ต่อพงศ์ สลานนท์
THIRD EYE UNBLIND ความเบิกบาน ของ ผู้ชายตาบอด
ถ้า ‘เติ๊ด’ ต่อพงศ์ เสลานนท์ จะลุกขึ้นมาทำเดี่ยวไมโครโฟน แสดงทอล์กโชว์ปีละครั้งสองครั้ง ไม่น่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ทั้งชั้นเชิงการพูด ประสบการณ์ และอารมณ์ขันของเขา มีศักยภาพเพียงพอที่จะทำได้ GM เชื่อจริงๆ ว่าเขาน่าจะทำได้ดีเสียด้วย ทั้งที่มันขัดแย้งกันอยู่พอสมควรกับภาพที่เราคุ้นชิน ความพิการย่อมหมายถึงความหดหู่ หงอยเหงาซึมเซา ด้อยโอกาส และโดดเดี่ยว ฯลฯ แต่เชื่อไหม? ว่ารูปทรง มวลสาร และพลังงานของต่อพงศ์ แทบจะไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย
ตลอดเวลาที่นั่งคุยกับเขา ดูเหมือนเราจะสัมผัสได้เพียงความเบิกบาน และไม่มีอะไรนอกจากความเบิกบาน เรื่องเล่าเขาเยอะ เพราะใช้ชีวิตมาโชกโชน มุมมองเขามัน เพราะแถมสั่งสมวิชาความรู้มาจากวงเพื่อนและวงเหล้า
ต่อพงศ์เป็นลูกนายอำเภอ เกิดกรุงเทพฯ แต่ต้องเดินทางบ่อยครั้งตั้งแต่เด็กเพราะพ่อย้ายไปทำงานหลายแห่ง ไม่ว่าชุมแสง ตาคลี เลย และบุรีรัมย์ ทำให้ได้บุคลิกของเด็กบ้านสวน ที่โตมากับการยิงนก ตกปลา ขี่จักรยาน ปีนต้นไม้ ส่วนเรื่องว่ายน้ำนั้น เขาแข็งแกร่งในระดับเคยว่ายข้ามแม่น้ำป่าสักมาแล้วเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และใช้ชีวิตวันหยุดอยู่ต่างจังหวัด เขาจึงคล้ายปลาสองน้ำ คือเป็นคนเมืองหลวง ขณะเดียวกันก็กร้านแดดลมแบบภูธร
เป็นทั้งลูกชายหัวแก้วหัวแหวน และเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อนในวัยแรกรุ่น ห้องนอนของเขามีหนังสือสองประเภท (ในสัดส่วนปริมาณใกล้เคียงกัน) คือหนังสือพระกับหนังสือโป๊ อย่างแรกวางบนโต๊ะ ส่วนอย่างหลังซุกไว้ใต้เตียง เขาเล่าให้ฟังพร้อมกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็งขับรถเป็นตั้งแต่ 8-9 ขวบ เพราะพ่อชอบจับนั่งตักเวลาขับรถ และโลกมีเรื่องเหนือความคาดหมายเสมอ
ค่ำหนึ่งในเดือนมกราคม 2535 หรือในวัยย่างเข้าสิบหกฝน เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และสูญเสียดวงตา ใช้เวลารักษาอยู่ 7 เดือน วิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาล วัด และบ้านผู้ทรงคาถาอาคม จนวันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ต่อพงศ์บอกตัวเองว่าพอกันที จบ เลิก ไม่คาดหวังอีกแล้วว่าจะกลับมามองเห็น เขาหยุดวิถีของผู้ป่วยไว้เท่านี้ เลิกถามว่าจะรักษาอย่างไร เปลี่ยนมาหาวิธีว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร
กูจะไม่เป็นคนป่วยอีกแล้ว – เขาตั้งปณิธาน
เขาไปเรียนการใช้ไม้เท้า เสร็จแล้วกลับไปเรียนมัธยมฯ ปลายจนจบ สอบเข้ามหาวิทยาลัย ฝึกฝนเล่นดนตรี โดยใช้วิธีครูพักลักจำ เขาเล่นได้ดีทั้งกีตาร์ เบส กลอง ขลุ่ย ดีในระดับเล่นเป็นแบนด์ได้
ผมเห็นมาแล้วกับตา
ส่วนเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ เจอตัวก็ลองวิชากันเอาเอง ที่เขาบอกว่าอ่าน ‘สามก๊ก’ มาแล้ว 40 รอบเขาอ่านโดยการฟัง เขาควักสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดออกมา กระหน่ำกดหน้าจอทัชสกรีนพร้อมกับเงี่ยหูฟัง แทนที่จะเบราวซ์หน้าจอด้วยตา เขาเบราวซ์ด้วยหู เลือกแอพฯ สารพัดได้ในพริบตา เรียกได้ว่าเขาเป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยี และมีความเชี่ยวชาญโลกการสื่อสารสมัยใหม่หนังสือเล่มหนาๆ เอาจับยัดใส่เครื่องสแกน แล้วแปลงภาพไปเป็นเท็กซ์ เสร็จแล้วก็เอาเข้าโปรแกรมแปลงเท็กซ์ให้เป็นเสียง แล้วเปิดฟังทั้งวัน
เขาเป็นนักเดินทางที่ตะลอนมาแล้วค่อนโลก เป็นคนที่ขยันพูดคุย พบปะเสวนากับผู้คนต่างสาขาอาชีพ ชอบสร้างเสียงหัวเราะ ชอบเป็นผู้นำความสุข คิดดูก็แล้วกันว่า ตอนเรียนอยู่สวนดุสิตหลังจากที่เพิ่งตาบอดมาหมาดๆ เขาเป็นประธานเชียร์ถ้าไม่มีใครสร้างความสุข กูสร้างเองก็ได้ – นี่คือวิธีคิดของเขาไม่คิดมาก มีอะไรก็เก็บไว้ในความจำ ไม่เก็บไว้ในใจ ใจโปร่งๆ ไม่โกรธเกลียดใคร – เขากล่าวกับ GMต่อพงศ์ เสลานนท์ เป็นนายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นรองประธานสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยเราใช้เวลามาหลายบรรทัดปูพื้นพอให้เห็นปูมหลัง คราวนี้ลองฟังเขาพูดยาวๆ โดยเริ่มจากอารมณ์ความรู้สึกในปัจจุบันขณะ
A Clear Vision
GM : คุณรู้สึกยังไงกับชีวิตในทุกวันนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่ดีไหม
ต่อพงศ์ : ก็ค่อยๆ พัฒนามาเป็นลำดับ ตอนอายุสิบหกที่เกิดอุบัติเหตุ เหมือนต้นไม้เริ่มโต รากเริ่มแทงลึก แต่กลับโดนพายุ จนส่วนที่พ้นจากดินแตกหัก แต่ดีที่รากยังอยู่ เราก็เติบโตใหม่จากรากเดิมนั้นมา อาจจะโตเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้เริ่มนับหนึ่ง มันมีพื้นฐานเดิมอยู่ ถ้านับจากวันที่ตาบอด กลับมาเรียนหนังสือ จบปริญญาตรี ชีวิตเข้าสู่ภาคการทำงาน มองมาถึงจุดนี้ก็ถือว่าพีค ผมเคยเป็นที่ปรึกษาสภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่อายุน้อยที่สุด คือตั้งแต่ยี่สิบเก้า ตอนนี้เป็นที่ปรึกษา กสทช.
ทำงานเกี่ยวกับวิทยุโทรทัศน์จนอาจเรียกได้ว่ารู้เรื่องวิทยุโทรทัศน์ โทรคมนาคม ในภาคส่วนนโยบาย กฎหมาย การวางแผนต่างๆ ขณะที่อีกภาคหนึ่งก็เป็นนายกสมาคมคนตาบอดฯ
GM : ทำงานหลายด้านแบบนี้ คุณรับรู้ข้อมูลข่าวสารประจำวันอย่างไร
ต่อพงศ์ : ก่อนหน้านี้ผมเคยถูกความตาบอดขังไว้ ไม่ให้เข้าถึงความรู้อยู่หลายปี พอตาบอดแล้วต้องตัดทิ้งการ์ตูนรายสัปดาห์ อนิเมทวีคลี่ ทาเลนต์ หรือพวกหนังสือพระ ที่เคยชอบอ่าน ทิ้งหมดเลย แต่โชคยังดีที่ช่วงนั้นมีวิทยุและโทรทัศน์ที่สามารถใช้ในการหาข่าวสาร สิ่งที่อยู่ในวิทยุเป็นสิ่งที่ในห้องเรียนไม่มีสอน มันเป็นข้อมูลข่าวสารและเรื่องราวที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน ช่วงนั้นผมก็เลยได้ฟังเรื่องสังคม เศรษฐกิจ การเมืองในประเทศและต่างประเทศเยอะมาก ส่วนเรื่องที่เพื่อนร่วมรุ่นคุย มักจะเป็นเรื่องเรียน
กวดวิชา การ์ตูน เกม ผมเลยไม่รู้จะไปคุยกับใคร ก็เลยเลือกจะไปคุยกับผู้ใหญ่ กลายเป็นว่าคุยกับเขารู้เรื่อง ช่วงนั้นผมชอบฟังรายการของหลายคน เช่น
ฟองสนาน จามรจันทร์ อาจารย์สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ภูษณ ปรีย์มาโนช ถ้าฟังเรื่องไหนแล้วสนใจมากๆ ก็จะเข้าห้องสมุดเพื่อไปหาหนังสือเสียงมาอ่าน สมัยนั้นชอบอ่านพวกประวัติศาสตร์ งานของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็อ่าน งานพวกฝ่ายซ้ายอย่างของ จิตร ภูมิศักดิ์ ก็อ่าน
พอมายุคหลังๆ ผมเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการหาคำตอบ เสิร์ชในกูเกิล โซเชียลมีเดีย หรือในยูทูบ ผมพยายามจะทบทวนความรู้เดิมและเพิ่มเติมความรู้ใหม่อยู่เสมอ ผมว่าโลกที่เรามองเห็นด้วยตา หรือสัมผัสโดยประสาท-สัมผัส มันเป็นเพียงแค่อาณาจักรเล็กๆ ที่ถูกสกัดโดยสภาวะทางกาย แต่โลกแห่งความรู้เป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่กว่านั้นมาก และสามารถสัมผัสได้ด้วยการใช้ปัญญา ข้อมูลข่าวสาร ความเข้าใจในชีวิต สิ่งแวดล้อม รวมทั้งคนรอบตัว มันต้องใช้สิ่งที่เป็นความรู้เป็นตัวอธิบาย ซึ่งผมใช้สิ่งเหล่านี้มาตลอด
GM : สถานการณ์ของคนพิการทางสายตาในตอนนี้เป็นอย่างไร
ต่อพงศ์ : ตอนนี้มีคนตาบอดหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นคน แบ่งเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่อยู่ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน ตัวแปรของคนตาบอดในอดีตคือเรื่องการสาธารณสุข ที่ไหนสาธารณสุขดี ที่นั่นจะมีอัตราผู้สูญเสียดวงตาต่ำลง ผมยกตัวอย่างสถิติในปี 2485 น้ำท่วมใหญ่ เด็กที่เกิดช่วงปีนั้นตาบอดกันเยอะ อาจจะเริ่มจากแค่อาการตาแดงธรรมดาๆ นี่แหละ แต่พอไม่ได้รักษา มันลุกลามไปจนตาบอดได้ พอมาถึงยุคปัจจุบัน สาธารณสุขเราดีขึ้น การตาบอดตั้งแต่แรกเกิดมีอัตราลดลง แต่ขณะเดียวกัน คนตาบอดเพราะอุบัติเหตุและความเจ็บป่วย หรือชราภาพกลับมีมากขึ้น
โลกนี้ยังไงๆ ก็ต้องมีคนตาบอด ไม่มีทางที่จะไม่มี ผมจะวิเคราะห์ให้ฟัง ตอนนี้ผมอยู่ตรงหน้างาน ทำงานกับคนตาบอดซึ่งมีทั้งคนยากจนที่สุด ไปยันคนที่มีความเจ๋งที่สุด คือพวกนักศึกษาแพทย์ก็มี จบโท จบเอกเยอะแยะ เพราะเรื่องตาบอดนี่มันไม่เลือกว่าใครเป็นใคร คุณรู้ไหมว่าสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของคนตาบอดในยุคนี้คือต้อหิน เพราะว่าเราใช้สายตาเยอะขึ้น นึกดูว่าสายตาเรามีไว้มอง ดูสิ่งรอบกว้าง ดูทิศทาง ถ้าเราลองโฟกัสไปที่หัวใจนักปราชญ์ คุณดูนะ ไม่มีคำว่ามองนะครับ สุ จิ ปุ ลิ – ฟัง คิด ถาม เขียน ไม่มีคำว่ามอง แต่ผมว่าการมองนี่แหละที่แฝงอยู่ในทุกเรื่อง เรามีสายตาไว้เก็บภาพรวม ไว้มองกว้าง ในอดีต สายตาของเราไม่ได้มีไว้จ้องหน้าจอมือถือแบบทุกวันนี้ ไม่ได้มีไว้อ่านจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีแต่รังสี เมื่อธรรมชาติไม่ได้สร้างมาแบบนี้ ต่อให้เราจะปรับธรรมชาติให้หน้าจอใหญ่อย่างไรก็ช่าง
มันไม่มีผล พฤติกรรมเหล่านี้จะค่อยๆ สะสมยาพิษไปเรื่อย ตอนเด็กๆ ยังไม่รู้ตัวหรอก จนตอนแก่นั่นแหละก็จะรู้เอง เราจะมีอัตราสูญเสียการมองเห็นมากขึ้น เร็วขึ้น ตัวเลขคนตาบอดที่เพิ่มขึ้นสะท้อนชัดเจนว่าแม้การแพทย์ดี สาธารณสุขดี คนตาบอดก็ยังเพิ่มขึ้น ไม่มีวี่แววลดลง เพราะเราใช้สายตากันมากขึ้น
GM : ในฐานะนายกสมาคมคนตาบอด คุณจะรับมือสถานการณ์นี้อย่างไร
ต่อพงศ์ : วางแผนสิ การที่ผมมาทำงานภาคสังคม มาทำงานสมาคมฯ เป็นการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เหมือนกับสั่งการชีวิตตัวเองไว้เลยว่าต้องมาเดินสายนี้ มันเสี่ยงเรื่องความมั่นคงอยู่บ้าง เพราะงานกึ่งๆ การเมือง ซึ่งมันจะไม่เป็นไปอย่างที่เรากำหนดได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ต่างจากภาคธุรกิจ ที่เราคิดเอง กำหนดเอง งานภาคสังคมต้องมีการตัดสินใจจากคนอื่นร่วมด้วย มีพวกพี่ๆ ที่ทำงานด้วยกัน เราวางแผนไว้แล้วตั้งแต่ปี 2544-2545 กำหนดล่วงหน้าไว้เป็นสิบปี ว่าผมจะมาเป็นนายกสมาคมคนตาบอดฯ และผมทำหน้าที่ของผม หาความรู้ หาเพื่อน สร้างเครือข่าย หาประสบการณ์ให้มากพอ ผมรู้ด้วยข้อมูล ว่าจากปี 2544 ถึงปี 2555 องค์กรแห่งนี้จะโตขึ้นขนาดไหน คนตาบอดกำลังจะเพิ่มขึ้นเท่าไร สังคมซับซ้อนขึ้นยังไง
ถ้าผมเป็นพวกโลกสวย หรือนั่งมโนฯ เอา ผมคงพาคนตาบอดไปไหนไม่ได้ไกล มองทิศทางไม่ถูกต้อง ซึ่งมันจะทำให้ทุกคนเสียเวลา นี่คือสิ่งที่ผมกำลังกลัว เมื่ออาสามาทำงานนี้ จะด้วยผมเองหรือแรงผลักรอบข้างอะไรก็ตาม มันเป็นความรับผิดชอบของชีวิต ผมแคร์สิ่งนี้มาก เพราะการที่เราจะเป็นผู้นำ เป็นเบอร์หนึ่งของคนตาบอด ถ้าเราไม่มีโปรไฟล์ เพื่อนสมาชิกไปเจอใครๆ เขาพูดถึงเราได้ไม่เต็มปาก ว่าคนนี้ไงนายกฯ ของกู (หัวเราะ) เขาไปโม้ใครไม่ได้ ไม่ใช่โม้หรอก ความหมายคือความภาคภูมิใจ นายกฯ ควรเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นได้ ต้องมีวินัย มีการฝึกตัวเอง ดัดแปลง ปรับปรุง ขัดเกลาตัวเอง
ตอนปี 2544 ผมยังห้าวๆ อยู่เลยนะ อาจกวนตีนมากกว่านี้ เพื่อจะได้ดูแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้เหลี่ยมนั้น เสี้ยนนั้น ผมพยายามไถออก สุขุม สุภาพ คิดเยอะขึ้น แต่ไม่ถึงกับต้องสูญเสียความเป็นตัวเอง ผมรู้ว่าชีวิตจริงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มอะไรเข้ามาทำให้เกิดความเท่าเทียม เสมอภาค เป็นเรื่องยากมาก ผมเข้าใจด้วยว่าไม่ใช่เรื่องที่ข้าราชการหรือนักการเมืองจะทำได้ ถ้าไม่มีคนกระตุ้น ผลักดัน หรือลงมือทำเอง ผมเคยคุยกับคนทำงานราชการ ถ้าเข้ามาทำงานช่วงหนึ่ง พักหนึ่งท่านก็ไป แต่พวกผมเป็นคนตาบอดตลอดชีวิตนะ สิ่งที่ท่านทำ ถ้าทำดี โอเค ถ้าไม่ดี ท่านไปแล้ว พวกผมอาจต้องรับกรรมในสิ่งที่ท่านทำไปตลอด ในด้านหนึ่ง
สิ่งที่พวกผมทำ ผมเข้ามาแก้บาปกรรมที่ท่านทำไว้กับคนสูงอายุ คนพิการ ที่อยู่ในกฎหมาย ที่มันกลายเป็นอุปสรรคสิ่งกีดขวางที่ทำให้เราไม่เท่าเทียม ผมต้องลบล้าง และไม่ให้เกิดขึ้นอีก
GM : ถ้าไม่สูญเสียดวงตา คุณคิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้ไหม ขอโทษนะ ไม่รู้ว่าถามแบบนี้เหมาะสมหรือเปล่า
ต่อพงศ์ : (หัวเราะ) นี่เป็นคำถามที่ท้าทายผมมาก และผมถามตัวเองว่าสิ่งที่มีและเป็นก่อนตาบอด เทียบกับสิ่งที่ผมมีและเป็นหลังตาบอด มีอะไรต่างกันบ้าง นอกจากตามองไม่เห็น สิ่งที่ต่างไปเลยคือผมไม่ได้ใช้ตานอกดู ผมใช้ตาในหรือจินตนาการดูแทน โลกทัศน์ไม่เหมือนเดิมแน่นอน คือโลกที่ใช้ความคิดดู สิ่งที่ยังมีเหมือนเดิมคือความห้าวหาญ กระตือรือร้น ไม่ยอมจำนน ชอบช่วยเหลือคนอื่น สิ่งเหล่านี้ผมมีอยู่แล้ว
ถ้าไม่ตาบอดเหรอ อืมม์…บางทีผมคิดว่าผมอาจไม่มีชื่อเสียง แต่คงไม่ล้มเหลวหรอกมั้ง พื้นฐานผมไม่ใช่คนชอบสร้างชื่อเสียง ไม่ต้องการความดัง แต่คิดว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ ต้องทำเพราะเราเป็นผู้นำ ต้องถ่ายทอดความคิดเพื่อให้คนอื่นเข้าใจคนตาบอด ถ้าผมไม่อยู่ในหน้าที่นี้ หรือถ้าตาไม่บอด ชีวิตคงไม่เดินมาทางงานภาคสังคม มั่นใจว่าเอาตัวรอดได้ เพราะถูกฝึกให้เอาตัวรอดมาตั้งแต่เด็ก แต่อาจจะร่อแร่หน่อย เพราะความตั้งใจด้านการเรียนคงไม่มากเท่านี้ ระยะหลังผมสังเกตว่าเวลาไปพูดที่ไหนแล้วคนอยากฟัง แน่นอนว่าการศึกษาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนยอมรับ ผมจบครุศาสตร์ ผมไม่ได้เป็นครู แต่ได้ความรู้ เอามาประยุกต์ใช้ทำงาน สรุปว่าน่าจะมีความสำเร็จในอีกแบบ คงไม่มากกว่านี้ แต่ไม่แน่ ไม่รู้วัดด้วยอะไร เงินหรือ คงไม่ใช่ จะวัดกันยังไง
A Strong Mind
GM : อยากให้เล่าย้อนกลับไปในปี 2535 หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น คุณลุกขึ้นจากความพ่ายแพ้ ความสูญเสียได้อย่างไร คนส่วนใหญ่คงทำใจไม่ได้แบบคุณ
ต่อพงศ์ : มันไม่ง่ายเลยนะครับ ช่วงแรกทุกคนจิตใจเปราะบางหมด รับไม่ได้กับคำว่าคนตาบอด รับไม่ได้กับรูปแบบชีวิตใหม่ เพราะยังมีภาพชีวิตแบบเดิมรบกวนอยู่ในใจ ลองนึกดู เมื่อก่อนตอนคุณนั่งกินกาแฟอยู่ริมถนน พอเห็นคนตาบอดเดินมาจะชนข้าวของ คุณรู้สึกสงสาร เห็นใจ กลัวแทนเขาใช่ไหม ผมเองก็เป็นแบบนี้ ผมเคยเป็นคนนั่งดูมาก่อน แต่เพียงแค่อีกวัน ผมกลายเป็นคนตาบอดคนนั้นเอง และมีคนอื่นมาดูผมแบบนั้น ผมจึงพอรู้ว่าสายตารอบข้างเป็นยังไง คนอื่นคิดอะไรเกี่ยวกับตัวผม อันนี้แหละที่ต้องใช้ความกล้ามาก กล้าขจัดความคิดนี้ออกไป กล้าเดินออกไปใช้ชีวิตในสังคม นี่คือความยากที่สุดในทางจิตใจ จะบอกว่าไม่คิดไม่ได้หรือ มันไม่คิดไม่ได้
ยังไงคุณก็คิด เพราะคุณรู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับคุณ เพราะเราทุกคนเคยคิด เราเคยมองคนตาบอดแล้วสงสารเขามาก่อน สำหรับบางคนที่ทนรับความคิดนี้ไม่ได้ เขาจะไม่อยากออกไปไหนอีกเลย เพราะทนไม่ได้กับสายตาคนอื่น ผมเชื่อว่ามีคนตาบอดหรือคนพิการจำนวนไม่น้อยที่เป็นแบบนั้น
GM : คุณเองก็เคยเป็นใช่ไหม แบบพวกที่ขังตัวเองในห้องนอนแล้วร้องไห้อะไรแบบนั้น
ต่อพงศ์ : อาจเคย แต่ผมเป็นคนประเภทที่อยู่บ้านไม่ถึงปี ก็อยากออกไปเรียนไม้เท้า ผมเคยนั่งกอดเข่าน้ำตาซึม เศร้าใจว่ามันยาก ชีวิตมันยาก
GM : แต่ใช้เวลาไม่ถึงปี
ต่อพงศ์ : ต้องให้เครดิตครอบครัว จากเด็กที่พ่อแม่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเพื่อดูแล แม่ก็ต้องมาดูแลผมมากขึ้น และเนื่องจากเป็นครอบครัวขยาย ในบ้านเราจึงมีหลายๆ คนช่วยกัน ถ้าอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยวแบบคนสมัยนี้ก็แย่เลยนะ เพราะการจะมีคนมาดูแลคนพิการคนหนึ่งในบ้าน อย่างน้อยก็ต้องเสียแรงงานไปอีกคนหนึ่ง หรือไม่งั้นก็ต้องใช้เงินจ้าง ถามว่าเอาเงินที่ไหน ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ โชคดีผมมีครอบครัวที่ดี แต่แค่นั้นไม่พอหรอก
ผมอยากจะบอกว่าชีวิตคนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่ไม่ใช่หวังมากๆ หวังสูง ที่อาจกลายเป็นความทะเยอทะยาน การมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง การเดินหน้ามันมีความหมาย พูดทางพระอาจบอกว่าเราทุกคนเดินไปหาความตาย แต่ถ้าพูดอีกมุมหนึ่ง คือเราเดินไปหาความเจริญด้วยเช่นกัน เราเดินหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โอกาสที่ดีขึ้น ผมคิดว่าก่อนที่ชีวิตของผมจะจมดิ่งลงไปด้วยการตาบอด ผมเห็นแสงแห่งความหวัง จุดนั้นคือจุดที่ช่วยชีวิตผม ทำให้พลิกกลับมา
GM : แสงแห่งความหวังนั้นมันเป็นยังไง
ต่อพงศ์ : มีคืนหนึ่ง ผมนอนอยู่ที่ห้อง ตอนนั้นเพิ่งตาบอดได้ไม่ถึงปี พ่อทำงานต่างจังหวัดและกลับมาถึงบ้านตอนกลางดึก เขาเปิดประตูเข้ามา มาเยี่ยมผมน่ะ เขาคิดว่าผมหลับอยู่ แต่จริงๆ ผมยังไม่หลับ ผมแค่นอนนิ่งๆ พ่อพูดกับแม่ว่า “เสียดายนะ ลูกคนนี้” คำพูดของพ่อกินใจผมเข้าไปลึกมาก เพราะในบรรดาพี่น้องสามคน มีผมคนเดียวที่ตามพ่อไปไหนต่อไหนตลอดตั้งแต่เด็ก เขาชอบพาผมไปอวดใครต่อใครว่านี่ลูกชายผม ผมคิดว่าถ้าผมยังตาดีๆ อยู่ พ่อก็คงจะยังพาผมไปด้วยทุกที่ แต่พอตาบอด พ่อจะคิดยังไง พ่อจะพาลูกคนนี้ไปอวดใครได้อย่างไร
พ่อเป็นคนสร้างผม เลี้ยงดูให้เติบโต พ่อลูกย่อมเป็นความหวังของกันและกัน เมื่อเขาพูดว่า น่าเสียดายนะ ลูกคนนี้ คำว่าเสียดายนี้ มันหมายความว่าอะไร คือเขาพลาดจากสิ่งที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า เขาหวังไว้ เขาผิดหวัง เขาจึงเสียดาย…การสะท้อนทัศนะที่ผมได้ยินโดยบังเอิญนั้น มันบาดลึกในใจมาก จากคนที่เคยเป็นความหวัง ผมไม่ใช่คนนั้นอีกแล้ว ผมกดดัน และคำพูดของพ่อในค่ำคืนวันนั้น ทำให้ผมมีฮึดกลับมา ตั้งใจว่าต้องกลับมาให้ได้ เดี๋ยวผมจะทำให้ดู กลับมาเป็นผมคนเดิม ซึ่งไม่มีอะไรมากเลยนะ ผมไม่ใช่คนเก่งอยู่แล้ว ไม่ใช่คนฉลาดอะไรเลย แค่ผมเป็นคนฮึดสู้ ก็ใช้ความฮึดนี่แหละ สิ่งเดิมที่ผมมี ตั้งใจว่าสักวันจะทำให้เป็นความหวังของพ่ออีกเรื่องหนึ่งคือการจัดการกับคำถามย้อนอดีต คำถามประเภทว่า ทำไม ทำไม ทำไม (หัวเราะ) นี่แหละปัญหาใหญ่มากของพวกคนพิการอย่างเรา ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าคุณจมอยู่กับคำถามประเภทนี้ มันไม่รู้จบหรอก พอนึกออกไหม ถ้าบอกว่าเพราะเหตุของการออกจากบ้านไปในคืนนั้นแล้วเจออุบัติเหตุ ผลที่ออกมาคือตาบอด คำว่าเหตุกับผล เมื่อเหตุตอนนั้นนำมาสู่ผลในตอนนี้แล้ว ผลนี้ก็จะเป็นเหตุของผลต่อๆ ไป เป็นห่วงโซ่ที่ร้อยต่อเชื่อมโยงกันไปในอนาคต ถ้าผลในตอนนี้คือตาบอด แล้วผมจะอ้างว่านี่เป็นเหตุให้ชีวิตต่อจากนี้ไปคือความฉิบหายตลอดไป ผมอ้างได้หรือเปล่า ใครเป็นคนสร้างเหตุในตอนนี้ ก็คือตัวผมเอง แค่เราตั้งใจทำเหตุในตอนนี้ ให้เป็นเหตุในทางบวก ผลก็น่าจะออกไปบวก ถ้าผลลัพธ์ว่าผมตาบอด กลายเป็นเหตุให้ผมใช้ชีวิตเละเทะ อยู่กับบ้าน นั่งปลง ทำใจไม่ได้ คิดย้อนอดีตหาเหตุผลบ้าบอคอแตก มันย่อมเกิดผลแย่ตามมาอีกแน่ๆ ในอนาคต ถามว่าผลแบบนี้ ใครมีความสุขบ้าง ผมคนหนึ่งละที่ไม่มีแน่ๆ พ่อแม่ก็ไม่มี ครอบครัวก็ไม่มี สังคมก็ไม่มี คนรักชีวิตอย่างผมจะทนได้หรือ ผมทนไม่ได้ ผมชอบชีวิตที่สนุกสนาน
GM : เราจะหยุดถามคำถามที่โทษอดีตของตัวเองเหล่านั้นได้อย่างไร และคำถามประเภทไหนที่เราควรจะย้อนถามตัวเอง
ต่อพงศ์ : เมื่อคุณโตแล้วจะแยกง่ายขึ้น ว่าอะไรคือเรื่องที่ถามแล้วเกิดความก้าวหน้า คลี่คลาย แบบนี้ควรถาม แต่ถ้าถามแล้วมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ อันนี้ไม่ควรถาม เช่น ถ้าคืนนั้นกูไม่ขับรถออกไป ทำไมกูต้องออกไปด้วยวะ ถามแบบนี้แล้วจะตอบยังไง ก็มันออกไปแล้ว ชนแล้ว ตาบอดแล้ว โดยหลักจิตวิทยาคนเรามักจะโทษคนอื่นก่อน น้อยคนนักที่จะยอมรับว่าตัวเองผิด แต่การหยุดตั้งคำถามและยอมรับความผิดพลาดของคนอื่น หรือแม้กระทั่งของตัวเอง นี่คือจุดตั้งต้นใหม่ หยุดตั้งคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ แล้วยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง ยอมรับโดยเชื่อมั่น ใจต้องยอมรับจริงๆ ของแบบนี้เกี่ยวกับใจทั้งสิ้น และข้อสำคัญที่สุดคือให้อภัยตัวเอง คนจำนวนมากอาจจะยอมรับในความผิด แต่ไม่ให้อภัยตัวเอง มันเลยจมอยู่แบบนั้น
GM : คุณให้อภัยตัวเองหรือยัง
ต่อพงศ์ : ผมให้อภัยตัวเอง ผมขอโทษตัวเอง กว่าผมจะผลิตความคิดชุดนี้ได้ ผมใช้เวลา 20 ปีหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น (หัวเราะ) กว่าผมจะนั่งคิดได้ว่าอะไรคืออะไร เชื่อไหมว่าผมนอนฝันเป็นประจำติดต่อกัน ฝันว่าขับรถแล้วเหยียบเบรก แต่ทำไมมันไม่หยุด มันปรากฏขึ้นในสมองราวๆ สี่ห้าปีหลังจากอุบัติเหตุ เป็นสิ่งที่ฝังในจิตใต้สำนึกที่ลึกมาก นั่นอาจเป็นภาพที่ผมเห็นตอนรถกำลังจะชน ผมฝันว่าเหยียบเบรกแล้วไม่อยู่ ฝันแบบนี้เป็นประจำ ลึกๆ ลึกที่สุด ภาพที่ลึกที่สุดที่ปรากฏในฝัน มันเกิดจากการที่เรายังโทษตัวเองอยู่ ว่าตอนที่ชนนั้น ผมเหยียบเบรกหรือเปล่า ไม่รู้สิ
แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ แม้เราจะใช้ความคิดแง่บวก การใช้เหตุใช้ผล ไม่โทษตัวเอง พยายามมีชีวิตใหม่ ยิ้ม เบิกบานไป แต่บางทีเราต้องยอมรับว่ามันซ่อนอยู่ข้างในใจ เราต้องอยู่เหนือใจตัวเอง ต้องเข้าใจว่าประสบการณ์เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับผิด ไม่เข้มแข็ง และไม่ให้อภัยตัวเอง ภาพที่เบรกไม่หยุดนั้นก็อาจจะกลับมาทำร้ายผมไม่จบสิ้น เราจะถามซ้ำๆ อยู่นั่นแหละว่าทำไม ทำไม ทำไม เหมือนมีเมล็ดพันธุ์บางอย่างฝังอยู่ข้างใน เหมือนเป็นเชื้อโรคที่แฝงไว้ในตัว
GM : คุณคิดว่าเรื่องศาสนามีส่วนช่วยตรงนี้ไหม ได้ยินว่าคุณชอบสะสมพระเครื่อง
ต่อพงศ์ : เรื่องพระเครื่องที่ว่า ผมสนใจในมิติอื่นๆ คือ เรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี สังคม สภาพเศรษฐกิจ เทคโนโลยี มันน่าสนใจ แต่ถ้าถามในเรื่องของศาสนา ผมเป็นคนตาบอดที่เคยบวชเมื่อปี 2542 จริงๆ คนตาบอดคงบวชไม่ได้ แต่พระท่านตีความว่าไม่ได้พิการตั้งแต่เกิด เลยอนุโลมให้ ผมบวชอยู่เกือบเดือนที่กาญจนบุรี นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ผมท้าทายตัวเอง ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ผมมีชีวิตอยู่หลังได้รับอุบัติเหตุ ผมอยู่ภายใต้การดูแลของครอบครัว เรียนหนังสืออยู่ภายใต้ขอบเขตบางอย่าง เรียกว่าการช่วยเหลือต่างๆ มันเข้าไปถึง แต่การไปบวชอยู่เมืองกาญจน์ คือตัดขาดจากความโยงใยระบบครอบครัว ไปอยู่ในสังคมใหม่ สถานะใหม่
GM : ทำไมคุณถึงอยากบวช และได้อะไรบ้าง
ต่อพงศ์ : เป็นความมุ่งมั่นของผม อยากบวชให้พ่อแม่ ตามวิถีลูกผู้ชายไทย ผมได้อะไรเยอะมากจากการบวช ได้โคตรเยอะ ได้ทบทวนตัวเอง ได้อยู่นิ่งๆ สิ่งที่ผมบวชแล้วแตกต่างจากพระรูปอื่น คือผมต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมกับคนอื่นตลอด พระบางรูปบวชแล้วได้สันโดษ อยู่โดยลำพัง แต่ผมอยู่แบบนั้นไม่ได้ เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มันเป็นวิถีการวางตัวที่ลึกล้ำมาก ขณะที่เป็นพระก็ต้องวางตัวทำให้คนอื่นเมตตาเรา จะบอกว่าต้องทำให้เขาช่วยเหลือ ก็ไม่เชิง แต่ทำยังไงให้เขาเมตตาเรา เป็นจุดท้าทายมาก และผมคิดว่าผมทำสำเร็จ พระรูปอื่นท่านเมตตาผม ตอนเช้าผมเดินเกาะพระรูปอื่นไปบิณฑบาต บ่ายนั่งสนทนาธรรม เอาธรรมะมาถกเถียงกัน คือที่สุดแล้ว ความเป็นพระก็คือการพัฒนาปัญญา เมื่อมีกิจกรรมที่พัฒนาปัญญาร่วมกัน คนอื่นก็มองทะลุภาพพระตาบอดไป เขาเข้าถึงสิ่งที่เป็นเรา สิ่งที่เราคิด มันนำไปสู่ความคุ้นเคย เป็นกันเอง เมตตาต่อกัน
อีกจุดที่ทำให้ผมจี๊ดมากๆ เลย คือตอนที่บวชอยู่เมืองกาญจน์ก็ว่าได้เจอระดับหนึ่งแล้ว พอย้ายมากรุงเทพฯ มาอยู่วัดสุวรรณาราม เจ้าอาวาสเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อายุเกือบร้อยแล้ว วิถีของพระอย่างหนึ่งคือการสวดปาติโมกข์ ผมเข้าไปในโบสถ์ขนาดใหญ่ที่มีพระเป็นร้อย ผมมาใหม่ก็ไม่รู้จักใครเลย ไม่รู้ว่าเขาสวดอะไร ไม่รู้ขั้นตอน คือใหม่หมดทุกอย่าง เหมือนนั่งอยู่คนเดียว ตาก็มองไม่เห็น โอ้โฮ! ตอนไหนต้องก้มกราบ ตอนไหนต้องลุกขึ้น ไม่รู้ทั้งนั้น ใช้แต่หู สัมผัสสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ตอนนั้นผมกลัวมากๆ กลัวเพราะต้องอยู่ในที่ที่เราไม่เข้ากับสิ่งแวดล้อมเลย ความกลัวเกิดขึ้นจากเรากำลังผิดวิถี เราเข้ากับวิถีของคนอื่นเขาไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ ว่าตรงนั้นคืออะไร ตาก็บอด พระก็ไม่เคยเป็น คนก็ไม่รู้จัก เข้าใจไหมว่าในบรรยากาศนั้นยังมีเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์อีก นั่งอยู่หน้าพระประธาน
องค์เบ้อเร่อ
นั่นเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผมต่อยอดความคิดมาใช้ในปัจจุบัน ผมถึงเกิดประกายความคิดว่าต้องเอาชนะความกลัวภายในใจให้ได้ คือนึกย้อนกลับไป ตอนอยู่ในโบสถ์ผมอาจขาดสติ หรือตอนนั้นยังมีไม่พอ เพราะว่าสติผม
ควานหาภาคปัญญาไม่เจอ เมื่อดึงปัญญาออกมาใช้ไม่ได้ จริงๆ ก็ยังต้องควบคุมสติอยู่ แต่ผมเหมือนกับว่าทำไมกูกลัวขนาดนี้ ไม่ถึงกับจะร้องไห้นะ แต่มันเหมือนหนัก หนักมากๆ ผมตั้งคำถามว่ากูกลัวอะไรวะ ตอบง่ายๆ ได้ว่ากลัวทำผิด กลัวสะเหล่อ กลัวเสียเซลฟ์ เหตุการณ์วันนั้น ถ้าใจปล่อยวางหรือใจว่างจริง ผมจะไม่กลัว เพราะไม่มีผิด ไม่มีถูก พิธีกรรมต่างๆ ทุกอย่างมันก็สมมุติขึ้นมาทั้งนั้น ในเมื่อเราไม่รู้ก็คือไม่รู้ ตัวนี้เป็นผลที่ได้จากการไปบวช ถ้าทำจิตให้ว่าง ถ้าใจว่างจะเห็นเหตุการณ์นั้นเป็นอีกแบบหนึ่ง ถ้ามองด้วยปัญญา เราจะไม่มีความกลัว ไม่ยอมให้สภาพแวดล้อมภายนอกมามีอิทธิพลเหนือจิตใจ
นึกออกไหมว่าผมผ่านประสบการณ์ร้ายๆ มาเยอะ จนพอตาบอดก็บอกไม่กลัวๆ แต่ผมกลับกลัวตอนนั่งอยู่ในโบสถ์วันนั้น เรารู้ว่ายังมีความกลัวอยู่ ผมเลยมีแนวคิดขึ้นมาว่าเพราะความไม่รู้ ผมถึงกลัว พอกลัวก็ทำให้เกิดความลังเล ไม่รู้จะไปทางไหน ตัดสินใจยังไง ความลังเลนี่ถ้าเป็นการทำงาน มันจะนำไปสู่ความฉิบหายได้เลย จะทำงานใหญ่ แต่ยังลังเล เตรียมตัวฉิบหายได้ แต่หากพลิกอีกทาง เมื่อไม่กลัวคือต้องทำให้รู้ก่อน พอรู้ มันจะเปลี่ยนจากกลัวเป็นกล้า หรือมั่นใจ พอมั่นใจจะไม่ลังเล ผมเชื่อมั่นว่าการงานต่างๆ มีแนวโน้มจะสำเร็จ สำเร็จมากน้อยไม่รู้ แต่คงไม่ฉิบหาย ผมสอนน้องๆ ว่าความรู้เอาชนะความกลัว ความรู้สร้างความมั่นใจ ความรู้สร้างความกล้า ไม่มีใครช่วยใครได้ ต้องทำเอง ช่วยตัวเองเท่านั้น เพราะต่างคนต่างมีวิถีชีวิต ไม่มีใครมีชีวิตเหมือนกัน คุณต้องรู้ตัวเองด้วยตัวเองว่าจะเรียนรู้อะไร นี่คือสิ่งที่ได้จากการบวชเมื่อเช้านี้ผมเพิ่งไปร่วมงานแต่งงานเพื่อน ไปเพื่อช่วยโห่ให้เขาโดยเฉพาะ (หัวเราะ) เพราะไม่มีใครกล้าโห่ไง เขาจัดงานที่โรงแรมแชงกรี-ลา เป็นคุณ คุณกล้าไหม ธรรมเนียมไทยเราต้องมีการโห่ให้ชาวบ้านรับรู้ เพื่อนมันบอกว่าไม่มีใครช่วยเลย ไม่มีใครกล้าโห่ในงานเลย มีผมคนเดียว ผมนึกในใจ ว่าถ้ามึงไม่มีกู มึงจะแต่งงานกันได้ไหมเนี่ย (หัวเราะ) ทำไมกูต้องกล้าคนเดียวด้วย แล้วเสียงผมตอนนี้ก็ไม่เหมือนวัยรุ่นแล้ว เสียงเป็นควาย แต่เอาก็เอาวะ พอมีคำว่ากล้า คือชนะความกลัวไง
ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสเขียนหนังสือ ผมจะเขียนหนังสือว่าด้วยความกล้า คู่กับความกลัว ชีวิตเดินด้วยความกล้า ถ้าไม่ประมาทนะ คุณจะเพอร์เฟ็กต์เลย กล้าและต้องมีความรู้นะครับ การจะมีความรู้ก็ต้องฝึกฝน ฝึกหนัก ลองผิดลองถูก คนจะกล้าได้ต้องเคยล้มเหลว ถ้าเคยแต่สำเร็จ มันไม่กล้าหรอก เพราะกลัวสูญเสียไง คนจะกล้าได้มันต้องชั่งใจ ถ้าตัดสินใจไปแล้วแปลว่าต้องได้ ต้องสำเร็จ ถ้ากล้าไปแล้วตาย ไม่เรียกกล้า เขาเรียกโง่ ความกล้าต้องเกิดมาจากการฝึกฝน ชีวิตนี้ถ้ายืนบนความกลัว เราจะไปไหนไม่ได้เลย อย่างผมเอง ก็ต้องมีความกล้าที่จะออกไปถนน ผมระวัง ไม่ประมาท พลาดเมื่อไร นั่นคืออุบัติเหตุ พลาดหรือประมาท อุบัติเหตุมาทันที คนตาบอดเป็นวิถีชีวิตที่บังคับให้เดินอยู่บนสติเท่านั้น
GM : ทุกวันนี้ออกมาข้างนอกบ้านแล้วเกิดอุบัติเหตุบ้างไหม
ต่อพงศ์ : เคย (เน้นเสียง) หน้าบ้านนี่เลย ฝาท่อเปิดอยู่ คือเขายกตั้งไว้ ไม่ได้ปิดสนิท ผมก้าวซ้าย พอขาทิ่มลง หน้าอกฟาดปากท่อ ตีโค้งลงไป แทบจะจุกตาย ดีซี่โครงไม่หัก อีกครั้งหนึ่ง ตอนไปจีบสาว หลังจากที่ตาบอดไปพักหนึ่ง ก็ออกเดินทางเก่งแล้ว ผมเป็นนักเดินทางมืออาชีพ ขึ้นรถ ลงเรือ ไปได้ทุกที่ บางคนบอกว่าทุกวันนี้เติ๊ดมันสบายแล้ว มีเลขาฯ มีคนช่วยขับรถ แหม! เขาไม่รู้หรอก กว่าจะมาถึงวันนี้ ผมผ่านอะไรมาบ้าง (หัวเราะ)จะเล่าให้ฟังถึงตอนไปจีบสาว บ้านสาวอยู่ในสวนลึกๆ แถวประชาอุทิศ ข้างหน้าเป็นตึก ข้างหลังเป็นสวน น้ำท่วม เขาปักเสาไว้ มีไม้กระดานแผ่นเดียว เดินเข้าไปสองร้อยเมตร ผมเดินจีบสาวคนนี้อยู่เป็นปี
GM : ทำไมต้องทุ่มเทขนาดนั้น
ต่อพงศ์ : พี่สาวเขาเป็นเพื่อนผม เราจะจีบน้องเขา ก็ต้องลงทุนหน่อยสิ มีครั้งหนึ่งผมเดินใจลอย ก้าวขาหนึ่งพลาด ตีลังกาลงคลองเลย (หัวเราะสะใจ) ตอนประมาณห้าทุ่ม แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้ผมพิชิตใจเธอได้ กลับบ้านจอกแหนเต็มตัว เจอมาเยอะครับ เรื่องหมาก็เจอประจำ ซอยทุกซอยน่าจะมีหมาประจำซอย เวลาเดินผ่านฝูงมันจะพากันรุมเห่า ผมคิดในใจ มึงอย่ามายุ่งกับกูนะ กูสู้ตายนะไอ้เ_ี้ย แต่โดยทั่วไปหมามันก็ไม่ทำอะไรเราหรอก
มีอีกครั้งหนึ่งที่ขาดสติ คือปกติเดินไปหน้าปากซอยมันเป็นบาทวิถีใช่ไหม เราจะหยุด โบกแท็กซี่อะไรก็ว่าไป วันนั้นเดินไปแล้วไม่หยุด เดินเลยไปกลางถนน แถวประชาอุทิศนี่แหละ ดึกแล้วด้วย เดินใจลอย แล้วจู่ๆ ผมได้ยินเสียงรถวิ่งผ่านไปข้างหลัง ถึงรู้ตัวว่า ไอ้เ_ี้ย กูอยู่กลางถนน (หัวเราะ) ลมผ่านหลังวูบ พอสติกลับมา จะเดินไปต่อก็ไม่กล้าไป จะถอยกลับก็ไม่ได้ งง ถอยไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ได้ ตัดสินใจเรียกแท็กซี่กลางถนนนั่นแหละ
เท่าที่จำได้ ท่านพุทธทาสอธิบายเรื่องสติว่ามีความหมายเดียวกับลูกศร คือความเร็วและเส้นทาง สติในทางพุทธคือเครื่องมือในการใช้ปัญญา ปัญญาคือสิ่งอยู่ในสมอง ภาวะมีสติคือเมื่อเราปะทะกับสิ่งหนึ่ง เราจะดึงข้อมูลจากปัญญาที่มีอยู่มาใช้ ถ้าขาดสติ เราจะสูญเสียการใช้ปัญญากับเหตุการณ์ตรงหน้า คนตาบอดไม่ได้ใช้ตานำทาง เราใช้พื้นรองเท้าสัมผัสพื้นดิน ใช้เสียงนำทาง เราจึงต้องใช้สติตลอดเวลา เพื่อตอบคำถามกับสิ่งที่เราเผชิญอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา ถ้าขาดสติ ก็คือขาดปัญญา เราก็พลาด เกิดอุบัติเหตุง่ายๆ สติสำคัญกับคนตาบอดมาก
GM : เมื่อใช้สติในการเดินจนชิน คุณคงใช้สติกับการแก้ปัญหาอื่นๆ ได้ดีขึ้นด้วยใช่ไหม
ต่อพงศ์ : คนเราก็มีหลายแบบนะ ผมมีเพื่อนรุ่นน้องสองคนที่เรียนด้วยกัน คนหนึ่งสมองซีกซ้ายคงโตเยอะ สมองซีกขวาโตน้อย ไอ้นี่ทำอะไรก็จะคิดถึงแต่ปัญหา เอาแต่ถาม ถาม ถาม เทียบกับรุ่นน้องอีกคน เจ้าคนนี้คงจินตนาการโต แต่เหตุผลไม่โต ก็ได้แต่จินตนาการ สรุปว่าทั้งสองคนนี้ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ผมว่าชีวิตมันเป็นเรื่องของคำถามกับคำตอบ ต้องมีทั้งเหตุผลและจินตนาการ ปัญหาของเราส่วนใหญ่คือไม่ค่อยตั้งคำถาม หรือพอมีคำถามก็ไม่พยายามหาคำตอบ
ถ้ารู้จักตั้งคำถามและรู้จักหาคำตอบ ชีวิตเราจะไหลไปได้เรื่อยๆ ผมสนุกกับการตั้งคำถามมาก ผมเป็นทั้งนักตั้งคำถามตัวยง และนักหาคำตอบตัวยง คนรอบๆ ตัวเขารู้ว่าผมเป็นนักจับประเด็นแห่งชาติ ผมตั้งคำถามได้และหาคำตอบได้เองด้วย ไม่ว่าในอินเทอร์เน็ต หรือไปคุยไปฟังกับท่านผู้รู้ เมื่อเช้าผมดูในยูทูบ นั่งดูคลิปของมือเบสเก่งๆ อยู่ชั่วโมงครึ่ง คือจะบอกว่าวิธีหาคำตอบในยุคนี้มันมีมากมายมหาศาล ถ้าคุณหาเป็น เทคโนโลยีเปิดกว้างมาก น้องผมสองคนที่ว่า ไอ้ฝั่งที่เหตุผลเยอะ มึงควรไปหาทางทำให้จินตนาการเติบโต อีกฝั่งก็ต้องหาทางทำให้การใช้เหตุผลเติบโต ไม่งั้นชีวิตจะไปไม่ถึงไหน ทำอะไรไม่ได้ จินตนาการคนเราจะสำเร็จได้ต้องใช้เหตุผลรองรับ ใช้เหตุผลสร้างวิธีการ เดินไปสู่เป้าหมาย จินตนาการสำเร็จไม่ได้โดยตัวมันเอง ต้องมีฮาวทู คือความรู้ เหตุผล ตรรกะ และข้อมูล
Love, Life, andFriendship
GM : ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เคยเขียนถึงตัวละครตัวหนึ่ง ว่าดำรงชีวิตด้วยกฎสามข้อ คือ เหล้า ดนตรี และผู้หญิง ถ้าใช้สามข้อนี้มาถามคนตาบอดอย่างคุณ คุณคิดว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ต่อพงศ์ : ถือว่าเราเป็นคนใกล้เคียงกันนะ (หัวเราะ) ดนตรีตรงกันเป๊ะคือขาดไม่ได้ เหล้านี่ผมหัดกินตั้งแต่สิบหก ประมาณนั้น ถึงตอนนี้กินมาแล้ว 23 ปี แต่คุณเชื่อไหม ผมเคยกินเหล้าคนเดียวแค่สองครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่ตาบอดใหม่ๆ ลองฝึกกิน ไปซื้อเบียร์มากิน ฝึกกินเบียร์ สามขวดก็อ้วกแตก กับอีกครั้งหนึ่งตอนอายุสัก 26-27 ปี เห็นน้าๆ เขามากินเหล้า ผมเลยลองบ้าง ทำได้ครั้งสองครั้งก็ไม่เอาแล้ว พบแล้วว่าการกินเหล้าคนเดียวที่บ้านนี่ไม่ใช่กู รับประกันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่ใช่ ตอนกลางวันผมก็ไม่กินเหล้า ถ้าไม่ On ก็ Off ผมใช้คำนี้ ถ้ากินคือเมาไปเลย ถ้าไม่กินก็ไม่กิน ผมไม่ใช่คนมานั่งละเลียด ค่อยๆ จิบเบียร์ ถ้าจะกิน ก็ว่ากันเป็นลัง
GM : คือเป็นคนเอาจริงเอาจังกับทุกเรื่อง
ต่อพงศ์ : เอาจริง (หัวเราะ) เอาให้มันสุดติ่งกันไปเลย ใครชวนกูไปทำอะไรเล่นๆ ไม่ได้นะ มึงกำลังเล่นกับไฟอยู่นะ (หัวเราะ) ผมชอบกินเหล้ากับเพื่อน ศีลของผมคือเพื่อน มิตรภาพ และคนในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์คืออันดับหนึ่ง ผมอยู่ได้ด้วยการแบ่งปันความรู้สึกระหว่างกันกับคนรอบข้าง กับเพื่อนๆ ความรู้สึกเมื่อผ่านสุรามันจะช่วยลดระยะห่าง ลดความระมัดระวัง มีเรื่องจริงเยอะ เรื่องดิบๆ เยอะ ผมชอบฟีลนั้นส่วนเรื่องดนตรี วัยเด็กอาจไม่ตรงนัก แต่ปัจจุบันผมสัมผัสได้เยอะขึ้น เรียกว่าขาดไม่ได้ทั้งการเล่นและการฟัง ทั้งเล่นและฟังคือการพักผ่อน ผมเชื่อว่าชีวิตคนเรามันต้องสนุก ดนตรีคือความสุข คือความสนุกของชีวิต อีกอย่าง มันเข้าทางผมด้วย การฟังเพลงไม่ต้องใช้ตามอง ฟังเฉยๆ ก็ได้ ฟังแล้วคิดก็ได้ ผมฟังเพลงเยอะ ฟังได้ทุกแนว ดนตรีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
GM: แล้วผู้หญิงล่ะ
ต่อพงศ์ : ผมเป็นผู้ชาย ก็จำเป็นต้องมีเรื่องผู้หญิง คำว่าผู้หญิงที่คุณถามนี่หมายถึงเซ็กซ์ใช่ไหม หรือแฟน
GM : ก็ทุกอย่าง
ต่อพงศ์ : (คิดอยู่นาน) ผมขอเล่าแบบนี้ก็แล้วกัน พ่อผมทำงานอยู่ต่างจังหวัด ผมโตมากับแม่ กับยาย กับน้าสาว กับพี่สาวน้องสาว บ้านผมมีลูกพี่ลูกน้อง
ที่เป็นผู้หญิงเยอะมาก ในทางครอบครัว ผมจึงไม่แบ่งเพศนะ ผมมองเป็นองค์ประกอบว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนอวัยวะ เราจำเป็นต้องมีติ่งหู ถามว่าต้องใช้ติ่งหูตลอดเวลาไหม ไม่จำเป็น แต่ถ้าเราไม่มี มันแหว่ง มันขาดไป แต่ผมไม่ได้ว่าผู้หญิงเป็นติ่งหูนะครับ ผมพยายามจะเปรียบเทียบว่าเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยตลอดเวลา ยิ่งถ้าเปรียบเป็นอวัยวะภายในยิ่งแล้วใหญ่ คือบางทีเราไม่รู้หน้าที่ของอวัยวะภายในนะ แต่พวกเขาคือส่วนประกอบสำคัญในชีวิต ความเรียบร้อย อาหารการกิน รสชาติในฝีมือ มันมาจากองค์ประกอบต่างๆ ที่พ่อแม่พี่น้อง รวมทั้งสตรีหล่อหลอมผมมาให้เป็นแบบนี้แม่ผมทำอาหารอร่อย ตั้งแต่ผมเรียนหนังสือ แม่ทำน้ำพริกตาแดงให้ไปแจกเพื่อนๆ และคนรู้จักทุกปีใหม่ น้ำพริกตาแดงบ้านสวนแม่ต้อย ผมแจกตั้งแต่อาจารย์ เพื่อน พี่ น้อง คนในสมาคมฯ แจกมาจนถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 17 ปีแล้ว เป็นที่รับรู้กันว่าทุกวันขึ้นปีใหม่ ผมมีของขวัญเป็นน้ำพริก คลุกข้าวได้ ใส่ต้มยำได้ ผัดหอยลายได้ บางคนเอาไปทาขนมปัง หรือบางคนใช้ผสมน้ำปลากับมะนาวทำแจ่ว ประยุกต์ได้หลายอย่าง น้ำพริกของแม่ผมใช้วัตถุดิบพรีเมียมทุกอย่าง กุ้งแห้งอย่างดี ปีที่ผ่านมา ผมแจกน้ำพริกไปแล้วประมาณ 800 กระปุก คนที่กินแล้วชอบ เขาจะถามว่าวางขายที่ไหน ผมบอกไม่ขายครับ แจกอย่างเดียว ผมภูมิใจที่มีแม่ใจดี มีฝีมือ แม่ดูแล เอาใจใส่ผมดียิ่ง ผมพรีเซ้นต์แม่ตลอด ไปงานสมาคมฯ ผมอยู่กับแม่ตลอด ความเป็นตัวผมจึงประกอบด้วยความเป็นผู้หญิงแน่นอนฉะนั้น ผมชอบเสียงเพราะๆ ความเป็นผู้หญิงเป็นสิ่งที่ผู้ชายอย่างผมยิ้มได้ ผมมีความสุขกับการเอาใจผู้หญิง พูดมายาวขนาดนี้คุณคิดว่าผมจะขาดผู้หญิงได้ไหม คงขาดผู้ชายได้มากกว่ามั้ง (หัวเราะ) ไม่ได้ๆ ผู้หญิงไม่ชอบกินเหล้า ในขณะที่พวกผู้ชายไม่ชอบทำบุญ ชีวิตผมทั้งกินเหล้าและทำบุญ ต้องมีสองอย่าง กินเหล้ากับผู้ชาย และพาสาวๆ ไปทำบุญ
GM : คือแค่จะถามว่า สำหรับคนตาบอด เขามีความสุขกับเรื่องเซ็กซ์เหมือนหรือแตกต่างไป
ต่อพงศ์ : คือยังไง
GM : คือรู้สึกว่าเต็มอิ่มไหม เพียงพอไหม
ต่อพงศ์ : มันไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์หรอก ผมว่าคนทั่วไปใช้ดวงตาถ่ายทอดความรู้สึกเยอะ ผมก็อยากใช้ดวงตาถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ ให้กับคนที่ผมรักเหมือนกัน สบตากันขณะมีความสุข หรือทุกข์ก็ตาม แต่ผมมองไม่เห็น ผมทำไม่ได้ ผมต้องใช้เสียงแทน ผมต้องดีไซน์ ทำให้เสียงแทนค่าของการกระทำ ความรู้สึกผมแทนค่าด้วยการแสดงออกทางสายตา สิ่งที่หายไปคือสิ่งนี้ ถ้าจะต้องเติมเต็ม อาจเติมเต็มด้วย… ถ้าคิดในทฤษฎีของผม ผมว่าพวกเรามีอวัยวะครบสามสิบเอ็ด แฟนผมก็อย่าไปคิดว่าเขามีตา คิดว่าเรารู้จักกันในมิติที่ครบสามสิบเอ็ด ฟังดูเหมือนเอาเปรียบเขา แต่จริงๆ ไม่ได้เอาเปรียบ
ตัวแปรของผมคือเสียง เสียงมีความหมายมหาศาล ผมเสพความงามจากเสียง ผมชอบนะ เสียงสวยๆ น่ารัก เสียงเป็นสิ่งจรรโลงใจ ทำให้เกิดภวังค์ เหมือนเราฟังเพลงที่บันทึกเสียงดีๆ ใส ชื่นฉ่ำ เหนื่อยๆ มาเปิดฟังแล้วเหมือนได้น้ำทิพย์จรรโลงใจ เพลงเดียว เราหายเหนื่อยเลย ดื่มด่ำ ลงลึก กระทบถึงความรู้สึกภายใน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบางคนจึงยอมจ่ายค่าเครื่องเสียงเป็นล้านๆ เพราะมันคือคุณค่า ไม่ได้หมายถึงราคานะ แต่แน่นอนว่าคุณค่าระดับนั้น ต้องใช้ราคาเสียงผู้หญิงก็เหมือนกัน คุณภาพเสียงดี แค่ฟังเสียงก็ดื่มด่ำแล้ว คุณอาจจะชอบผู้หญิงที่รอยยิ้ม คุณดื่มด่ำในรอยยิ้ม เราเสพกันคนละอย่าง ผมไม่สนใจเรื่องผิวขาวหรือดำ ผมสนใจเรื่องเสียง เสียงเป็นตัวที่สร้างไม่ได้ ปรับไม่ได้ มันเป็นเหมือนแววตาที่หลอกกันไม่ได้ คนตาบอดให้ความสำคัญกับเสียงมากถ้าจะให้สมบูรณ์แบบกว่านั้น ผมว่าสัมผัสสำคัญที่สุดสำหรับเซ็กซ์ คนมองตากันก็สัมผัสความรักความห่วงใยได้ แต่สำหรับผม การจับมือกันถ่ายทอดความห่วงใยได้เหมือนกัน น้ำหนัก อุณหภูมิร่างกาย ก็ถ่ายทอดความปรารถนาดีระหว่างกันได้ ในทัศนะผม สัมผัสสำคัญที่สุด สิ่งที่ต้องมีคือสัมผัส อื่นๆ คือส่วนประกอบ ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องสัมผัส และบางทีผมอาจสัมผัสดีกว่าคนอื่นก็ได้ ผมเข้าถึงความเนียนของผิวฝ่ามือสุภาพสตรีที่น่ารักได้มากกว่าคุณ แต่ผมไม่รู้หรอกว่าผิวขาวโอโม่คืออะไร จุกชมพูคือแบบไหน ศัพท์เทคนิคพวกนี้ผมไม่รู้ (หัวเราะ) จุดที่คุณถือว่าเป็นปัญหา ไม่ใช่ปัญหาของคนตาบอด เนื่องจากเรามองไม่เห็น
ถ้าไม่มั่นใจในตัวเอง เราจะโดนความคิดอื่นมาแทรกง่ายมาก ยิ่งเรื่องความรัก คำวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งที่ทำร้าย ทำลายความรู้สึกมากๆ ถ้าไม่หนักแน่น ถ้าผมมีแฟน แฟนผมตาดี ผมต้องยอมรับและเข้าใจแฟนมากๆ ว่าเป็นคนกล้าหาญ เพราะแฟนผมคงต้องทนคำวิจารณ์มากๆ ว่าไม่มีผู้ชายให้เลือกแล้วเหรอวะ ผมไม่รู้ว่าชีวิตมนุษย์ สิ่งที่ต้องการจริงๆ คืออะไร ถ้าคำตอบคือความเข้าใจ ความสุข ความปรารถนาดี ความดูแลเอาใจใส่ ผมคิดว่าผมมีครบสำหรับผู้หญิงที่ผมแต่งงานด้วย ผมบอกเลยตั้งแต่ต้นว่าผมดูแลเขาเต็มที่ เมื่อเรามีลูก ลูกก็ต้องภูมิใจที่มีพ่อชื่อต่อพงศ์ ไม่ต้องอาย เหมือนผมภูมิใจในพ่อแม่ ผมต้องทำให้กับลูกผมได้
สิ่งที่ผมทำให้คุณไม่ได้ คือพาคุณขับรถไปกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ผมเดินไปตักให้คุณไม่ได้ ตักป้อนปากไม่ได้ ผมอาจจะตักได้ ถ้าคุณทนหรือยอมรับความเป็นผม แต่ผมแกะปูแกะกุ้งให้คุณได้นะ ผมเป็นเซียน ทำให้ได้ เซียนเลยละ เรื่องชีวิตส่วนตัว เนื่องจากผมทำงานกับส่วนรวม อาจมีคนช่วยผมในหลายเรื่อง ผมอาจจะขาดความเป็นส่วนตัวบ้าง มันอาจจะเกี่ยวกับตาบอดก็ใช่ คือเอาเป็นว่าผมคบคุณ ผมเต็มที่ พยายามทำทุกอย่างให้คุณมีความสุข ผมอาจจะตักแกงในหม้อต้มยำร้อนๆ แบ่งให้ไม่ได้ แต่ผมแกะกุ้ง ปู หอย ได้เหมือนคนทั่วไป ความโรแมนติก ความรัก ผมมีให้เหมือนคนทั่วไป แต่ก็ต้องเข้าใจว่าทุกคนมีข้อจำกัด และผมจะทำเต็มที่ ผมมั่นใจว่าถ้าเธอเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เธอจะมีความสุขที่อยู่กับผม หัวเราะขำได้ตลอดเวลา
GM : เสน่ห์ที่แท้จริงของคนเราน่าจะอยู่ที่เสียงหัวเราะนะ
ต่อพงศ์ : ถ้าฟังผมบรรยาย ไม่เกินสิบนาทีต้องมีการขำ ผมอำคนนั้นคนนี้ ถ้าเริ่มเครียดเมื่อไร ผมต้องทำให้ขำ เพราะผมต้องการขำ ชอบสร้างรอยยิ้ม ผมชอบเอาใจใส่กับความรู้สึกของคนอื่น นี่เป็นสันดานผม ผมไม่เกรงใจและไม่อายที่จะบอกว่าผมชอบกวนตีนคนอื่น (หัวเราะ) ผมว่าตอนนี้ปัญหาของผู้ชายและผู้หญิงด้วย เอาเป็นว่าของทุกคนในยุคนี้ คือเราอยู่ในสังคมก้มหน้า เราแช็ตกันจนคนที่อยู่ข้างๆ กลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้
: เวลาคุยกับคนอื่น คนไหนเจ้าเล่ห์ คนไหนเป็นคนดี สามารถแยกแยะออกไหม
ต่อพงศ์ : ก็ตั้งข้อสังเกตจากน้ำเสียง ในน้ำเสียงของทุกคนมีความรู้สึก
แฝงอยู่ มีประสบการณ์ชีวิตแฝงอยู่ เสียงที่เกิดจากความอึดอัด เสียงที่เกิดจากความหยิ่งทะนง เสียงที่เกิดจากเงื่อนปมในใจ เสียงที่แสดงออกมาอย่าง
ไม่ตรงไปตรงมา จะบอกให้ว่าพวกผมสามารถสัมผัสได้ ผมจึงพรีเซ้นต์ตัวเองแบบตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน พูดเสียงดังฟังชัด แสดงสีหน้าและท่าทาง
ออกไปประกอบอย่างตรงไปตรงมา
GM : คุณรู้ว่าต้องแสดงสีหน้าและท่าทางอย่างไร ในเมื่อมองไม่เห็นแม้กระทั่งตัวเอง
ต่อพงศ์ : ความคิดมันมีพลังงานอยู่ ผมพยายามทำให้ความคิด จิตใจ และท่าทีของผมตรงกัน คือถ้าผมโมโหก็โมโหตรงๆ เลยนะ แต่แน่นอนว่าผมรู้จักการควบคุมมันไว้ เวลาโมโหผมอาจจะดูก้าวร้าวกว่าคนอื่น เพราะผมอยู่ในภาวะกดดันเป็นประจำ ต้องไปนั่งในที่ที่ผมไม่รู้ว่าคนข้างๆ คือใคร อธิบายไม่ได้ว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน แต่ไม่กลัว คิดว่ายังไงกูก็ต้องดำรงตนไว้ เพียงแค่อาจจะพูดน้อย แสดงท่าทีน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตรงไปตรงมา อาจจะเริ่มต้นด้วยการชวนคนข้างๆ คุย ถามเขาว่าตรงหน้านี้มีอะไร แก้วน้ำอยู่ตรงไหน
GM : เวลาอยู่ในวงเหล้า คงจะแสดงออกได้ง่ายกว่าใช่ไหม
ต่อพงศ์ : ผมโตมาได้ทุกวันนี้ก็อาจจะเพราะวงเหล้านี่แหละ (หัวเราะ) ตั้งแต่เรียนหนังสือ ผมคิดว่า ‘วิทยา’ แปลว่าความรู้ ไม่ได้มีเฉพาะในห้องเรียน โดยเฉพาะความรู้ที่เป็นทักษะทางสังคม ทักษะทางอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในห้องเรียน ทั้งหลายทั้งปวงคือประสบการณ์ เอาประสบการณ์มาใช้ในชีวิต เรื่องอะไรแล้วแต่ ทางสังคมศาสตร์คือวุฒิภาวะ ผมเชื่อว่าทักษะทางสังคมเป็นเรื่องที่สอนอยู่นอกห้องเรียน คุณดูคำว่า ‘แก่’ กับ ‘เติบโต’ มันคนละเรื่องนะ แก่คือผ่านเวลาไป เติบโตอาจไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะเวลาที่ผ่านไปอาจไม่ทำให้คุณเติบโตขึ้นเลยก็ได้ กับตัวเอง การที่ผมเป็นคนตาบอด ผมนี่แหละทำให้ผมเติบโต เพราะเป็นประสบการณ์บังคับที่ผมต้องเอามาปรับใช้ในชีวิต
สุราเป็นสะพานแห่งมิตรภาพ แต่มีเงื่อนไขนะว่าทุกอย่างในโลกมีประโยชน์และโทษ เรื่องโทษของสุรานั่นใครๆ ก็รู้ คงไม่ต้องพูดกันมาก แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้จากวงเหล้า คือพอผมตาบอด เพื่อนไปเธคไปผับตามวิถีของเขา เขารู้ว่าถ้าไปสถานที่แบบนั้น อย่าชวนผมไป เพราะมันจะกลายเป็นทรมาน มีแต่เสียงตื๊ดๆ อะไรไม่รู้ แ_่งเอ๊ย (หัวเราะ) เวลาคุยกันก็ต้องตะโกน มึงก็ฟังไม่ออก กูก็ฟังไม่ออก มึงจะคุยกับเพื่อนอีกสองคน กูก็ไม่รู้ว่ามึงคุยอะไรกัน เหมือนเอาผมไปขังในคุกมืดๆ คุกตื๊ดๆ เหมือนนั่งกินเหล้าคนเดียว เขามองข้ามโต๊ะข้าง เห็นผู้หญิงโต๊ะข้างๆ น่ารัก นั่นก็สนุกสนานกันไปตามวิถีของเขา แต่ไม่ใช่วิถีผม โชคดีที่เพื่อนผมเที่ยวแบบนั้นน้อยลงเพราะเราแก่ขึ้น เริ่มเบื่อ เราเลยเปลี่ยนมานั่งกิน นั่งคุย ซึ่งผมทำมา 20 ปีแล้ว ที่มึงไปตื๊ดๆ กันอยู่น่ะ กูนั่งกินเหล้ากับน้ากับลุงประจำ ตอนที่ผมยังอยู่บ้านเฉยๆ น้าผมเปิดเพลงเก่า เล่าอดีต อดีตที่ไม่ทำร้ายใคร พอผ่านมาแล้วก็เล่าให้ฟัง ให้เห็นถึงสิ่งที่ลองผิดลองถูก เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เขาสร้างตัวเองมายังไง อยู่ในนั้นหมด
น้าผมเป็นนักฟังเพลง ระหว่างที่เรานั่งกินเหล้า เขาก็เล่าให้ฟังว่าวงร็อควงนี้เล่นกันแบบนี้ เปิดเพลงลูกทุ่งแล้วก็เล่าประวัติศาสตร์เป็นแบบนี้ คนนี้ไปทำนี้ๆ ผมก็ซึมซับมา ได้ความรู้มาจนปัจจุบัน ผมไม่เคอะเขินเวลาเข้าหาผู้ใหญ่ การคุยกับผู้ใหญ่ต้องมีจังหวะอย่างไร ผมคิดว่าผมเข้าใจเรื่องจังหวะ มันหมายรวมถึงการออกตัว การอยู่ในระยะทาง การแวะปั๊ม กระทั่งถึงเป้าหมาย ซึ่งท้ายที่สุดเกิดสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ประทับใจกัน ช่วยเหลือกัน เป้าหมายไม่ใช่ผลประโยชน์ แต่คือมิตรภาพที่เพิ่มขึ้นเวลาผมคุยกับเพื่อน ยุคหนึ่งเหมือนคุยคนละภาษา มึงคุยเรื่องเ_ี้ยอะไรวะ เพื่อนบอก มึงคุยทำไมวะเรื่องบ้านเมือง เรื่องสังคม เพื่อนผมไม่สนใจ ขณะที่บางทีผมฟังเพื่อนๆ ผมก็…มึงคุยเรื่องอะไรเนี่ย ไร้สาระ มึงไม่มีเรื่องอะไรให้คิดนอกจากเรื่องเที่ยวเหรอวะ พวกผู้ใหญ่กินเหล้า เขาจะคุยประสบการณ์ คุยธุรกิจ วิจารณ์บ้านเมืองสังคม คนละแง่มุมกับกลุ่มวัยรุ่น และการกินเหล้าเป็นการบังคับอย่างหนึ่ง บังคับที่สุดเลยคือบังคับเราให้ฟังและบังคับให้พูด คุณรู้ไหม ถ้าคุณกินเหล้ากับคนไม่ค่อยพูด เซ็งตายห่า เ_ี้ย มึงมานั่งแดกกับกูทำไม เหมือนกูแดกคนเดียว
GM : เขาอาจจะแค่อยากมาเมา ไม่ได้อยากคุยกับคุณหรอก
ต่อพงศ์ : (หัวเราะ) นี่ไง มันคือการฝึก ผมว่าสุดท้ายในวงเหล้าก็แย่งกันพูดนั่นแหละ แต่ขณะที่แย่งพูด ก็ต้องฟังให้เป็นด้วย ผมมีวงเหล้าที่สุดๆ เปิดหมด ประเด็นที่ยากๆ เป็นกับแกล้มหลักของวงเหล้า การคิด การพูดเป็นอรรถรส อาหารที่โอชะที่สุดคือเนื้อหาในการสนทนา สุราเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา รีบคิด แย่งกันคิด ช่วยกันคิดและหาคำตอบ พอวันไหนมีเรื่องยากเข้ามา ผมนึกในใจว่ากูหวานแล้ว หาเรื่องกินเหล้าได้อีกแล้วบางคนบอกว่าโลกเราถูกสร้างมาด้วยคนกินเหล้านี่แหละ ปัญหาใหญ่ๆ ในโลกน่าจะคลี่คลายได้ในวงเหล้า จบกันที่วงเหล้าในสมาคมคนตาบอดฯ บางทีมีงานรับแขกบ้านแขกเมืองที่เป็นคนตาบอดเหมือนเรา ภาคกลางวันทำงานวิชาการ กลางคืนต้องดูแลผู้นำระดับโลก ผมมักเป็นคนดูแลและได้รับคำชื่นชมมาก ผมนวดให้เขาเลยนะ ตอนดื่มกับเขา มันก็ใกล้ชิดน่ะ คนเราพอมีมิตรภาพ เรื่องยากก็เป็นเรื่องง่าย หรือมีเรื่องทะเลาะขัดแย้งกัน ก็ประนีประนอมให้อยู่ร่วมกันได้ ในวงการทูต วงการต่างๆ ระหว่างประเทศ เขาจะมีกาลาดินเนอร์ เลี้ยงต้อนรับ กินไวน์ เป็นอีกพาร์ตของการสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน และผมก็เชี่ยวชาญพาร์ตนี้พอสมควร (หัวเราะ)
The Meaning of Life
GM : คนตาบอดมองอนาคตอย่างไร คุณพอมองเห็นภาพตัวเองตอนอายุห้าสิบไหมว่าน่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน
ต่อพงศ์ : ผมคิดจะทำงานให้คนตาบอดเยอะเลย อย่างที่ผมเคยบอกเสมอ ว่าคุณจะมองคนตาบอดอย่างเราเป็นภาระหรือปัญหาก็ได้ แต่อีกมุมหนึ่ง
พวกเราก็เป็นทรัพยากร เป็นสินทรัพย์ ผมมองเห็นจริงๆ ว่าเรามีประสบการณ์ มีความสามารถ ผมอยากให้เมืองไทยมีกิจการที่เกี่ยวข้องกับคนตาบอด ต้องมีบริษัทหนึ่งที่ผมมีส่วนเริ่มต้นหรือขับเคลื่อน อาจจะไปจดทะเบียนในตลาดฯ
GM : อยากสร้างงานให้คนตาบอดใช่ไหม
ต่อพงศ์ : ใช่, ตั้งกิจการเลยละ อาจจะไม่ใช่ของผมโดยตรง ผมเป็นผู้บุกเบิกมากกว่า ผมคิดว่าในอนาคตอีก 20-30 ปี อาชีพค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล น่าจะยังเป็นอาชีพหลักของคนตาบอดได้อยู่ ยิ่งถ้าวันหนึ่งระบบกฎหมายเอื้อ สามารถออก License ทำให้สามารถพิมพ์สลากจำหน่ายได้เอง สมาคมเราขอทำในปริมาณที่เหมาะสม นั่นเป็นส่วนหนึ่ง สาเหตุที่มองแบบนี้ เพราะโอกาสที่คนตาบอดจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ไม่ว่าของรัฐหรือเอกชน ยังนับว่าน้อยมาก วิถีชีวิตที่พวกเราแสวงหา คือการมีอาชีพอิสระ เราไม่อยากถูกกดขี่หรือเอาเปรียบ มันต้องมีคนที่เป็นเหมือนเราเข้ามาช่วย ซึ่งนั่นหมายถึงสมาคมฯ
อีกธุรกิจหนึ่งที่ผมสนใจมากคือเรื่องนวด ทฤษฎีผมเป็นแบบนี้นะ เขาบอกว่าคนตาบอดเป็นหมอนวดแผนไทยที่มีคุณภาพ นี่คือความจริง เป็นประพจน์ที่หนึ่ง เมื่อบวกกับประพจน์ที่สอง คือการนวดแผนไทยเป็นการนวดที่มีคุณภาพของโลก เป็นความจริงที่สอง ระยะเวลาพิสูจน์มาแล้วว่าจริง ผ่านการทดลองมาแล้ว พบว่าไม่มีอะไรแอบแฝง คนตาบอดสามารถทำงานนวดอย่างเอาจริงเอาจังได้เลย เพราะไหนๆ ทางเลือกในการประกอบอาชีพของพวกเราก็น้อยอยู่แล้ว เมื่อการนวดคืออาชีพได้ และพวกเราก็จะตั้งใจทำ เพราะทักษะของเราอยู่ที่มือ การนวดไม่ต้องใช้ตา การนวดใช้มือ เมื่อสองประพจน์นี้บวกกัน ดังนั้น คนตาบอดไทยจึงควรจะเป็นหมอนวดที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพระดับโลกผมกำลังจะพิสูจน์ทฤษฎีนี้ โดยจะคัดคนนวดเจ๋งๆ มาสักพันคน แล้วเปิดเชนร้านนวดคนตาบอดที่ได้มาตรฐาน เปิดทั่วประเทศ ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจอาเซียน เป็นตลาดแรงงานที่สำคัญ หมอนวดไม่ได้เป็นอาชีพสงวนของที่ไหน หมอนวดไทยที่ตาบอดอย่างเรา จึงน่าจะเป็นสินค้าส่งออกได้ ตอนนี้ทางสมาคมฯ ฝึกอบรมการนวดให้คนตาบอดมาแล้วกว่า 7,000 คน ที่ผ่านมา พอฝึกแล้วเขาก็ไปหางานทำกันเอง แต่ตอนนี้ผมคิดสิ่งใหม่ สมาคมเรามีทุกอย่างดีกว่าที่คนอื่นจะให้ เขาก็ได้มากกว่าที่คนอื่นจะให้ เราคนตาบอดด้วยกันเองย่อมเข้าใจกันดีกว่า แน่นอนว่าต้องใช้ความรู้ ใช้การจัดการสมัยใหม่เข้ามา ผมจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ตลอดปี 2558 เพื่อเตรียมเปิดเชนร้านนวดของคนตาบอดที่ได้มาตรฐานระดับโลก ตอนนี้เรามีคนตาบอดที่นวดตั้งแต่พื้นฐาน เป็นผู้ช่วยแพทย์แผนไทย กระทั่งผู้ที่ได้ใบประกอบโรคศิลปะแพทย์แผนไทย
เราจำเป็นจะต้องมีระบบให้ความช่วยเหลือคนตาบอดที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ๆ ไม่ว่าใครถ้าเกิดมีปัญหาตาบอด หลังจากที่คุณพ้นกระบวนการทางแพทย์ ขอให้นึกถึงสมาคมฯ เราจะเข้าไปช่วย โดยไม่เกี่ยงว่ายากดีมีจน ความหมายคือเรากำลังสร้างระบบ ให้ความช่วยเหลือขนาดใหญ่ เพราะจะมีพลเมืองไทยที่ตาบอดอีกเยอะมาก ถ้าเกิดวันหนึ่งคนตาบอดเพิ่มขึ้นจากแสนเจ็ด ไปเป็นล้านเจ็ด จะทำยังไง เขาจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร จะให้เขารอวันตายเหรอ มันไม่สนุกนะ ถ้ารัฐทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ขอให้รัฐและภาคธุรกิจสนับสนุนเรา คุณเชื่อผมเถอะผมเคยคุยกับเศรษฐีระดับประเทศคนหนึ่ง เขาเล่าให้ฟัง พ่อของเขาก็ตาบอดในช่วงสิบปีสุดท้ายของชีวิต แน่นอนว่าครอบครัวเขาไม่มีความสุขเลย ต่อให้มีเงินหมื่นล้านแสนล้าน เขาต้องปรับทัศนคติกันอย่างมากในครอบครัว ฉะนั้น ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ยากดีมีจน เราต้องมีชุดความรู้เตรียมไว้เลย มีระบบเตรียมรอไว้เลย นี่ผมกำลังร่วมงานกับโรตารี่ประเทศไทย เพื่อเสนอโรตารี่สากล ทำชุด Smart Blind เป็นชุดที่ทำหน้าที่เหมือนกุญแจหรือสะพาน พาความสุขกลับไปสู่ครอบครัวที่มีคนตาบอด ก่อนอายุห้าสิบ ผมคิดว่าคงทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จชีวิตมันจะยากนะครับ พอคุณตาบอด มันยากเพราะว่าเข้าไม่ถึงข้อมูล เลยต้องขวนขวายมากกว่าคนอื่น ผมรู้เพราะว่าผมเคยตาดี จะบอกให้ว่าเมื่อเทียบกันแล้ว มันคนละโลก เอาแค่เรื่องง่ายๆ เช่นคุณอยากกินกะเพราไก่ ถ้าตาดี คุณก็เดินไปกิน จบ คุณจะกินทุกวันจนเบื่อก็ไม่มีใครว่า แต่พอตาบอด สมมุติว่าคุณเดินไปกินผัดกะเพราไก่ได้เองแล้ว คุณก็จะต้องกินมันทั้งเดือน คุณจะงง ไม่มีอย่างอื่นให้กินบ้างหรือ หรือถ้าคุณเป็นคนอื่นที่มองเข้ามา คุณจะถามว่าทำไมกินแต่กะเพราไก่ล่ะ ทำไมไม่กินอย่างอื่นเหรอ ผมถามว่าแล้วมึงเสือกอะไรกับชีวิตกู ความหมายคือผมสูญเสียความเป็นส่วนตัว ความสามารถในการเลือกเอง ตัดสินใจเองพวกเราคนตาบอดจึงเข้าใจหัวอกของพวกเราเองอย่างมาก ผู้ป่วยที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องบอกความในใจเขาออกไป บางทีเป็นเรื่องส่วนตัวมาก และคนที่มารับฟังก็ไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ ไม่ได้รับข้อมูลเฉยๆ เขาคิดในใจเขาด้วย ทั้งคนป่วย คนตาบอด จะต้องเสียความเป็นส่วนตัวอย่างใหญ่หลวง คนอื่นจะสงสัย ทำไม ทำไม ทำไม ขณะที่คนป่วยและคนตาบอดก็คงนึกเหมือนกันว่า ถ้ากูทำเองได้ กูไม่บอกมึงหรอก เรื่องพวกนี้ ถ้าสังคมไทยเป็นอารยะพอ คนรับเมสเสจจะไม่แทรกแซงความคิดเรา และอันนี้จะทำให้การกำหนดตัวเอง เลือกเองได้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีใครก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของใคร พวกฝรั่ง ญี่ปุ่น เวลาเขาช่วยเหลือคนพิการ เขาจะไม่ถาม ไม่สนใจว่าความช่วยเหลือนั้นทำเพื่ออะไร เพราะอะไร เขาแค่ช่วยทำให้เฉยๆ เหมือนเป็นมือไม้ที่ยื่นออกไปจากตัว แต่บางสังคมที่มีใกล้ชิดกันมากๆ อย่างสังคมบ้านเรา เรามักแทรกแซงความคิดคนอื่น
GM : โดยส่วนตัว ถึงทุกวันนี้คุณยังรู้สึกว่าใช้ชีวิตยากอยู่ไหม
ต่อพงศ์ : ผมบอกเล่าทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสะท้อนประสบการณ์ที่ผ่านมาถ้ามาถามผมตอนนี้ ผมก็บอกว่าสบายแล้ว แถมบางคนชอบมาพูด โอ้โฮ! เติ๊ดนี่เป็นคนอดทนนะ ตาบอดแล้วก็ยังพยายามใช้ชีวิต ผมก็นึกในใจ มึงรู้ได้ไง ว่ากูอดทน (หัวเราะ) คำว่าอดทนต้องใช้กับสภาวะไม่พึงประสงค์ใช่ไหม อย่างชอบกินเบียร์ เขาไม่เรียกว่าอดทน แต่ถ้ากินยาขมๆ เออ…นั่นต้องอดทนกินยา อดทนไม่ใช้กับความสุข ฉะนั้น คุณใช้คำว่าอดทนกับผมไม่ได้ ผมมีความสุขดี เคยถามตัวเองว่ากูอดทนจริงไหม ถ้าให้ตอบจริงๆ ผมว่าเมื่อผมมีธรรมชาติเป็นแบบนี้ อยู่กับวิถีที่ผมเป็นอย่างมีความสุขแบบนี้ มันไม่ใช่ความอดทน แต่คนอื่นมองว่าผมอดทนเพราะเขาเปรียบเทียบกับตัวเอง เขาคิดว่าการมองไม่เห็นเป็นความทุกข์
GM : อธิบายความทุกข์ของคุณในทุกวันนี้ให้ฟังหน่อยสิ
ต่อพงศ์ : ผมเป็นคนตาบอด ผมใช้คำว่า ‘ผมมีอวัยวะครบสามสิบเอ็ด’ ไม่ได้ขาด มันไม่ผิดหรอกที่คนเราจะมองสิ่งแวดล้อม มองคนอื่น แล้วเอามาเปรียบเทียบกับตัวเอง เหมือนอย่างที่มีคนพิการแขนขาแล้วเขาสามารถวาดภาพด้วยปาก คนทั่วไปดูแล้วก็ร้อง โอ้โฮ! โคตรยาก เก่งว่ะ ทำได้ยังไง ซึ่งคนวาดภาพด้วยปากเขาคิดในใจ มึงจะให้กูวาดด้วยมือหรือไง ก็กูทำไม่ได้ไง กูถึงต้องใช้ปาก คือเราอยู่คนละวิถีทางของชีวิตตอนผมตาบอดใหม่ๆ จะกินข้าวแต่ละทีต้องมีคนตักกับใส่ช้อนให้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง มา…มา…กูเอามือหยิบเข้าปากเลย (หัวเราะ) ผมไปกินข้าวกับพี่บูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) แบบนั้นต้องรักษามารยาทหน่อย ด้วยวัฒนธรรม ผมยอมให้มีคนช่วยตักให้ แต่ถ้าผมอยู่กับเพื่อนกับน้อง ผมทำเองหมด ไม่ต้องมีใครช่วย เป็นธรรมดาว่าคนเราจะมองเชิงเปรียบเทียบเสมอ เช่น ถ้าผมจะเดินไปตรงโน้น พอเอียงซ้าย คนเขาจะรีบตะโกนบอกว่า เติ๊ดๆ ระวังชน จริงๆ แล้วผมก็ตั้งใจจะชน เพราะผมต้องการรู้ขอบเขตของมัน เข้าใจไหมว่าเราอยู่กันคนละวิถีทางของชีวิต (หัวเราะ) คุณถึงได้กลัวว่าผมจะเดินชน ความกลัวข้าวของเสียหาย กลัวผมบาดเจ็บ แต่สำหรับผม ผมตั้งใจเดินชน เพราะผมรู้ว่าจะชนเพียงแค่เบาๆ มันก็ไม่เสียหาย ไม่เจ็บตัว สำคัญที่สุดคือเมื่อชนแล้ว ทำให้ผมเห็นไดเร็กชั่นว่าอะไรอยู่ตรงไหนเวลานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าผมเอาส้อมจิ้มไม่โดนไก่ ทุกคนอยากทำให้ ตักให้ เพราะเขาไม่อยากให้ผมจิ้มผิด แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนๆ น้องๆ ที่ตาบอดด้วยกัน บางทีมันเอาส้อมจิ้มๆ แล้วบอกว่าพี่เติ๊ดๆ ผมหาไก่ไม่เจอ ผมบอกมัน มึงก็เขี่ยๆ ดูสิวะ (หัวเราะ) คือให้เอาส้อมควานลงไปในจานเพื่อจะได้รู้ ซึ่งผมเอามือจับเข้าปากเลย บางทีผมซัดไก่ไป 5 ชิ้นแล้ว น้องบางคนยังจิ้มยึกยักอยู่เลย มึงจิ้มไปเถอะ ไอ้พวกยึดรูปแบบ ยึดไป แต่กูไม่ยึด กูเอาเป้าหมาย (หัวเราะ) พอเราอยู่บนโลกของรูปแบบ เราก็โดนจำกัดด้วยรูปแบบ หรือเราเคยชินอยู่กับทักษะแบบหนึ่ง พอไปเจอบางสถานการณ์ที่เราใช้ทักษะที่มีอยู่ไม่ได้ มันก็เกิดความพิการ ในชีวิตทุกคนต้องเจอภาวะนี้
GM : คนเราจะเข้มแข็งได้ด้วยตัวเองมั้ย หรือว่าต้องอาศัยคนรอบข้าง
ต่อพงศ์ : เรื่องนี้ผมก็เคยนึกๆ นะ ว่าถ้าวันนี้ผมเกิดหูหนวกอีกอย่าง มันจะเป็นยังไง ผมคิดว่าผมก็จะไปเรียนภาษามือสำหรับคนหูหนวกตาบอด แล้วถ้าเกิดผมเป็นอัมพฤกษ์แขนข้างหนึ่งล่ะ ผมก็จะไปกายภาพฟื้นฟูแขนข้างที่เหลือ ก็คงแค่นี้เอง เพราะเคยผ่านความกลัวมาแล้ว เรารู้คุณค่าในตัวเองแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งแวดล้อมก็นับว่ามีส่วนมาก สังคมที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง อาจทำให้คนที่ประสบปัญหาแต่ไม่มีคนช่วยให้กำลังใจ เขาก็ไม่สามารถเข้มแข็งด้วยตัวเอง จนหมดกำลังใจที่จะอยู่สู้ต่อไป กำลังใจต่อสู้ชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก มันคือความหวัง มันคือคุณค่าในตัวเองผมขอบอกคุณให้อย่างหนึ่ง ว่าคำว่า ‘ความพิการ’ ไม่ได้เกิดขึ้นจากคน แต่มันเกิดขึ้นจากสังคม จากสิ่งแวดล้อม เวลาเราแก่ตัวไป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราก็เหมือนคนพิการ ทั้งๆ ที่เราก็ยังเป็นเราคนเดิมใช่ไหม นั่นแปลว่าต่อไป ทุกครอบครัวจะต้องมีคนพิการอยู่ด้วย การที่ระบบในบ้านเราไม่เข้มแข็ง พวกเขาจะมีความสุขในชีวิตได้อย่างไร เมื่อก่อนเรามีครอบครัวขยายอาจคอยปกปักรักษากันได้อยู่ แต่ถ้าหากต่อไปเราเหลือเป็นครอบครัวเดี่ยวจะทำอย่างไร อยู่กันสองคน ใครคนใดคนหนึ่งเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เท่ากับว่าต้องตกงานทั้งคู่เลยนะ เพราะอีกคนหนึ่งต้องคอยมาอยู่บ้านเพื่อดูแล กระทั่งคนออกกฎหมายเอง ก็ไม่ได้มองความเป็นจริงของชีวิตเลย ว่าในอนาคตของเราทุกคน เราต้องแก่ เราต้องพิการ เวลาพูดเรื่องการเข้าถึงสำหรับคนพิการ เขาจะบอกว่าเขียนไปก็รกรุงรัง สักวันหนึ่งถ้าคุณแก่ตัวแล้วคุณจะรู้เอง ส่วนพวกผมสบายแล้ว พวกเราตาบอดล่วงหน้ากันมาหลายปีแล้ว พวกเราทำใจได้ก่อน พวกเราปรับตัวได้ก่อนแล้ว
GM : เพราะบทบาททางสังคมของคุณหรือเปล่า ที่ทำให้คุณแข็งแกร่ง แต่ถ้าถอดหัวโขนและตำแหน่งใหญ่โตเหล่านั้นออกไป ข้างในมันจะยังเหลืออะไรอยู่
ต่อพงศ์ : ตำแหน่งหน้าที่มาทีหลัง ความเป็นผมมีอยู่ก่อน ผมไม่ได้เข้มแข็งเพราะว่าเป็นนายกสมาคม แต่กลับกัน พวกเขาเลือกคนที่เข้มแข็งมาเป็นนายกสมาคมของพวกเขา ผมเติบโตมาจากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุกลายเป็นคนตาบอด ไม่มีใครในประเทศไทยนอกจากญาติพี่น้องที่รู้จักต่อพงศ์ ผมใช้ปัญหาของสังคมที่มีต่อคนพิการมาเป็นโอกาส ผมจึงได้เป็นตัวแทนของกลุ่มคนพิการ เข้าไปทำให้ช่องว่างในสังคมแคบลง
GM : สุดท้าย คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่คนตาดีมักมองไม่ค่อยเห็น
ต่อพงศ์ : คนตาดีมองไม่เห็นความคิด ถ้าคุณเขียนคำว่าความคิดกับความรู้ เขียนและมองมันจริงๆ จะพบว่ามีช่องว่างตลอดเวลา แต่ความคิดที่เห็นได้โดยใช้ตาในมองมันไม่มีช่องว่าง พูดอีกอย่างก็ได้ว่าคนตาบอดมองเห็นความคิดความรู้สึกได้ดี เพราะเราใช้ตาในมอง ไม่ได้ใช้ตานอกมอง เขาถึงมีคำพูดว่าตานอกเห็นโลก ตาในเห็นจักรวาลคนอย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่เขาคิดทฤษฎีต่างๆ ได้ เขาไม่ได้ใช้ตามองนะครับ เขาใช้สมอง แม้ว่าตาเขาไม่บอด แต่เขามีวิธีคิดเหมือนคนตาบอด คือใช้สมองมองเหตุการณ์ ถึงที่สุดแล้ว ถ้าทั้งสองอย่างไปด้วยกันได้ มันก็เพอร์เฟ็กต์ แต่ถ้าให้ผมแนะนำ การใช้สมองมองย่อมดีกว่าใช้สายตามอง