาลิล ยิบราน ด้วยหรือเปล่า
วาสนา : ดิฉันถึงมองเห็นไงคะ ว่าทำไมคนถึงกลัวความตาย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมองความตายแบบนั้น ความตายคืออะไรล่ะคะ แล้วทำไมถึงคิดว่าคนจะต้องอยู่ถึงอายุ 70-80 ปี บางคนเกิดมาอายุ 10 ขวบก็ตายแล้ว ก็เรื่องของเขานี่ มันก็อาจจะเป็นพรหมลิขิตของเขา คือใช้คำว่าสงสารไม่ถูก อาจจะคิดถึงคนที่จากไปได้ แต่อย่าไปบ่นเหมือนกับว่า เสียดายจังทำไมตาย ดิฉันว่าเขาคิดเอาเอง คือคุณรู้ได้อย่างไรว่าคนตายเขาไม่อยากตาย แต่มาสรุปเอาเองว่าน่าเสียดายนะ คือคนเราเอาตัวเองตัดสิน ไม่ได้มองอีกข้างเลย
GM : ถ้าอย่างนั้น คุณคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีอย่างไร
วาสนา : ดิฉันเฉยๆ ยังเคยคิดเลย เพราะว่าดิฉันเคยอยากจะตายตั้งแต่
ปี 2000 นี่พูดในสถานีวิทยุมาตลอดนะคะ ตั้งแต่ปี 2000 แล้ว แต่ยังไม่ตาย ดันอยู่มาอีกตั้ง 7 ปี คือดิฉันกำหนดชีวิตไว้ไงว่าถึงปี 2000 ก็พอแล้ว ไม่อยากอยู่จนแก่ ดิฉันไม่ชอบความแก่ เป็นคนที่รักความสวยงาม ที่ตอนเรียนไปเรียน
สถาปัตย์ก็เป็นเพราะชอบทุกอย่างที่สมบูรณ์แบบ ชอบอะไรที่สวยๆ งามๆ แล้วรู้ว่าสังขารคนมันขัดขืนธรรมชาติไม่ได้ ถ้าคุณอยู่ยิ่งแก่มันก็ยิ่งดูไม่ได้ แล้วเรื่องตายมันเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งคนที่เขาไม่มีความสุขแล้วเขาไม่อยากอยู่ พอเขาตายแล้วไปว่าเขา นี่แสดงว่าเราไม่มองเขา แต่มองเราน่ะ คือตัวเองอยากอยู่ แต่พอคนอื่นเขาตายเร็วก็ไปหาว่าเขาผิด
GM : แม้ว่าเขาจะตายเพราะมีความทุกข์ในชีวิตที่ยังแก้ไขไม่ได้อย่างนั้นหรือ
วาสนา : แก้ไขไม่ได้เขายิ่งต้องตายใหญ่เลยสิคะ มีความทุกข์แล้วจะอยู่ทำไมดิฉันไม่เข้าใจ ชีวิตของคนทุกคนมันไม่เหมือนกันนี่คะ ไม่ใช่ว่าได้มาดีเท่ากัน เกิดมาก็คนละสภาพคนละสถานะ แล้วมันก็เหมือนกับว่า มาแล้วก็ไป เป็นวัฏจักรของโลก ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องอยู่เท่านี้ บางคนก็ตายเร็ว บางคนก็ช้า เป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้น ไม่อยากให้คนไปนั่งมองว่า เรื่องตายมันเป็นเรื่องที่ผิด
GM : เราไม่ควรอดทนต่อไปเพื่อเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้ว ความทุกข์มันเป็นอย่างไรหรือ…บางทีมันอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นในภายหลังก็ได้
วาสนา : อันนั้นมันก็แล้วแต่ ถ้าตัวเองเอนจอยไง ว่าสะใจดีชีวิตฉัน มันดี ถ้าคิดอย่างนั้นถึงจะอยู่ แต่ไม่ใช่อยู่แบบทำอะไรก็ไม่ได้ ไปเกิดใหม่ดีกว่า ตอนจัดรายการวิทยุดิฉันก็พูดแบบนี้ แต่นั่นคือความคิดของดิฉัน ถ้าเราอยากให้คนมีความสุข แล้วเราทำให้ตัวเองกับคนอื่นๆ มีความสุขหรือยัง บางคนก็ไม่รู้วิธี ได้แต่อยากให้คนอื่นเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เห็นแก่ตัว
GM : คุณคิดถึงบั้นปลายของตัวเองไว้อย่างไร จะหายไปเงียบๆ เหมือนริชชี่ไหม
วาสนา : มันก็เป็นไปได้นะ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะหายไปอย่างนั้นเหมือนกัน ทุกวันนี้ดิฉันแคร์ความรู้สึกของพี่น้องเท่านั้น เพราะดิฉันมีครอบครัวที่อบอุ่นแล้วพี่น้องรักกันมาก เขาคงอยากให้เราอยู่ นั่นเป็นไอเดียของเขา ดิฉันก็ติดอยู่อย่างหนึ่งว่าอาจจะทำให้เขาเสียใจ บั้นปลายชีวิต ดิฉันอยากจะไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกลสุดขั้วโลก ดิฉันไม่ต้องการเป็นห่วงของใคร พ่อแม่พี่น้องก็ไม่ต้องมาอะไรกับดิฉัน วันสุดท้ายของชีวิตอาจจะอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ดิฉันไม่เคยมีปัญหากับเรื่องพวกนี้เลย
GM : แปลว่าอาจจะหายไปเหมือนริชชี่
วาสนา : ก็ดีนะ (หัวเราะ) แต่ถ้ามีคนมานั่งเศร้าโศกเสียใจด้วยนี่มันก็ตลก แต่ก็แล้วแต่ ห้ามคนอื่นไม่ได้ ถ้าเจ้าตัวเขาเลือกแบบนั้น แต่อยู่ไปบ่นไป ดิฉันไม่เห็นด้วย อย่างน้อยก็ต้องทำอะไรบางอย่าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ คืออยากได้ความสุข แล้วไม่ได้ทำจริงมันก็ไม่ได้ แล้วก็ได้แต่บ่น ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
GM : 10 ปีที่คุณหายไปอยู่ที่อังกฤษ ไปทำอะไรมาบ้าง
วาสนา : ไปทำงานกับบริษัทโกล-แมนแซ็คส์ เป็นอินเวสต์เมนต์แบงก์ของอเมริกา ไปดูแลเรื่องจัดอีเวนท์ให้เขา เป็นงานที่ค่อนข้างหนัก บางทีเที่ยงคืนก็ยังมีงาน โกลแมนแซ็คส์จะมีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ทั่วโลก เวลามีแขกมาเราก็ต้องต้อนรับ แล้วก็จัดอีเวนท์ต่างๆ ซีเรียสนะคะทำงานกับฝรั่ง การรักษาเวลาเป็นเรื่องใหญ่ แต่ตอนแรกที่ไปใหม่ๆ ก็ยังจัดเพลงอยู่สัก 3-4 ปี จัดแล้วก็อัดเทปส่งมา
GM : แล้วทำไมถึงกลับมาเมืองไทย
วาสนา : บังเอิญเพิ่งลาออกค่ะ ทะเลาะกับเจ้านาย (หัวเราะ) มันดันมีเหตุว่าทะเลาะกับบอส ก็โกรธบอส ที่บ้านก็เลยชวนมาทำอย่างอื่น เราก็มีไอเดียจะทำเบเกอรี่ จะทำคัพเค้กขายกัน ก็เลยไปนิวยอร์ก ไปดูที่นั่น เพราะที่นิวยอร์กกำลังบ้าคัพเค้ก มันฮิตมากจากหนัง Sex and the City เราก็ไปดูที่ร้านแมกโนเลียซึ่งเป็นร้านดัง มีคนมาเล่าให้ฟังว่าผู้หญิงดังๆ ชอบไปนั่งกินน้ำชากาแฟ แล้วก็จะมีคัพเค้ก เราก็มีไอเดียว่ามาทำแบบนี้กันไหม ได้ลองทำอยู่พักหนึ่งก็เพลินดี แต่ก็ไม่ได้ทำจริงจัง เพราะทำไปแล้วหลายคนบอกว่าอยู่เฉยๆ ดีกว่ามั้ง คือถ้าเราจะต้องมาเริ่มใหม่ มันหนักน่ะค่ะ โดยเฉพาะต้องมาสตาร์ทจากศูนย์ใหม่ และเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่ดิฉันเป็นคนชอบเที่ยวอย่างมีอิสระ ไม่อยากทำธุรกิจ นึกจะไปก็ไป
GM : แล้วกลับมาเริ่มต้นกับงานดีเจที่นี่ได้อย่างไร
วาสนา : แฟนๆ เพลงเขาจัดงานให้ เป็นแฟนเพลงกลุ่มที่ชื่อ Dude/Sweet เขาจัดต้อนรับเราที่อาร์ซีเอ แล้วเขาก็ชวนหมึก (วิโรจน์ ควัน-ธรรม) ไปด้วย หมึกก็เลยไปเจอดิฉัน หมึกเขากำลังจะได้สถานี เขาก็เลยเกริ่นๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะให้จัดจริงหรือเปล่า เพราะว่าเพลงของดิฉันเป็นเพลงประเภทไล่แขก ไม่ใช่เพลงเชิญแขก เขาก็เลยให้จัดแค่เสาร์-อาทิตย์
GM : กับการกลับมาครั้งนี้ คุณเห็นว่าสังคมไทยมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างไหม โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับวงการเพลง
วาสนา : เพลงสากลแบบที่เคยมีมันหายไป เพลงฝรั่งแบบที่เป็นแบนด์เป็นวงมันหายไปเลย มันกลายเป็นศิลปินเดี่ยว นักร้องหญิง นักร้องชาย แล้วก็เป็นบอยแบนด์ คือร้องเฉยๆ แต่ไม่เล่น แต่ดิฉันโตมากับวงดนตรีแบบร็อค ป๊อป ที่เขาเล่นเอง แฟชั่นมันเปลี่ยนไปเยอะเลย มันกลายเป็นไอ้วงแบบนี้ศิลปินแบบนี้ ดิฉันเกิดมาตั้งแต่ร็อคยุคเซเว่นตี้ส์นี่มันสุดยอดแล้ว มันยอดเยี่ยมถ้าคุณจะฟังร็อคจริงๆ คือเมืองไทยมันมีเพลงหลายอย่าง ป๊อปก็มี ศิลปินเดี่ยวก็มี แล้วเราก็มีวงแบบนี้ด้วย แต่เดี๋ยวนี้มันเริ่มหายไปแล้ว เพราะดีเจมันหายไปไง ถ้าดีเจหายก็ไม่มีคนจัด เด็กรุ่นใหม่ก็จะไม่รู้จักเลย รุ่นหลังที่เพิ่งเกิดเพิ่งโตนี่ก็เลยหลุดไปเลย ไม่มีทางที่เขาจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร
สำหรับดิฉัน เพลงกับดนตรีไม่เหมือนกัน เพลงให้ความเพลิดเพลินเอนเตอร์เทน เป็นแบ็คกราวนด์ทำงานไปด้วย นี่คือเพลง เหมือนคุณทำงานในออฟฟิศยุ่งๆ ใครจะมีอารมณ์ไปฟังดนตรีจริงๆ ก็เลยไม่มีใครให้ความสำคัญกับดนตรี เด็กสมัยใหม่จึงไม่รู้คุณค่า เมืองไทยคนจะไม่มีพื้นฐาน คนรุ่นดิฉันมี แต่ว่ามันก็จะตายกันไปหมดแล้ว
GM : ตอนนี้มีคนบอกว่าเป็นยุคขิงแก่ เพราะนอกจากรัฐบาลแล้ว ยังมีปรากฏการณ์หลายๆ อย่างด้วย เช่น การกลับมาของนักร้อง นักดนตรีเก่าๆจำนวนมาก แม้แต่คอนเสิร์ตจากต่างประเทศก็มี อีริค แคลปตัน คุณคิดอย่างไร
วาสนา : ดิฉันไม่ได้ไปดู อีริค แคลปตัน เพราะถ้าเป็นคนที่เกิดมากับ อีริค แคลปตัน ตอนที่เขาอยู่กับ เดอะ ครีม ก็ไม่สามารถที่จะมองเขาตอนนี้ได้ ดิฉันดูเขาไม่ได้ ดิฉันรู้สึกว่าเขาควรจะตายไปตั้งนานแล้ว เพราะมันหมดสภาพ เห็นตอน เดอะ ครีม ไหม ตอนที่อีริคเปรี้ยว หล่อ แล้วตอนนี้จะทนดูได้เหรอ ดิฉันรับไม่ได้ คือมันไม่จำเป็นจะต้องอยู่มาจนอย่างนี้ ดิฉันไม่อยากเห็นคนพวกนั้นที่ทุกวันนี้ยังมานั่งเป็นตาแก่เล่นเพลงเดิม
GM : แต่คุณก็กลับมาจัดเพลงอีก ไม่เคยคิดว่าตัวเองแก่เกินไปบ้างหรือ
วาสนา : ถ้าดิฉันเกิดยุคนั้น แล้วทุกวันนี้ยังมาเล่นเพลงแบบนั้น ดิฉันก็จะเป็นยายแก่โบราณ แต่เพราะดิฉันไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้น ดิฉันถึงต้องปรับตัว ยิ่งแก่ยิ่งเล่นเพลงใหม่ นี่ถ้ายังมีชีวิตอยู่ต่ออีกสัก 10 ปี เพลงที่ดิฉันเปิดจะต้องสุดโลกนะ ต้องทันสมัยมากๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงทนตัวเองไม่ได้ เราต้องเดินสวนทาง กับเขา ไม่ใช่ว่าแก่ไปตามเวลา แล้วดิฉันยิ่งไม่อยากอยู่แก่ๆ ด้วย
GM : แต่ถ้าแฟนเพลงเก่าๆ เรียกร้องล่ะว่าทำไมถึงเปลี่ยนไป
วาสนา : ก็ช่างเขาสิ คุณก็ต้องเปลี่ยนด้วย ดิฉันเจออย่างอาทิตย์ที่แล้ว ที่โทรฯมาขอเพลงของยูเอฟโอ เพราะดิฉันคุยเรื่องประวัติของตัวเองตอนเด็กๆ ก็ไม่แน่ อาทิตย์หน้าอาจจะไปค้นแผ่นที่เจ๋งจริงๆ เป็นร็อคยุคซิกซ์ตี้ส์ เซเว่นตี้ส์ เป็นวงที่สุดยอดของโลกมาเปิด เขาจะต้องดีใจมากถ้าได้ยิน เพราะดิฉันรู้ว่าเขาคิดถึงมาก ดิฉันเข้าใจไง ว่าคนที่รักเพลงเขาไม่สามารถจะรับเพลงสมัยใหม่ได้ แต่คนพวกนี้คือไดโนเสาร์ เมื่อเขาเปลี่ยนไม่ได้ เขาก็จะเป็นคนรุ่นเก่า
GM : คุณคิดว่าตัวเองเป็นขิงแก่ไหม
วาสนา : เราควรจะใช้ประสบการณ์ให้เป็นประโยชน์สำหรับคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่นั่งแก่ลูกเดียว ทุกวันนี้ดิฉันก็เอาเทคนิคของตัวเองมาดึงคนรุ่นใหม่ จะทำอย่างไร โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ใช้ภาษากันแย่ๆ
GM : คนฟังเรียกคุณว่า ‘ป้าแต๋ว’ คุณคิดอย่างไรกับคำว่าป้า
วาสนา : มันเป็นความจริงนี่คะ เพราะเขาก็เป็นหลาน แต่อยากจะให้เขาได้อะไรล่ะ คือหนึ่ง, ต้องรู้เรื่องเพลง อย่างน้อยได้อะไรบ้าง ดิฉันไม่อยากเป็นดีเจเล่นเกมบ้าๆ บอๆ พูดอะไรไม่เป็นสาระแล้วคนฟังก็บ้าตาม แต่ความที่เราเป็นคนแก่ ก็เลยมองโลกไม่เหมือนกับดีเจที่เขาเป็นเด็ก ดีเจที่เขาเป็นเด็กจะมานั่งคิดอะไรแบบดิฉัน เหมือนเมื่อก่อนดิฉันเป็นคนคัดเลือกดีเจ ใครมาสมัครจะสัมภาษณ์ ถ้าภาษาไม่ชัดไม่มีทางที่จะได้มาจัด แล้วถ้าเราปล่อยไว้ เด็กรุ่นใหม่เขาจะรู้หรือคะว่าควรจะพูดว่าอย่างไร เขาก็นึกว่าสิ่งนั้นถูกแล้ว
GM : คุณคิดว่าจะสู้กับกระแสของดีเจรุ่นใหม่ๆ ที่พูดไม่ชัดได้หรือ ในเมื่อไม่มีอะไรสู้กับเขาได้เลย เช่น เพลงที่เปิดก็ไม่เหมือนเขา อายุก็มากกว่า และดีเจเด็กๆ ก็หน้าตาดี
วาสนา : ก็ทำเท่าที่ทำได้ ถ้าเขาไม่นิยมก็แล้วแต่ ทุกวันนี้ก็ยังมองว่ามันอยู่ที่ผู้ใหญ่ในบ้านเรา พวกกระทรวง อาจารย์ คุณหญิงคุณนายก็ออกมาช่วยรณรงค์กันสิคะ ภาษาไทยทุกวันนี้มันแย่ คนต่อๆ ไปถ้าเขาไม่สนใจไม่แคร์ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราจะไปทำอะไรคนเดียวได้ แต่ก็น่าเสียดายที่ว่าทำไมมันต้องเสื่อมลงขนาดนี้
GM : คุณวิเคราะห์ได้ไหมว่า ทำไมดีเจสมัยใหม่พูดไทยไม่ชัด
วาสนา : นอกจากพูดไทยไม่ชัด ภาษาอังกฤษก็ผิด ทำไมคนไทยถึงต้องพยายามใช้ภาษาอังกฤษทั้งๆ ที่ตัวเองไม่รู้ การใช้ภาษาอังกฤษไม่ใช่ของเท่ ถ้าพูดผิดมันเชยสุดๆ ดิฉันอยากรณรงค์ให้คนพูดภาษาไทยถูกต้องแล้วเท่มากๆ ก็พยายามต่อสู้แล้วก็ดึงดูดเด็ก ถ้าอยากจะเท่นะ ต้องพูดภาษาไทยให้ถูก หรือเรียนหนังสือให้เก่งๆ อันนั้นมันเท่เป็นบ้าเลย ขนาดไม่มีลูกนะแต่มีความรู้สึกว่าถ้าจะมองเด็ก ไม่ต้องสวย ไม่ต้องหล่อ ไม่ต้องรวย เป็นเด็กวัยรุ่นแล้วภาษาไทยดีๆ นี่หายากนะ แล้วเขาก็จะโดดเด่นขึ้นมา
ดิฉันเลยพยายามจะดึงจุดนี้มาจูงใจเขา ต้องหาอะไรมาล่อใจกัน ต้องพยายามบอกให้เขาเลิกพูดภาษาอังกฤษถ้าเขาพูดไม่ได้ เพราะมันผิด จะมีคนแบบนี้เยอะ ซึ่งเขาเข้าใจผิดมาก แล้วความรู้อาจจะน้อยด้วย การมาคุมคนมาทำสปอตโฆษณาวิทยุหรือทีวีก็ต้องเป็นคนที่เชี่ยวเรื่องภาษา ถ้าภาษาแย่ไม่ควรมาคุมอัดสปอตนะ เจอเยอะมากเลยที่เป็นคำภาษาอังกฤษ แล้วส่วนใหญ่จะผิดหมด
GM : คุณคิดว่าดีเจสมัยใหม่มีความเข้าใจหรือหลงใหลในเพลงอย่างไร
วาสนา : มันไม่มีอยู่แล้ว เด็กพวกนี้โตมากับเพลงอะไรล่ะ ฟังพวกบอยแบนด์ก็ได้แค่นี้ แค่ผิวเผิน มันไม่มีดนตรีแล้วนี่ มันสูญพันธุ์ไปแล้ว มันกลายเป็นอิมเมจ-อิมเมจของนักร้องเท่านั้นแหละที่เขาพยายามยัดให้เรา เด็กที่เป็นดีเจทุกวันนี้ในหัวก็ไม่มีอะไรเลย คือเรื่องเพลงเรื่องดนตรีไม่ต้องไปพูดถึง-มันไม่มี จะไปให้เขาจัดเพลงยากเย็นอย่างไรเขาก็จัดไม่ได้เพราะเขาไม่มีภูมิ เขาไม่สามารถที่จะอ้างอิงไปถึงอะไรได้ อ้างอิงไม่ได้เพราะว่าไม่รู้จักเลย เขาได้แค่นั้น ก็น่าเสียดาย ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาเกิดมาอย่างนั้น เกิดมากับสิ่งแวดล้อมแบบนั้น
คือดิฉันโชคดีมากๆ ที่โตมาในยุคซิกซ์ตี้ส์ เซเว่นตี้ส์ เพราะยุคนั้นมันสุดยอด หลังจากนั้นมาไม่มีใครที่จะสามารถสร้างดนตรีได้ดีกว่าพวกนี้แล้ว เพราะมันเป็นยุคของคนที่เป็นผู้คิดค้นดนตรีแบบนี้ขึ้นมา ต่อมาก็คือรุ่นตามแล้ว ไม่ต้องคิดแล้ว เพราะพวกนั้นคิดให้หมด อะไรที่คุณคิดว่ามันอยู่ในตัวโน้ตเขาคิดมาหมดแล้ว คนสองรุ่นนั้นเขาได้สร้างเอาไว้ให้กับวงการดนตรีแบบเต็มพื้นที่ ไม่มีใครที่จะมาเติมได้เพราะไม่มีช่องโหว่เลย ดิฉันโชคดีที่เกิดมาในยุคนั้น ทุกวี่ทุกวันจะฟังแบบไหนมันก็มีสารพัด ต่อมาจะเป็นซานตาน่าก็ว่าไป มันก็เจ๋งเป็นอาจารย์เลย ยุคหลังๆ นี่มันจะทำได้อย่างไร มีแต่ลอกแบบมา แต่ว่าไม่ใช่คิดใหม่ ไม่มีใครคุยได้เลยว่าคิดเอง แต่งเอง ไม่มีหรอก มันแต่งไม่ได้แล้ว เขาแต่งมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะลูกเล่นแบบไหน เขาทำมาหมดแล้ว ถ้าพูดถึงพื้นฐานของดนตรีมันเต็มไปนานแล้ว
GM : แปลว่าคุณไม่คิดว่าดนตรีจะมีพัฒนาการอะไรใหม่ๆ อีกหรือ
วาสนา : ถ้าพัฒนาก็หมายถึงมาใช้คอมพิวเตอร์อย่างที่เขาทำในปัจจุบัน ดนตรีก็มาจากคอมพิวเตอร์หมด
GM : คุณพูดจาตรงไปตรงมาอย่างนี้ทั้งในการให้สัมภาษณ์และในรายการ ที่ตัวเองจัด เคยกลัวคนหมั่นไส้ไหม
วาสนา : คนเขาก็หมั่นไส้อยู่แล้วนี่คะ คนเกลียดดิฉันเยอะมาก แต่คนที่เกลียดเขาก็ฟังดิฉันนะ เขาอยากฟังว่าดิฉันจะด่าใคร ยิ่งเกลียดยิ่งฟังเลย โทรฯมาด่าก็มี คือดิฉันจะว่าพวกที่พูดไม่ชัดหรือพูดผิด คือถ้าคนเข้าใจเขาก็รับได้ ถ้าคนที่ไม่เข้าใจก็จะโกรธมากๆ มาด่าเขาออกอากาศ เหมือนกับว่ามาขอเพลงแต่ยังไม่รู้เลยว่าจะขอเพลงอะไร ดิฉันต้องการคนฟังที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เปลี่ยนคลื่นไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเขาจัดอะไร นี่ไม่ใช่แฟนเรา ไม่ใช่คนที่รักดนตรี รักเพลง ดิฉันชอบคนฟังที่ฟังเราแล้วเขามีคุณภาพ
ฟังแล้วได้อะไร ได้พัฒนาได้เรียนรู้ ดิฉันอยากได้คนแบบนี้ ไม่ใช่สักแต่ว่าฟัง
GM : ในรายการของคุณมีการเล่นเกมตั้งคำถามด้วย แต่ทำไมคำถามถึงต้องยากเย็นขนาดนั้น เช่น ถามถึงภาษาของพวกค็อกนีย์
วาสนา : ก็มีคนตอบได้นะ เมื่อก่อน 20-30 ปีที่แล้ว ดิฉันก็ทายปัญหายากเท่านี้ อย่างเกมที่เขาเล่นๆ กันเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะเกมอะไรก็ตาม ดิฉันเล่นมาหมดแล้ว สมัยก่อนเวลาทายปัญหา คนที่เขาแน่จริงๆ เขาจะมีตำรา แต่ว่ากว่าจะได้คำตอบก็นาน เด็กสมัยก่อนใช้เปิดตำรา ตัดมาจากหนังสือพิมพ์เก็บไว้ แต่สมัยนี้พอถามอะไรก็คลิก google กิ๊กก๊อก ดิฉันก็ถามกวนๆ ไป ไม่ให้เป็นคำตอบที่อยู่ในอินเตอร์เน็ต เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าอยู่ในเว็บก็ตอบได้หมด
GM : คุณเป็นดีเจที่ไม่เอาใจสปอนเซอร์เลยใช่ไหม
วาสนา : เคยด่าสปอนเซอร์เลย สมัยก่อนเคยออกสปอตแล้วพูดถูกพูดผิด ดิฉันก็เคยว่า
GM : แต่สมัยนี้สปอนเซอร์มีอิทธิพลต่อการจัดรายการมากขึ้น
วาสนา : ดิฉันยังไม่รู้สถานการณ์ แล้วเขาก็ยังไม่มีสปอนเซอร์อะไรเลย ยังไม่รู้ว่าจะอยู่รอดหรือเปล่า เขายังไม่มีเวลาหาสปอนเซอร์อะไร จะจัดอีกถึงปีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มันยากขึ้นๆ ทุกวัน
GM : แล้วถ้ามีสปอนเซอร์มา แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเปิดเพลงของเขาล่ะ
วาสนา : ดิฉันไม่ทำงานก็ได้ ไม่เป็นไรอยู่แล้ว การที่ดิฉันมาจัด ต้องเป็นเพลงของดิฉัน ไม่อย่างนั้นดิฉันก็ไม่มาจัดคลื่นนี้ เดี๋ยวนี้เขาให้อิสระกับดิฉัน ว่าให้จัดแบบที่ดิฉันจัด เพราะมันมีอยู่แค่หยิบมือเดียว มันแสนจะน้อยกับการเผยแพร่เพลงแบบนี้ มันไม่มีเลย ความที่ดิฉันรักมันมาก มันเป็นความชอบส่วนตัวก็เลยต้องพยายามคิดว่าจะทำอย่างไร ต้องทุ่มเทให้มัน คือซีเรียสกับมันมาก อยากจะให้คนเขาชอบเพลงแบบนี้ต้องทำอย่างไร ถ้าดิฉันหายไปก็คงหมดแล้วคราวนี้ คงไม่มีใครเขาเอามาจัดแล้ว เพราะมันหายาก มันไม่ได้อยู่ในตลาดทั่วไป บริษัทแผ่นเสียงเขาก็ไม่มี ถึงมีมาก็ไม่ฟัง ขนาดบริษัทแผ่นเสียงได้แผ่นพวกนี้มาก็ทิ้งหมด เพราะยังฟังไม่เป็น
GM : แล้วคุณหาเพลงพวกนี้มาจากไหน
วาสนา : ตอนนี้เพื่อนส่งมาให้จากอังกฤษ แล้วเขาก็อาจจะโหลดมาให้ ดิฉันเข้าไปฟังสถานีวิทยุที่ชอบชื่อ XFM ทางอินเตอร์เน็ต เป็นสถานีที่ฟังประจำที่อังกฤษ XFM จะเปิดแต่เพลงแบบนี้ มันจะดังมากที่ลอนดอน คนฟังเขาเยอะแยะ มาที่นี่คนหาว่าเพลงพวกนี้ไม่มีคนฟัง แต่เขาเข้าใจผิดไง เขาไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นข้างนอกประเทศ ที่อเมริกาเพลงแบบนี้ฮิตมากกว่าอังกฤษ เมื่อก่อน
อเมริกาน้อยกว่าอังกฤษนะคะ แต่เดี๋ยวนี้วงจากอเมริกามาแบบนี้หมดเลย ที่ดิฉันเปิดมีเป็นพันๆ วง มีแต่วงแบบนี้ทั้งนั้น แต่ประเทศไทยเรายังปิดตัวอยู่ ยังไม่ยอมรับ อเมริกานี่พัฒนาไปมาก เพราะเมื่อก่อนอเมริกานี่เชย ด้วยความที่มันใหญ่มากแล้วมีดนตรีแบบอื่นเยอะ มันจะไปสู้กับพวกคันทรี พวกแจ๊ซอะไรนี่ยาก วงแบบนี้ได้รับอิทธิพลจากอังกฤษมาก แต่เด็กรุ่นใหม่หนุ่มๆ สาวๆ เปลี่ยนมาทำเพลงแนวนี้กันหมด แล้วก็แพร่ไปถึงแถวสแกนดิเนเวีย
GM : คุณฟังเพลงจากฝั่งญี่ปุ่น เกาหลีบ้างไหม
วาสนา : ดิฉันเพิ่งด่าไป ดิฉันคิดว่าได้อะไร คุณฟังเพลงเกาหลีทั้งๆ ที่ก็แปลไม่ออก แล้วทำไมถึงฟัง ดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เชยจังเลย ทำไมวงเกาหลีมันไม่ไปโกอินเตอร์ที่อื่น เพราะไปไม่ได้ มันไม่มีทางหรอก ประเทศไทยตกเป็นเหยื่อเขา ตกเป็นเหยื่อของสื่อ ตกเป็นเหยื่อของคนที่สร้างอิมเมจเอามาขาย ถามว่าได้อะไรบ้าง ทำไมไม่ให้เด็กฟังแล้วเรียนรู้อะไรบ้าง ดิฉันคิดว่าเพลงภาษาอังกฤษอย่างน้อยมันได้ไง ถ้าพูดภาษาเกาหลีได้ก็โอเค แต่ดิฉันอยากรู้ว่าคนที่ฟังเพลงแล้วฟังไม่ออกสักตัวหนึ่งนี่มันได้อะไร แล้วมันก็ไม่ได้ดีเด่อะไร เพลงจากเกาหลี แต่กลายเป็นว่าเราตกเป็นเบื้องล่างเขา คนไทยไปดังที่เกาหลีมีบ้างไหม นี่คือจุดอ่อน คนไทยทำไมทำแบบนี้ ไปเวอร์อะไรเกาหลี ดิฉันแอนตี้มากๆ
GM : แล้วเพลงที่คุณเปิดดีกว่าอย่างไร เป็นเพราะเพลงที่คุณชอบมีเนื้อหารุนแรงเป็นขบถหรือเปล่า จึงทำให้คิดว่าวงดนตรีเหล่านี้เหนือกว่าวงอื่นๆ
วาสนา : ยุคนี้ไม่มีแล้วนะ ไม่ค่อยมีคนหัวรุนแรงอย่างนั้นแล้วนะคะ นั่นมันสมัยยุค ’80s ของอังกฤษ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว หายไปแล้ว เนื้อหาของเพลงจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้ว เนื้อหาของเพลงรุ่นใหม่ไม่มีอะไรเลยค่ะ เบาสมอง ไม่ใช่เพลงที่มีเนื้อหาดีเด่อะไร ดิฉันไม่ได้บอกเลยนะว่าไอ้พวกนี้วิเศษ เพียงแต่ว่าซาวนด์มันสมัยใหม่ ไม่ได้ออกมาเป็นอาร์แอนด์บี มันเป็นวง มีกีตาร์ มีกลอง มีคีย์บอร์ด เหมือนกับสมัยก่อน แต่เป็นซาวนด์แบบใหม่สดใส ไม่ได้อึมครึมแบบเมื่อก่อน ไม่ได้เฮฟวี่ มันเป็นคนรุ่นใหม่ ดิฉันคิดว่าน่าจะฟัง
ตอนนี้มีอยู่วงหนึ่งที่ดิฉันโปรโมตสุดๆ ชื่อ Arcade Fire ดิฉันกำลังจะทำให้มันเป็นพระเจ้า เพราะว่าวงดนตรีวงนี้ไม่ใช่ธรรมดา ดิฉันก็เลยเอาเขามาเป็นตัวอย่าง เป็นวงจากแคนาดาที่กำลังดังมากในอังกฤษ อเมริกา เพราะว่ามาแปลกกว่าใครเพื่อน อาจจะฟังยาก ถ้าคนไม่มีภูมิมาฟังเลยจะรับไม่ได้ หาว่าฟังยากไม่รู้เรื่อง แต่นั่นคือดนตรี ทุกวันนี้ดิฉันจะเอาวงนี้ยกมาแล้วก็เปรียบจากวง 500 วงที่เปิดว่าไม่เหมือนแบบนี้ ไม่มีวงไหนที่เหมือนวงนี้ อย่างน้อยฟังไว้แล้วแยกให้ออก นี่คือความต้องการของดิฉัน คือให้คุณฟังแล้วรู้ว่าอะไรดีไม่ดี ไอ้นี่เกรดเอ เกรดบี เกรดซี อย่างน้อยรู้ว่าวงนี้เหนือชั้นกว่าวงนี้ ดิฉันอยากจะให้วิชาพวกนี้กับเขาไว้ เพราะต่อไปเวลาเราฟังเพลงอะไร ฟังปุ๊บเรารู้เลยว่าไอ้นี่ดีหรือไม่ดี ถ้าคนมีความรู้เรื่องนี้บ้างก็จะไม่รับของไม่ดี ต่อไปก็ไม่ฟัง เขาจะรู้เลยว่าเขาไม่ควรฟัง เพราะไอ้วงนี้ไม่มีอะไรเลย
GM : คุณไม่คิดว่าเป็นเรื่องรสนิยมที่ใครจะเลือกฟังอย่างไรก็ได้หรือ
วาสนา : นี่เป็นเรื่องความรู้ เป็นภูมิที่จะต้องสร้าง มันเหมือนกับปัญญาที่ต้องสั่งสมมา ดิฉันได้เปรียบตรงที่ได้ฟังเพลงมาก่อนเขา 30 ปี จึงสั่งสมมา ฟังมาตั้งแต่ของดีที่สุดจนถึงเลวที่สุด ผ่านหูมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นดิฉันรู้แล้ว ต่อจากนี้ไม่ต้องเอามาให้ฟังก็รู้ พอขึ้นมานิดนึงก็รู้แล้วว่าจะฟังต่อไหม ไม่ต้องมาพูด ไม่ต้องเอาอะไรมาหลอก
GM : คุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ว่าดนตรีแบบไหนที่ดี-ไม่ดี
วาสนา : มันต้องฟังค่ะ มันเป็นความรู้ เหมือนกับเราเรียนเลขตั้งแต่ 1+1 เป็น 2 มันสั่งสมมาเรื่อยๆ เราต้องพัฒนา เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีไอเดียหรือไม่มีความรู้เบื้องต้นนี่ยาก ถ้าข้ามขั้นมันยาก คุณเคยได้ฟังเพลงที่ดีๆ มาแล้วบ้างหรือเปล่าล่ะ ถึงจะรู้ว่าอะไรไม่ดี ถ้าเริ่มจากของไม่ดีนี่แย่แล้ว ไม่รู้ว่าของดีเป็นอย่างไร เกิดมาฟังแต่ห่วยๆ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าดีกว่านี้เป็นอย่างไร ไม่มีทางรู้ เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักของดีมาก่อนมันไม่ต้องมาพูดค่ะ ไม่มีอะไรอธิบายได้ มาเจอของเลวแล้วมันห่วย ไม่ต้องมาหลอกว่าดังอย่างไร ไม่ใช่ว่าดังแล้วจะดี ไม่ใช่เอาวงดังมาแล้วบอกให้เปิด ฟังดูก็รู้ว่าห่วย อย่างโคลด์เพลย์นี่คือป๊อปธรรมดา เขาไม่เสียหายอะไร เขาเป็นวงป๊อปที่ประณีต เพราะเราดูจากนักดนตรีว่าเขารักดนตรี แล้วเขามีความรู้ พวกฝรั่งจะมีความรู้เรื่องเครื่องดนตรี เขาไม่ได้ร้องเฉยๆ เขาเล่น อย่างน้อยเขาก็มีภูมิปัญญา ไม่ใช่มายืนร้องเฉยๆ เราจะเรสเป็กต์วงไหนเท่าไหนอย่างไรมันก็อยู่ที่ตัวเขา เขามีคุณค่าแค่ไหน
GM : แล้ว เจมส์ บลันท์ หรือ เดเมียน ไรซ์ ที่คนไทยกำลังนิยมล่ะ
วาสนา : โอ๊ย! นั่นมันก็ธรรมดานี่คะ ไม่ได้มีอะไรมากมาย
GM : แต่ซาวนด์ของดนตรีเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยหรือ
วาสนา : ไม่ค่ะ, พวกนี้เป็นโฟล์คเป็นอะคูสติก มันจะเปลี่ยนได้อย่างไรคะ มันไม่เปลี่ยน มันเหมือนเดิม
GM : แต่ก็มีคนบอกว่า อย่าง เดเมียน ไรซ์ นี่เป็นนิวโฟล์ค
วาสนา : ไอ้พวกที่พูดนี่คือพวกบริษัทแผ่นเสียงไม่ใช่ศิลปิน เวลาจะโปรโมตศิลปินต้องคิดคำใหม่ เมื่อก่อนดิฉันสัมภาษณ์ศิลปินฝรั่ง เราไม่ควรจะไปถามเขาว่า เพลงของเขาเป็นเพลงแบบไหน เขาจะเกลียดมากเลยที่ต้องมานั่งแยกแยะตัวเอง แต่บริษัทแผ่นเสียงจะชอบ เพราะมันทำให้ไม่เหมือนคนอื่น คนพวกนี้ดังเพราะเนื้อหาเนื้อร้องของเพลงเขาต่างหาก ดนตรีมันก็ธรรมดา
GM : คุณเคยเผื่อใจให้ดนตรีประเภทอื่นบ้างไหม อย่างเช่น คลาสสิก แจ๊ซ หรือสุนทราภรณ์
วาสนา : ดิฉันเป็นคนที่รักเพลงคลาสสิกมากๆ เพราะมีโอกาสได้ฟังเพลงคลาสสิกมาก ยุคที่คลาสสิกเป็นฮีโร่ทั้งหลาย ดิฉันสามารถฟังคลาสสิกได้ทั้งวันนะ เป็นคนที่อินกับมันมาก ฟังได้เท่ากับเพลงร็อค แต่สุนทราภรณ์กับแจ๊ซนี่ไม่ได้เลยค่ะ รับไม่ได้เลย ดิฉันฟังเพลงแจ๊ซแล้วรำคาญ เพราะไม่ชอบเครื่องเป่า อยู่วงร็อคมันไม่มีเครื่องเป่า เด็กๆ นี่ฟังแต่ร็อค แล้วดิฉันก็เคยมีวงด้วยนะ ก็จะออกมาป๊อปกับร็อคตลอด ดิฉันชอบคีย์บอร์ด ถึงชอบเปียโนไงคะ เพราะฉะนั้นก็เลยฟังเพลงคลาสสิกได้มาก
GM : คุณเคยบอกว่า ในช่วงที่ผ่านมา 10 กว่าปี มีดนตรีดีๆ เกิดขึ้นมาในโลกมากมาย แต่คนไทยไม่เคยได้ยินเลย คิดว่าเป็นเพราะอะไร
วาสนา : ก็ไม่มีดีเจจัดไงคะ ถ้าดิฉันไม่อยู่แล้วใครจะจัดล่ะเพลงแบบนี้ คุณต้องไปขวนขวายหาเอาเอง เพราะส่วนใหญ่ดีเจทุกวันนี้เขารับของจากบริษัทแผ่นเสียง ไม่ใช่เหรอคะ สมัยก่อนที่ดิฉันจัด ต้องบินไปอังกฤษปีหนึ่งไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ไปลอนดอนเพื่อไปซื้อแผ่นเสียงกลับมา ต้องทำด้วยตัวเองเพราะที่นี่ไม่มีขาย ก็ต้องลงทุนเอง แล้วใครเขาจะทำล่ะ นั่งเฉยๆ ไม่ดีกว่าเหรอ แต่ดิฉันอุดมการณ์มันสูง จะต้องทำให้ได้ ถ้าจะจัดจริงจะต้องทำให้ได้เท่าเขาเลย เขาออกมาปั๊บเราต้องมีเลย ต้องเอาอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าช้ากว่าเขาปีหนึ่ง มันไม่ได้ อย่างสถานี XFM เขาจะได้แผ่นจากศิลปินมาเปิดก่อนที่จะขาย 3-4 เดือน ไอ้เรานี่หลังแผ่นขายไปตั้งปีหนึ่งถึงจะได้ มันก็ไม่ไหว ก็ต้องพยายามดิ้นรนที่สุด เพราะดิฉันรักมันมากเลยเพลงแนวนี้ คิดว่ามันเป็นชีวิตชีวามันสดใส
GM : คุณไม่คิดหรือว่า จำกัดตัวเองกับเพลงแบบนี้แล้วจะทำให้กลุ่มผู้ฟังแคบ
วาสนา : เพลงที่ดิฉันเปิดมันก็เป็นเพลงป๊อปกับร็อค มันไม่ใช่เพลงอื่น มันไม่ได้วิเศษกว่านั้นเลย มันก็คือวงป๊อป วงร็อค เพียงแต่มันเป็นวงซึ่งไม่ค่อยมีคนเล่น อย่างที่ยกวง Arcade Fire ตอนนี้เป็นวงตัวอย่างเพราะว่ามันสุดยอด มันเอาคลาสสิกเข้ามาด้วย คนในวงจะมีพื้นฐานคลาสสิก เขาจะมีทั้งเครื่องสาย ปูดนตรีแบบแน่นเอี้ยด เป็นเพลงแบบอาจารย์มาเลย เวลาแสดงสดเขามันส์มาก แล้วก็เก่งมาก เขามาจากคลาสสิกด้วยไงคะ แล้วเวลามาร็อคมันก็กลายเป็นร็อคแบบทันสมัย คือดิฉันไม่ได้เห็นวงแบบนี้มาเป็นสิบปีเลยนะ วงนี้ขึ้นมาเราน็อกเอาต์เลย ไอ้วงที่ชอบๆ ไม่มีใครดีเท่าวงนี้ Arcade Fire จะไปเรียกเขาร็อคก็ไม่ใช่ ป๊อปยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เครื่องดนตรีเขาเยอะจนดิฉันงง คือเขาใส่เสียละเอียดมาก แล้วมีเครื่องดนตรีเยอะมากๆ ใช้เครื่องดนตรีคลาสสิกเยอะ การร้องของเขา เขาร้องให้เพี้ยนอีกต่างหาก มันเลยแปลกไงคะ คิดดูว่าเราฟังเพลงคลาสสิกแล้วคนร้องมันร้องเพี้ยน คือเขามาแนวฉีกมากๆ ก็เลยพยายามให้เด็กฟัง
GM : นอกจากเพลงแล้ว ชีวิตของคุณมีมิติอื่นบ้างไหม
วาสนา : เดินทางกับฟุตบอลค่ะ ดิฉันเดินทางตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นคนชอบเดินทาง ชีวิตระเหเร่ร่อนจะชอบมาก ตั้งแต่ 10 กว่าขวบนี่ไปแล้ว เที่ยวในประเทศไทยก่อน 11-12 ขวบก็ไปแล้ว เพราะที่บ้านพ่อแม่ไม่เคยว่าไม่เคยดุ ดิฉันไม่ชอบอยู่กับที่ถึงมีครอบครัวไม่ได้ เป็นคนอย่างนี้มาตั้งแต่เด็กค่ะ เพราะว่าอิสระมาก แล้วก็ชอบผจญภัย
GM : เห็นว่าชอบเดินทางคนเดียว
วาสนา : ชอบมาก คือไม่รำคาญ ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง ไปคนเดียวสนุกที่สุด ลุยแล้วก็ไปไหนก็ได้ ไม่ต้องวางแผนล่วงหน้า อยู่ที่ไหนก็ได้ ในยุโรปที่อยู่ก็เยอะ แล้วการคมนาคมเขาก็เยอะแยะ รถไฟนี่สะดวกมากๆ
GM : เคยเจอเรื่องเสี่ยงอันตรายไหม
วาสนา : เจอบ่อยนะ แต่ว่าเรารู้น่ะ ดิฉันเป็นคนเขี้ยว ไม่ใช่หมูนี่รุ่นนี้แล้ว ใครมาไม้ไหนเราก็รู้ มันอยู่ที่เราต้องเอาตัวรอด เป็นคนรู้จักเอาตัวรอดมาตั้งแต่เด็ก อาจจะมีสัญชาตญาณ เหมือนมีซิกซ์เซนส์กับศัตรูหรือคนที่คิดไม่ดีกับเรา แค่มองก็รู้แล้วว่าไอ้นี่มาไม้ไหน เราก็เตรียมแผนของเราได้แล้วว่าจะชิ่งอย่างไร ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย หรือไม่ก็เป็นพวกที่มาจี้มาปล้น ตั้งแต่สมัยสาวๆเดินทางคนเดียวก็จะมีเรื่องอย่างนี้ คือไม่มาจี้ก็มาจีบ แต่เรารู้ เราไม่กลัว
GM : มีที่ไหนที่ไปแล้วอยากกลับไปอีกไหม และมีที่ไหนที่ยังไม่เคยไปแต่ว่าอยากไปบ้าง
วาสนา : อิตาลีค่ะ ดิฉันไปมาแล้วทั้งประเทศ แต่ยังไงก็ไม่รู้สึกเบื่อ ดิฉันรู้จักอิตาลีมากกว่าคนอิตาเลียน ไปถามดูได้เลย ไม่มีใครรู้จักอิตาลีเท่าดิฉัน คนอิตาลีไม่ไปไหนไง ก็เหมือนเราไม่ยอมไปไหน อย่างเรามาเที่ยวนี่เราไปเหนือจรดใต้ ลุยมาหมด ส่วนที่ที่ไม่เคยไป ก็เป็นเพราะว่าไม่อยากไป ที่อยากไปได้ไปหมดแล้ว ไอ้ที่เหลือนี่ไม่ไปแน่ๆ อย่างเช่น แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ดิฉันไม่ได้ไปเพราะสวย ไปแล้วก็ไม่อยากกลับไป เพราะว่าไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่รู้ว่าจะไปเพื่ออะไร ไปดูอะไร
GM : ชีวิตคุณเหมือนเลือกได้ทุกอย่าง เคยคิดไหมว่าเป็นเพราะอะไร
วาสนา : ดิฉันมีมอตโต้ประจำใจว่า ‘คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกเป็นได้’ อันนี้เป็นเรื่องจริงนะ อยู่ที่ว่าเอาจริงหรือเปล่า เพราะว่าส่วนใหญ่คนไม่เอาจริงไง พูดอย่างเดียว ดิฉันถึงบอกว่ามีความอยากแต่ไม่ทำ ส่วนใหญ่คนช่างฝันกันทุกคน แต่นั่งเฉยๆ
GM : ไม่คิดหรือว่าแต่ละคนก็มีข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน
วาสนา : มันอยู่ที่ตัวเอง อาจเพราะดิฉันโชคดีด้วยหรือเปล่า เป็นเพราะเป็นคนเรียนเก่งด้วย คือเรียนหนังสือตลอดชีวิตต้องอยู่อันดับ 1 ใน 3 มันอยู่ที่เรา แต่ดิฉันเป็นคนที่มีความตั้งใจที่แน่วแน่ ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจถึงหรือเปล่า คุณพ่อดิฉันเคยบอกว่า ‘Follow your heart.’ ลูกอยากทำอะไรทำ ไม่ใช่ ‘Follow your head.’ เพราะดิฉันเป็นคนตามใจตัวเอง ไม่ใช่สมองสั่งนะ หัวใจสั่ง ดิฉันไปด้วยความรัก เดินตามความรักของตัวเอง ไม่ได้เดินตามสมอง ความรักมีอำนาจมหาศาลนะ ไม่ว่าคุณจะรักอะไร ดิฉันรักเพลง ถึงอยู่กับเพลงมาตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนหนังสือก็ต้องเรียนสถาปัตย์อย่างเดียว อย่างอื่นไม่เรียน ถ้าสอบเข้าคณะ
สถาปัตย์ไม่ได้ ดิฉันจะไม่เรียนหนังสือ ก็จะจบแค่นั้น ดิฉันไม่มีทางเลือกให้ตัวเองนะคะ ให้เลือกอย่างเดียว แล้วต้องเอาให้ได้ มันบังคับตัวเองโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว
GM : เคยมีเรื่องผิดหวัง เสียใจในชีวิตไหม
วาสนา : ไม่เคยเสียใจอะไร เพราะสมหวังมาตลอด อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ อยากจะเรียนก็ได้เรียน เรียนให้ได้เกียรตินิยม จัดเพลงไปด้วยเรียนไปด้วย เป็นดีเจตั้งแต่ปี 3 แล้วค่ะ
GM : ไม่คิดว่าเป็นเพราะโชคช่วยด้วยหรือ
วาสนา : คิดว่ามีมาช่วย คงเป็นคนที่โชคดีมากๆ ที่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ เพราะอาชีพอื่นก็ไม่อยากทำอะไรเลย ชาตินี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เป็นสถาปนิกก็ไม่อยากเป็น คนเขาก็ว่าเรียนมาทำไม
GM : วาสนา วีระชาติพลี มีความโรแมนติกในตัวบ้างไหม
วาสนา : คงจะมีมากด้วย แต่เป็นคนไม่จริงจังกับใคร ดิฉันเป็นคนมีแฟนเยอะ เสร็จแล้วก็จะปล่อยเขาไป ดิฉันเป็นคนที่ทนอยู่กับใครไม่ได้ทุกวัน 24 ชั่วโมง เวลาเจอใครสักคนแล้วชอบกัน ต้องบอกข้อแม้เขาก่อนว่า วันหนึ่งต้องจากกัน แล้วถ้าแฟนดิฉันอยากไปเที่ยวอาบอบนวด ก็พาไปส่งได้ ดิฉันเป็นคนไม่หึงไม่หวง มันก็เลยไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ดิฉันชอบคบผู้ชายที่เป็นเหมือนตัวเอง ไม่ซีเรียสไม่จริงจัง เพราะคิดว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา จะไม่ล่ามใครไว้หรือผูกไว้
ยิ่งได้เห็นความจริงของโลกทุกวันนี้ ผัวเมียที่อยู่ด้วยกันแล้วมาบอกว่าอยู่เพราะลูก แต่งงานมา 20 ปี แทบไม่อยากจะเห็นอีกแล้ว พอขึ้นนอนบนเตียงก็หันหลังให้กัน ยิ่งผู้หญิงจิตใจก็ให้กับลูก สามีไม่มองแล้ว ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องเศร้าที่สุด คนเราเกิดมาไม่จำเป็นจะต้องบังคับชีวิตตัวเองอย่างนั้นเพื่ออะไร ใครตั้งกฎเกณฑ์ว่าให้อยู่อย่างนั้นล่ะ ทำแล้วมันเป็นสิ่งที่น่าสมเพช น่าสงสาร ทำไมคนเราถึงต้องอยู่ด้วยกฎเกณฑ์ล่ะคะ ดิฉันเป็นเจ้าของชีวิตดิฉัน ดิฉันจะใช้ชีวิตแบบดิฉัน
GM : คุณมองโลกในแง่ร้ายไปไหม
วาสนา : มองในแง่ความจริง ไม่ได้หลอกตัวเอง คนส่วนใหญ่หลอกตัวเอง แล้วก็ไม่ยอมพูดความจริง เลยไม่มีใครมีความสุขค่ะ เพราะว่ากลายเป็นว่าชีวิตของตัวเองไม่มีแล้ว หรือผู้หญิง ถ้าแต่งงานไปแล้วชีวิตครึ่งหนึ่งให้ลูก อีกครึ่งหนึ่งให้สามี แล้วตัวเองจะมีอะไรเหลือ
GM : ความสุขแห่งชีวิตของคุณคือ ?
วาสนา : คืออิสระ คือความว่างเปล่า ไม่มีเจ้าของ แล้วก็ไม่อยากเป็นเจ้าของใคร แต่มีความรักให้คนเยอะมาก ดิฉันทนไม่ได้ถ้าต้องลงเอยกับคนคนเดียว ดิฉันคิดว่ามีความรักให้มากกว่าคนหนึ่งคน ดิฉันอยากไปตายบนยอดเขา เพราะเป็นคนไม่เหงาไง ครั้งหนึ่ง ดิฉันเคยไปลองตามหาริชชี่ที่เกาะแห่งหนึ่ง คือในเวลส์จะมีเกาะเกาะหนึ่งที่มีตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์อาร์เธอร์ ว่าตอนที่กษัตริย์อาร์เธอร์ถูกยิงบาดเจ็บ พวกทหารก็จะเอาลงเรือมาเพื่อที่จะให้ไปอยู่ในมือของพระเจ้า คือเกาะนี้ข้ามยากมาก พายุมันแรงมาก ดิฉันต้องไปรออยู่ที่ชายฝั่ง 2-3 วัน จนวันหนึ่งลมสงบถึงสามารถข้ามไปได้ ดิฉันไปอยู่บนเกาะนั้นอาทิตย์หนึ่ง เกาะนั้นไม่มีอะไรเลย มีแต่ผัวเมียคู่หนึ่งที่เขาเลี้ยงแกะ ต้องไปอยู่แบบไม่มีไฟ เป็นดินแดนเหมือนในฝัน มีประภาคาร อยู่กับแมวน้ำ ตอนกลางคืนมืดแบบไม่เห็นมือตัวเอง ทำให้เราต้องฝึกเรื่องความกลัว ซึ่งก็สะใจดี ทำให้เป็นคนไม่กลัวผี ไม่กลัวความมืด
GM : เห็นบอกว่าคุณเป็นคอฟุตบอลคนหนึ่ง เป็นแฟนฟุตบอลทีมไหน
วาสนา : ทีแรกที่ไปอังกฤษเกลียดฟุตบอลมาก ดิฉันเป็นคนเกลียดกีฬา ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนนี่ไม่เล่นกีฬา แต่พอไปถึงอังกฤษ ดิฉันต้องนั่งอัดเทปรายการ ทำเป็นสตูดิโอของตัวเองในห้องนั่งเล่น แล้วเปิดทีวี มีบอล สมัยก่อนจะด่าคนฟังที่บ้าฟุตบอล แต่พอตัวเองดูๆ ไปก็ชักคุ้น เลยกลายมาเป็นแฟนแมนฯ ยูฯ ก่อน แล้วไปเชียร์ทีมชาติอังกฤษ ตามด้วยสเปน แล้วก็อิตาลี ยิ่งไปเจออิตาลี ยิ่งมีสีสัน แล้วกองเชียร์มันเถื่อน อังกฤษมันดูเฉยๆ เรียบๆ ไม่มีระเบิดปา อิตาลีนี่สุดยอด ตัวใครตัวมัน กว่าจะได้ดูฟุตบอลแทบเลือดตกยางออก แมตช์ใหญ่ๆ ตำรวจต้องมา เพราะมันจะตีกันก่อนไงคะ ดิฉันเลยไปดูสดเลยค่ะ ไปอิตาลีเกือบทุกอาทิตย์เลย เพราะบินแค่ 2 ชั่วโมงเอง
GM : คุณคิดจะอยู่เมืองไทยไปอีกนานแค่ไหน
วาสนา : ถ้าได้จัดเพลงอย่างนี้ก็คงอยู่ได้ เป็นอย่างเดียวที่ทำให้อยู่ได้ เพราะอากาศเป็นศัตรูกับดิฉันนะ ดิฉันอยู่กับอากาศร้อนแทบไม่ได้ โอเคว่ามีครอบครัวที่น่ารัก แล้วอย่างอื่นก็ดี อาหารการกินก็ชอบ แต่เพลงสำคัญที่สุด อย่างน้อยก็มีเพลงที่จะฟัง
GM : คุณคิดว่าดีเจยังจำเป็นอยู่ไหมสำหรับสังคมปัจจุบันที่มียูทูบ มีบล็อก ทำให้คนฟังหาเพลงจากอินเตอร์เน็ตได้ ไม่จำเป็นต้องฟังจากวิทยุเท่านั้น
วาสนา : เขาไปแสวงหา เขาต้องรู้ใช่ไหมว่าเขาหาอะไร เพราะฉะนั้นดีเจก็อาจจะเป็นคนช่วยแนะ การที่ดิฉันกลับมาตอนนี้ คิดว่ามาช่วยแนะให้ แล้วคุณก็ไปหาต่อเอาเอง ถ้าไม่มีใครมาบอกเลย แล้วเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะไปหาใคร อันนี้ก็อาจจะช่วยได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่รู้ว่ามีวงชื่อนี้ เขาไม่รู้จักชื่อวงพวกนี้หรอกถ้าดิฉันไม่เอามาบอก
“ดนตรีแบบที่ดิฉันเปิดมันไม่มีในประเทศนี้มันเป็นเพลงที่อาจจะโดดเด่น แปลกกว่าเพลงตลาดทั่วไป เขาก็หาว่าเป็นเพลงประหลาด”
“ดิฉันเป็นลูกศิษย์คาลิล ยิบรานเป็นคนที่ตามปรัชญาเขาแล้วทำได้ ดิฉันเป็นคนที่รักง่ายมาก มีความรัก เยอะ แต่ไม่มีความหวง”
“ดิฉันไม่อยากเป็นดีเจเล่นเกมบ้าๆ บอๆพูดอะไรไม่เป็นสาระแล้วคนฟังก็บ้าตาม แต่เราเป็นคนแก่ เลยมองโลกไม่เหมือนดีเจที่เป็นเด็ก”
“คนเกลียดดิฉันเยอะมาก แต่คนที่เกลียดเขาก็ฟังดิฉันนะ เขาอยากฟังว่าดิฉันจะด่าใครยิ่งเกลียดยิ่งฟังโทรฯมาด่าก็มี”
“ถ้าดิฉันหายไปก็คงหมดแล้วคราวนี้ คงไม่มีใครเขาเอามาจัดแล้ว เพราะมันหายากขนาดบริษัทแผ่นเสียงได้แผ่นพวกนี้มาก็ทิหมดเพราะยังฟังไม่เป็น”