ประมวล เพ็งจันทร์ The Walkman
สองสามเดือนที่ผ่านมา มีข่าวฮือฮาพอสมควรเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเท้าจากเชียงใหม่ ไปเกาะสมุยที่ว่าฮือฮา เพราะเขาเดินด้วยปณิธานว่า ‘จะไม่ใช้เงินและไม่ไปหาคนรู้จัก’สิ่งที่น่าร่วมแสดงความยินดีคือเขาทำสำเร็จแล้ว บรรลุเป้าประสงค์ทุกอย่างประมวล เพ็งจันทร์ คือผู้ชายคนนั้นเขาอาจค่อยๆ ถูกลืมเลือน ไป ถ้าการกระทำดังกล่าวเป็นแค่ความสะใจ อยากเท่ อยากดัง หรือถ้าเพี้ยน ถ้าบ้า-ป่านนี้คงมีคนหวังดีจับไปรักษา
ประมวลยังมีชีวิตอยู่ดี อยู่ในใจผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ต้องการแสวงหาความหมายของชีวิตจากชีวิตสงบเงียบ สู่เวทีสื่อสาธารณะรายการทีวีเชิญเขาไปสนทนา หนังสือพิมพ์และนิตยสารตามตัว ขอสัมภาษณ์ตามประวัติ ประมวล เพ็งจันทร์ เกิดที่เกาะสมุย จบ ป.4 แล้วออกมาเป็นคนงานกรีดยาง ทำงานและสำมะเล-เทเมาตามประสาไอ้หนุ่มบ้านนอก ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงมากเมื่อตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรตอนอายุ 17 ปี เรียนบาลีสอบได้เปรียญ 5 ประโยค และต่อมาได้ไปเรียนต่อที่อินเดีย เรียนจนจบปริญญาเอก ก่อนจะกลับมาเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สอนอยู่เกือบ 2 ทศวรรษ และ
ลาออกเมื่อปี 2548 เป็นผู้ชายที่มีชีวิตครอบครัวน่าอิจฉา เป็นนักวิชาการที่มีกัลยาณมิตรระดับหัวกะทิของประเทศเป็นครูที่คนหนุ่มสาวเคารพรัก ทำงานเพื่อสังคมมาไม่น้อย ฯลฯ แน่นอนว่าเขาไม่น่าจะบ้า !
เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ ‘66 วัน จากเชียงใหม่ไปเกาะสมุย’
ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดแล้วในหนังสือ ‘เดินสู่อิสรภาพ’ ประมวล เพ็งจันทร์ ไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาปรารถนาเรียนรู้ลงลึกต่อไปอีก เรียนรู้ ด้วยการเดินจาริกเหมือนเดิม แต่หนนี้ไปเดินที่อินเดีย แผ่นดินที่เขาอยากน้อมคารวะและใช้เป็นสถานที่ศึกษาจิตใจตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้ง
16 เมษายนที่ผ่านมา เขาบินไปอินเดียโดยลำพัง และจะเริ่มต้นเดินที่กันโกตรี เมืองตีนเขาหิมาลัยเดินและพยายามไม่ใช้เงินเหมือนเดิมเดินและหยุดบำเพ็ญเพียรภาวนาด้วยวิถีแห่งนักบวชเร่ร่อนเป้าหมายสูงสุดคือการละลายสลายตัวตน เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง เอื้อเฟื้อ เมตตาป่านนี้เขาคงจะอยู่ที่ไหนสักแห่งริมลำน้ำคงคานี่น่าจะเป็นบทสัมภาษณ์ท้ายๆ ก่อนที่เขาจะบิน…
GM : คุณขายาวกว่าคนอื่นหรือเปล่า
ประมวล : (หัวเราะ) ไม่เลยครับ ผมเตี้ยกว่าคนทั่วไปด้วยซ้ำ ตอนเรียนหนังสือผมยืนปลายแถว พอวันหนึ่งสอบได้ที่ 1 ได้เป็นหัวหน้าชั้น เขาให้ไปยืนหัวแถว จำได้ว่าดีใจมาก เพราะผมเตี้ยที่สุดในกลุ่มเพื่อน ต่ำกว่ามาตรฐานครอบครัว พี่ผมร่างใหญ่
ผิวขาว เพราะพ่อมีเชื้อจีน แม่เป็นคนเกาะสมุย ผิวดำ ตัวเตี้ย ผมขี้เหร่กว่าเพื่อน แต่มักมีคำปลอบจากแม่ว่า ลูกผู้ชาย ถ้าเหมือนแม่จะมีโชค จริงหรือเท็จไม่ทราบ แต่ทำให้ผมไม่มีปมด้อย
GM : การเดินเท้าจากเชียงใหม่ไปเกาะสมุย จะว่าไปก็เป็นการพาตัวเองไปหาความทุกข์ดีๆ นี่เอง ทำไมคุณถึงเลือกค้นหาความหมายชีวิตด้วยวิธีที่เผชิญความทุกข์หนักขนาดนี้
ประมวล : ผมไม่ได้เดินเพราะต้องการทรมานร่างกาย แต่ผมเห็นว่านับวันเราชักจะติดความสะดวกและความสบายมากเกินไปแล้ว ถ้าเป็นสารเสพติด ตอนนี้เราติดกันงอมแงม บางครั้งเมื่อขาด เราหงุดหงิดรำคาญ ฉะนั้น ผมจึงหาวิธีลด ละ เลิกยึดติดในความสะดวกสบายนี้ และการเดินเป็นวิธีหนึ่งในหลายร้อยพันเทคนิคเพื่อเผชิญความลำบากที่ท้าทาย
GM : อ่านหนังสือ ‘เดินสู่อิสรภาพ’ ของคุณแล้ว รู้สึกว่าการเข้าถึงเรื่องยากๆ เรื่องลึกซึ้งระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวตน อำนาจ มิตรภาพ ดูเหมือนทุกอย่างช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน จริงหรือที่มนุษย์คนหนึ่งจะเข้าใจได้จริง คุณตรวจสอบดีแล้วหรือว่าคุณเข้าถึงนามธรรมเหล่านั้นได้
ประมวล : การเขียนหนังสือเล่มนี้ ส่วนหนึ่งผมทำให้ over simplified ข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้จริง แต่ถูกทำให้ง่าย เหมือนตอนผมเรียนวรรณคดีอังกฤษ ต้นฉบับยากมาก อาจยากเกินกว่านักศึกษาจะใช้เวลาสั้นๆ ทำความเข้าใจ ฉะนั้น จากต้นฉบับนั้น จึงมีคนนำมาเขียนใหม่ ทำให้ง่ายขึ้น เพื่อความเข้าใจ ของผมก็เหมือนกัน สิ่งสำคัญกว่านั้นคือมันเป็นประสบการณ์และความรู้สึกเฉพาะ อาจจะคล้ายๆ เซอร์ ไอแซก นิวตัน นอนอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล แล้วจังหวะนั้นแอปเปิ้ลหล่นลงมาใส่ศีรษะพอดี คือต่อให้คนอื่นไปนอนจนแอปเปิ้ลหล่นมาทั้งต้น ก็ไม่มีวันเข้าใจอะไร แต่ที่นิวตันเกิดไอเดียบางอย่างขึ้นมาเพราะเขามีความพร้อมทางใจ สั่งสมมานาน พอวูบหนึ่งมีอะไรมาสะกิด จึงกระจ่างแจ้ง ผมไม่ได้บอกว่าผมรู้แจ้งได้ ณ ขณะนั้นโดยไม่มีที่มาที่ไป แต่เหตุการณ์ทุกอย่างมีบริบท
ผมสนใจปฏิบัติธรรม อ่านงานของท่านผู้รู้มามาก เช่น งานพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หนังสือชื่อ ‘มุตโตทัย’ นี่ผมอ่านจนปรุ แต่ทำไมตอนเดินถึงเพิ่งมาเกิดสิ่งที่ผมแปลกใจมากว่าเกิดอารมณ์นี้ได้อย่างไร ผมขนลุกซู่ หลายวันถัดมา ผมถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าสิ่งนี้มีอยู่ในหนังสือ ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มาไม่รู้กี่รอบ บาลีที่ท่านอ้าง ผมก็เข้าใจ การครุ่นคิดของผมก็มีมานาน แต่ทำไมเพิ่งตระหนักขึ้นมาเฉพาะวันนั้น หรือว่าเหมือนการกินอาหาร วันหนึ่งรู้สึกอร่อยมาก ทำไมก่อนหน้านี้ไม่อร่อย หรือเป็นเพราะเรากินตอนไม่หิว ร่างกายไม่ต้องการ ผมเข้าใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในกลไกเหล่านี้ และมีอยู่มากในเชิงศาสนา กลไกที่พอถึงจุดหนึ่งแล้ว เกิดอะไรขึ้นมา
เรื่องหนึ่งที่ผมจำได้แม่น ปีนั้นเชียงใหม่มีปัญหาเรื่องขยะ เหม็นทั้งเมือง ผมมีธุระไปซื้อกล่องส่งของซึ่งจุดนั้นยิ่งเหม็นมาก ช่วงที่ผมเดินไปที่ร้าน มีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวสกปรก มอมแมม เดินสวนทางมา เนื่องจากทางเท้าแคบ ผมเห็นว่าเป็นผู้หญิงจึงหลีกให้เธอเดินไปก่อน จังหวะที่ผมหลีก ผมเห็นภาพภาพหนึ่งที่สะเทือนใจผมมาก เธอเดินอุ้มลูกมา สมมุติอุ้มลูกด้วยมือขวา เธอใช้มือซ้ายอุดจมูก ลูก เข้าใจไหมครับว่าภาพของผู้หญิงคนนี้ที่เดินผ่านผม เหมือนแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ ผมคิดถึงแม่ขึ้นมา อย่างบอกไม่ถูก ยืนนิ่งเหมือนถูกสะกด ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นเดินไปไกลแล้ว จนสุดท้ายผมเข้าไปซื้อกล่องเสร็จแล้ว ผมรีบกลับไปหาเจ้าหน้าที่มหาวิทยา-ลัยและสอบถามว่ามีวิธีใดที่สามารถลาราชการได้นานๆ ไหม เขาบอกว่าลาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการได้ปีหนึ่ง เชื่อไหมว่าผมลาเดี๋ยวนั้นเลย
ผมเล่าเรื่องนี้เพื่อจะบอกว่าที่ผ่านมาผมรู้แก่ใจเสมอว่าแม่มีบุญคุณต่อลูกยังไง แต่ความรู้สึก ณ ขณะที่เห็นผู้หญิงอุ้มลูกและใช้มือปิดจมูกลูกนี่สุดบรรเจิด ส่งผลสะเทือนต่อจิตใจผมมาก ผู้หญิงคนนั้นได้กลิ่นเหม็น แทนที่จะเอามือปิดจมูกตัวเอง เธอปิดให้ลูกตัวน้อยๆ ซึ่งยังไม่รู้ความเลย มันทำให้ผมตัดสินใจลาราชการไปอยู่กับแม่ที่เกาะสมุยทันที มหาวิทยาลัยจะลงโทษผมย้อนหลังก็เชิญตามสบาย ผมขอสารภาพว่าไม่ได้ไปหาวิชาความรู้ เพิ่มอะไร แต่ไปอยู่กับแม่
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ over simpli-fied เหมือนกัน แต่เป็นจริงซึ่งผมคงมีอะไรในใจมากมายอยู่แล้ว เผอิญวันนั้น ภาพนั้น มาเติมให้ผมตัดสินใจทำอะไรได้ วูบเดียว แต่มีพลังมหาศาล
GM : ยกตัวอย่างแบบนี้ก็เข้าใจได้ แต่หลายๆ ตอนในหนังสือมันง่ายเกินไป ทำให้ไม่น่าเชื่อ เพราะอะไรๆ ก็เข้าถึงได้หมด
ประมวล : ครับ, แต่ถ้าผมไม่เคยบวช ไม่เคยธุดงค์ ไม่เคยไปอินเดีย ไม่เคยสอนปรัชญาศาสนาเป็นเวลานานๆ ผมคิดว่าไม่มีทางเลยที่เรื่องราวเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ ที่มันเกิดขึ้นเพราะผมครุ่นคิดและสั่งสมมานาน ผมพูดเสมอว่า ในเชิงความคิด ผมไม่ได้คิดอะไรใหม่ แต่ในเชิงจิตใจและอารมณ์ ผมค้นพบสิ่งใหม่ๆ มากมาย ในเชิงความคิด ผมรู้อยู่แล้วว่าการเอื้อเฟื้อแบ่งปันมีพลัง ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ผมรู้ ทุกคนก็รู้ แต่มันจะมีความหมายจริง ลงลึกจริงๆ ต่อเมื่ออยู่ในโมเมนต์หนึ่ง เหมือนการแผ่เมตตา ผมทำมาเป็นหมื่นๆ ครั้ง ทั้งภาษาไทยและบาลี อยากให้คนอื่น ชีวิตอื่นมีความสุข และเราเองก็จะสงบร่มเย็น รู้มาตลอด แต่วันหนึ่งเมื่อผมนอนและเอื้อมมือไปโดนหมาขี้เรื้อนที่นอนอยู่ข้างๆ และอยากให้มันมีความสุข ผมถึงตระหนักรู้ว่า อ๋อ! นี่เองคือการแผ่เมตตา
GM : เรื่องบางเรื่องคนเราต้องเรียนรู้ผ่านหมาขี้เรื้อน ?
ประมวล : ใช่, (หัวเราะ) ปัญหาคือหลายครั้งไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเราไม่มีถ้อยคำใช้แทนค่าความรู้สึก ถ้อยคำแทนความคิดได้เพราะเป็นคอนเซ็ปต์ ภาษาที่เราพูดคือการร้อยคอนเซ็ปต์ให้เป็นพวง แต่ความรู้สึกไม่ได้เป็นชิ้นๆ ผมไม่เคยอยากเขียนหนังสือมาก่อน ไม่มีความสามารถ หนังสือเล่มนี้เกิดจากความต้องการบอกเล่าความรู้สึกให้คนที่เอื้อเฟื้อผมได้รับรู้ ผมจึงเอาสมุดบันทึกมานั่งอ่านและระลึกถึงที่มาของอารมณ์ในแต่ละเหตุการณ์ บางขณะจิตใจกลับไปสู่อารมณ์เดิมๆ ดีใจจนร้องไห้ เช่น ตอนที่ผมนึกถึงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ขี่มอเตอร์ไซค์เอาเงินมาให้ผม ผมก็ร้องไห้อีก ไม่ได้ร้องเฉพาะตอนเขาให้
ระหว่างที่เดิน ผมจะเขียนบันทึกสั้นๆ ถึงบางสิ่งที่ประทับใจ บางวันไม่ได้เขียน เพราะเหนื่อยเกินไป ไม่สะดวก บางทีมืดแล้ว ส่วนใหญ่โน้ตเพียงสั้นๆ ส่งให้ใครอ่านก็คงไม่เข้าใจ ก่อนเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมเอาเรื่องที่บันทึกไว้ทั้งหมดมาใคร่ครวญว่าจะเล่าเรื่องไหนดี แน่นอนว่าสิ่งไม่ดีผมลบทิ้งหมดเลย เพราะผมต้องการนำสิ่งดีๆ ไปฝากผู้ที่มีบุญคุณกับผม
GM : การจงใจใส่แต่เรื่องดีๆ ลงไป ไม่เป็นการบอกเล่าด้านเดียวหรอกหรือ
ประมวล : เป็นการเล่าด้านเดียว เพราะผมไม่ปรารถนาบอกเล่าส่วนไม่ดี หนังสือเล่มนี้ ยืนยันสถานที่จริง คนจริง ฉะนั้น ถ้าบอกเรื่องไม่ดี อาจทำให้เขาบางคนเสียหาย
GM : อะไรบ้างที่คุณบอกว่าไม่ดี…
ประมวล : เขาขับไล่ผม หาว่าเพี้ยน อยากดัง แม้กระทั่งตำรวจ หลายๆ ที่ ผมเข้าไปถามเพื่อตัดปัญหาเรื่องความสงสัย แทนที่เขาจะมองแง่ดี กลับเป็นตรงข้าม ส่วนหนึ่งคงเพราะผมถามเท่าที่ต้องถาม และไม่ตอบเกินกว่าคำถามของเขา ส่วนใหญ่ผมถามทาง และเขาจะถามกลับว่ามายังไง พอผมบอกว่าเดินมา เขาก็จะว่าเดินทำไม รถเรือก็มี ทำไมไม่นั่ง พูดเหมือนสอน วิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยถามเป้าหมายลึกๆ บางทีถามว่าเคยทำงานอะไร ผมบอกว่าเป็นครู เขาก็ใส่เลย นี่ ครูทำตัวแบบนี้แล้วลูกศิษย์จะขนาดไหน (หัวเราะ) แทนที่จะถามดีๆ เขาตีความไปเองตลอดว่าเพี้ยนบ้าง อยากดังบ้าง นี่คือเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าเป็นชาวบ้าน ส่วนหนึ่งจะระแวง และการแสดงออกของเขามี 2 อย่างคือกลัวแล้วจะยอม ส่วนอีกพวกหนึ่งที่มีการศึกษา มักจะข่ม การข่มของเขาเกิดจากความเชื่อเชิงเคยชินว่าคนทำอะไรแปลกๆ ต้องมีอะไรในใจ เพี้ยน บ้า ซึ่งเขาจะหมิ่นแคลน แต่ผมเข้าใจและไม่ได้คิดว่าเขาหมิ่นแคลนผม ทั้งที่จริงใช่ เป็นการดูถูกมากๆ ด้วย อย่างเมื่อกี้ที่บอกว่า-อาจารย์ยังเป็นแบบนี้ ลูกศิษย์จะขนาดไหน ซึ่งถ้าเราถือโทษ โกรธ และนำมาเขียน เขาจะเสียหาย
GM : โดยรวมแล้ว เรื่องแย่ๆ มีเยอะไหม
ประมวล : เรื่องดีมีมากกว่าครับ เรื่องไม่ดี ตอนเริ่มต้นเดินทางมีเยอะ ประมาณครึ่งต่อครึ่ง แต่ในจำนวนนั้นก็เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่พอได้คุยแล้วเปลี่ยน มีทัศนคติดีขึ้น เช่น จากเดิมที่คิดว่าผมบ้า วาจาที่ใช้ดูถูก สักพักพอคุยไป เขาจะเปลี่ยนท่าที อาจเพราะผมอดทน นุ่มนวล ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบเชิงก้าวร้าว จึงทำให้เขาเปลี่ยนมีพระรูปหนึ่ง ท่านถามด้วยความคุกคามมาก ตอบอะไรไปก็ไม่เชื่อเลย เช่น ผมบอกว่าอยู่เชียงใหม่ ท่านพูดเสียงดังมากว่าอยู่ตรงไหน เหมือนกับว่าท่านเคยไปเที่ยว เลยอยากซัก อยู่กี่ปี ผมบอกว่าอยู่ 20 ปี ท่านว่าพูดคำเมืองสักคำสิ ผมบอกว่าเป็นคนลิ้นแข็ง ภาษากลางยังพูดไม่ชัดเลย ท่านบอกว่าเป็นไปได้ยังไง อยู่ 20 กว่าปี พูดไม่ได้สักคำ พยายามข่มขู่ ทีแรกจะไม่อนุญาตให้นอนด้วยซ้ำ คุยไปๆ ท่านเริ่มจับทางได้ว่าผมสนใจศาสนา ก็เลยตรวจสอบใหญ่ จนมายอมตอนที่ถามถึงงานท่านพุทธทาส ท่านถามว่ามีหนังสืออะไรบ้าง ผมบอกว่าเจ้าสำนักสวนโมกข์ท่านนี้มีงานหลายช่วง ช่วงแรกเป็นงานเขียนจริงๆ พูดถึงพุทธวจนะ เช่น ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ ต่อมาเป็นงานเตรียมตัวแสดงปาฐกถา ตอนหลังพูดและนำมาถอดเทป ชุดธรรมโฆษนี่มาจากการพูดทั้งหมด ผมไล่ทีละเล่ม ไล่ไปสักพัก ท่านโบกมือบอกว่าพอๆ ลุกขึ้นเดินเข้ากุฏิ และกลับออกมาใหม่พร้อมด้วยขนมและผลไม้ (หัวเราะ)
GM : การเดินไกลขนาดนี้เหนื่อยกายแน่ๆ แต่ทางใจก็ดูท่าว่าต้องใช้ความอดทนสูงมาก อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ คุณเคยถึงขั้นจะถอดใจไหม
ประมวล : เหนื่อย หนัก แต่ไม่ถึงกับถอดใจ คือจิตของเรามีเลศนัยบางอย่างที่คิดปรุงแต่ง เช่น ตอนที่มีคนให้เงิน ผมจะนำไปซื้อน้ำกินก็ได้ใช่ไหมครับ ตอนหิวน้ำมากๆ หิวที่สุด หรือเวลาเจอคน ความจริงผมไม่ต้องเข้าไปถามอะไร แต่อยากเข้าไปเพราะหวังว่าเขาจะคุยด้วย และรู้ว่าผมไม่มีน้ำกิน
GM : ส่วนใหญ่ต่อสู้กับตัวเองมากกว่า ไม่เคยมีเหตุการณ์ไหนเลวร้ายถึงขั้นเซ็งกับมนุษย์ เบื่อ ไม่เอาแล้ว
ประมวล : ไม่มี มีแต่บางทีแยกไม่ออกว่าเราต้องการจากผู้อื่น หรือต้องการเกื้อกูลผู้อื่น ซับซ้อนมาก เช่น ผมเดินผ่านหมู่บ้านหนึ่ง ผมรู้เลยว่าเขาสงสัย แต่ไม่กล้าถาม ปกติถ้าเจอเช่นนี้ ผมจะทำทีเข้าไปถามทาง เพื่อให้ได้คุยกัน เมื่อเขาได้รู้ จะได้ไม่กังวลกลัว ขณะเดียวกันนั้น ผมหิวน้ำมาก…ตกลงผมเข้าไปเพื่อขอน้ำกินหรือเปล่า เพราะสุดท้ายเขาก็ให้น้ำเรากินจริงๆ ผมเลยมีคำถามเสมอว่าตกลงเราต้องการอนุเคราะห์เขา หรืออยากให้เขาอนุเคราะห์
GM : ตั้งแต่วันแรกที่ออกจากบ้าน คุณมั่นใจไหมว่าจะทำสำเร็จ
ประมวล : ผมไม่คิดเรื่องความสำเร็จเลย อย่างเลวร้ายสุดที่ผมคิดคือตาย เพราะมีสิทธิ์ที่จะตาย ถ้าผมยืนยันที่จะไม่ขอ ในความหมายเคร่งครัดมากๆ ขณะที่ผมหิวจัด ในใจจะเกิดการโต้แย้งกันเองว่าอยากเข้าไปบำบัดความกลัวของเขา หรือเราอยากได้น้ำกิน นาทีไหนที่ผมตอบตัวเองชัดๆ ไม่ได้ ผมหันหลังเดินต่อเลย คือไม่มั่นใจว่าจะเอายังไงแน่ ความรู้สึกแบบนี้บอกตัวเอง ว่าผมมีสิทธิ์ตาย เพราะหลายช่วงที่อดน้ำนานๆ ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรง มาก ผมตายได้จริงๆ แต่ตอนนั้นคิดว่าไม่เป็นไร ตายก็ได้ ผมไม่อยากประกาศว่าการเดินครั้งนี้เดิมพันด้วยชีวิต มันกดดันตัวเองเปล่าๆ แต่แท้จริงแล้วผมทำใจยอมรับว่าตายก็ได้
GM : คุณไม่คิดหรือว่าการมีชีวิตอยู่ น่าจะดีกว่าตาย ทำประโยชน์ได้มากกว่า ?
ประมวล : ผิด-ถูกไม่รู้นะ ผมคิดว่าผมใช้ชีวิตมาพอสมควรแล้ว 52 ปี ถ้าจะตายในการเดินคงไม่เบียดเบียนใครเท่าไรหรอก อาจเป็นการสงเคราะห์ สังคมด้วยซ้ำที่ทำให้รู้ว่าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ถ้าผมโง่ อาจมีคนคิดแบบผม แต่ฉลาดกว่า ทำได้ดีกว่า พัฒนาต่อไปได้ขณะที่เดินส่วนใหญ่ผมไม่คิดมาก เกิดการปรุงแต่งขึ้นในใจเมื่อไร ผมพยายามตัด หากมีวูบหนึ่งที่คิด ผมไม่ถักทอให้คิดเป็นระบบ รีบตัดมันไปเลย ทำให้ความรู้สึกด้านลบไม่ก่อตัว ผมเดินด้วยความเบิกบานมาก ถ้ารู้ตัวว่าขุ่นมัวเมื่อไร ผมรีบกำจัดออกไปทันที
GM : ช่วงที่ร้อนมากๆ คุณทำยังไง
ประมวล : ร้อนก็ไม่เท่าไร แต่ร้อนและไม่มีน้ำกิน มันแย่จนบอกไม่ถูก น้ำลายเหนียวและขมมาก ผมไม่แน่ใจว่าเวลาใกล้ตาย คนเรามีอาการเป็นยังไง แต่ผมคิดว่าภาวะนั้นใกล้ตาย น้ำลายขม เหนียว สายตาพร่า ผมเผชิญสิ่งนั้นจริงๆ มองหน้าคนเบลอหลายชั้น เห็นปากพูด แต่ฟังไม่ชัด นาทีนั้นผมรู้ว่ากำลังแย่แล้ว แต่ไม่เคยลังเล ไม่กลัวเลย จนกระทั่งเมื่อเป็นลมและต่อมามีคนชวนผมนั่งรถไปกับเขา มีสติดีแล้วผมนึกถึงคำพระ เริ่มคิด รู้เลยว่าตัวเอง บกพร่อง ผิดพลาด ทำไมต้องหาเรื่องให้ตัวเองตาย พระก็เตือนมาแล้วว่าสังขารนี้เกาะไว้ให้ดี เพราะใช้ประโยชน์ ได้ รู้สึกผิด จึงแวะที่ท่ายางเพื่อไปวัดที่ผมรู้อยู่แล้วว่าเจ้าอาวาสวัดนี้เป็นคนจังหวัดตรัง และมีพระที่รู้จักผมอยู่ที่นี่ ถามว่าละเมิดกฎไหมว่าจะไม่ไปหาคนรู้จัก ละเมิดแน่นอน แต่ผมทำเพราะต้องการหยุดพัก พักเพื่อทบทวนตัวเองจริงๆ ถ้าไม่หยุด คงไม่สามารถทบทวน ได้ทั้งโครงสร้างภายในวัดนั้น ผมได้พักและทบทวน อย่างรอบคอบ และพบว่าผมผิดพลาดมากที่ใช้กฎเกณฑ์ตายตัว เข้มงวดเกินไป ซึ่งไม่เกิดผลดีเท่าไร
GM : ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรแค่ไหน สุดท้ายก็ทำได้สมปรารถนาแล้ว คนคนหนึ่งสามารถเดินจากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุยโดยไม่ใช้เงินได้จริงๆ ถึงตอนนี้คุณอยากแนะนำให้คนอื่นเดินไกลๆ แบบนี้อีกไหม
ประมวล : ไม่แนะนำ การเดินไม่ได้เป็นเรื่องดีกับโครงสร้างสังคมแบบนี้ โดยเฉพาะคนในวัยหนุ่มสาว ความแข็งแรงอาจทำให้คุณอาจเดินได้ไกล ได้ระยะทาง แต่คุณคงไม่ได้ความลุ่มลึกทางจิตใจเท่าไร ผมพูดตรงๆ เลย ลูกศิษย์บางคนอยากทำ ผมบอกว่าอย่า และขอโทษจริงๆ ที่การกระทำ ของผมทำให้เขาอยากเลียนแบบ ถ้าคุณสื่อสารได้ คุณช่วยสื่อสารด้วยว่าผมขอโทษ ที่กลายเป็นแบบ
GM : คุณคิดว่าคุณทำได้คนเดียวหรือ คนอื่นเดินไม่ได้
ประมวล : เปล่าเลยครับ แต่ผมไม่เห็นด้วย ถ้าเขาจะเดินเพราะอยากทำตาม อย่างผม เขาจะเดิน เขาต้องมีโครง- สร้างความเชื่อ ความคิดของเขาเองในใจ ผมไม่ได้ห้ามว่าอย่ามาเดิน แต่ผมไม่สนับสนุนให้ใครมาเลียนแบบ ถ้าคุณอยากได้ความหมายชีวิต เอาเลยครับ คุณคิดค้นวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ผมสนับสนุนเต็มที่ ถ้าคุณเป็นนักศึกษาและอยากเรียนเอาเกียรตินิยม เอาเลย ตั้งจิตอธิษฐานเลยว่าจะตั้งใจศึกษาด้วยจิตใจเบิกบาน คุณไม่ต้องไปเดิน สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือการใช้สถานการณ์ สภาพแวดล้อม และโครงสร้างชีวิตที่เรามีอยู่ เพื่อปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่าง ที่ผ่านมาเราเน้นความสะดวกสบาย ยึดมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นมีความหมาย ผมอยากบอกว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณมีท่าทีว่าติด ต้องการไขว่คว้าหาความสะดวกสบายตลอดเวลา หาเงินมากมายมหาศาลเพื่อซื้อความสะดวกสบาย ผมว่าในที่สุดคุณจะสูญเสียเวลาของชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย ตรงกันข้าม วันหนึ่งคุณเปลี่ยนท่าที คุณไม่รังเกียจความลำบาก ไม่ต้องถึงกับวิ่งเข้าไปชนความลำบาก แต่คุณไม่รังเกียจมัน คุณผจญความยากลำบากบ้าง เหมือนเราออกกำลังกาย เหนื่อย เหงื่อโทรม แต่เราทำ ยอมเหนื่อย เพราะเราคาดหวังผลว่าจะสุขภาพดี ผมว่าถูกต้อง เรากำลังพูดในเชิงจิตใจว่าการเผชิญความลำบากเหล่านี้สามารถเสริมสุขภาวะทางใจได้ จิตใจแข็งแรงจริงๆการออกกำลังใจเพื่อให้ใจแข็งแรงไม่จำเป็นต้องเดินเท่านั้น แต่จะเดินก็ได้นะครับ แค่ไม่อยากให้เดินเพราะยึดติดรูปแบบของผม
GM : คุณคิดว่าการจะค้นพบสิ่งยิ่งใหญ่หรือเรื่องสลักสำคัญได้ ต้องผ่านกระบวนการเพียรพยายามอย่างหนักเท่านั้นไหม ไม่ใช่การนอนสบายอยู่ที่บ้าน แล้วก็ค้นพบ
ประมวล : ผมเชื่อว่าต้องลำบาก ผ่านความเพียรอย่างหนักเท่านั้น ผมมั่นใจ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ได้ ต้องใช้ความเพียรพยายามเท่าไร พระองค์เคยตรัสว่าทุกครั้งที่มีความทุกข์ มีน้ำตาไหลออกมา ถ้าเอาน้ำตาแห่งความทุกข์มารวมกัน ปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทร แน่นอนว่านี่คือคำอุปมาเชิงกวีโวหารเพื่อบอกว่ากว่าจิตจะรู้แจ้ง จิตนั้นต้องเสพเสวยอารมณ์ทุกข์มาอย่างมากมาย
GM : ไม่มีเลยหรือที่คนเราจะพ้นทุกข์อย่างสบายๆ
ประมวล : พ้นทุกข์ ความหมายของมันคือการรู้แจ้งในทุกข์
GM : ฉะนั้น ถ้าใครสักคนจะรู้แจ้งทุกข์ในทุกข์ก็ต้องทุกข์ก่อน ?
ประมวล : ใช่, นี่คือเหตุผลว่าทำไมในพุทธศาสนาจึงเขียนไว้เป็นทฤษฎีเลยว่าเทวดาบนสวรรค์ไม่มีโอกาสตรัสรู้ธรรมขั้นสูงได้ เพราะเทวดาสุขสบาย ถ้าจะให้รู้ธรรมได้ ต้องลำบาก จำได้ไหม เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดา ต้องให้พระมารดาลดชั้นสวรรค์ลงมาก่อน ถามว่าทำไมต้องลด เพราะถ้าอยู่ในชั้นสูงก็ไม่สามารถรู้แจ้งในธรรมได้ รู้แจ้งธรรมคือรู้กระจ่างในทุกข์ ในศาสนาไม่มีคำว่า ‘บรรลุนิพพาน’ ท่านใช้คำว่า ‘การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน’ หมายความว่าจิตเรากระจ่างชัด ไม่ได้หมายความว่าเรารู้อะไร แค่กระจ่างชัดในความทุกข์
GM : ทำไมเราไม่เลือกที่จะกระจ่างชัดในสุข น่าจะสบายกว่า ?
ประมวล : เพราะความสุขไม่ต้องทำให้แจ้ง ความสุขคือสิ่งซึ่งทนได้ง่าย ทุกข์คือทนได้ยาก ฉะนั้น มีความสุขก็แค่อยู่กับมันไปเท่านั้นเอง ต่างจากความทุกข์ที่แง่หนึ่งหมายถึงความเสื่อม แปรปรวน เราจึงต้องทำให้แจ้ง ภาษาพระบอกว่าไม่มีจริงหรอกสุขน่ะ แค่ทุกข์น้อยเท่านั้นเอง ในชีวิต เราเจอภาวะกดดันเยอะ มาจากทุกด้าน ทุกเรื่อง พูดง่ายๆ ว่าชีวิตเป็นทุกข์ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
GM : ตอนที่จะออกเดินครั้งแรกๆ คุณเคยคิดว่าจะชวนภรรยาไปด้วยไหม เท่าที่คุณเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งไปรษณียบัตรถึงทุกวันก็ดี เรื่องแวะกินข้าวร้านที่เคยกินด้วยกันก็ดี ช่างเป็นความสวยงาม เป็นคู่ชีวิตที่มีความสุข แล้วทำไมไม่มาเดินด้วยกัน
ประมวล : ผมต้องการศึกษาตัวเอง ถ้าเดินหลายคนจะบรรลุเป้าหมายยาก อย่างเรื่องความกลัว จะเอาชนะความกลัวไม่ได้เลย เพราะเรากลัว โดดเดี่ยว ว้าเหว่ เราจึงอยากมีเพื่อน มีคู่ชีวิต ฉะนั้น เมื่อผมต้องการเผชิญอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ เพื่อจะได้เข้าใจ รู้แจ้ง ผมจึงต้องเดินคนเดียว
GM : คุณมีวิธีอย่างไร ถึงจัดการความรักได้ดีอยู่เสมอ
ประมวล : ประสบการณ์เรื่องรักของผม ผมใคร่ครวญมาก รักของผมหมายถึงความเมตตากรุณาด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสิเน่หา และไม่ใช่อยู่ๆ งอกงามขึ้นมาเลย ผมเห็นความหมายของสัญชาตญาณ มันเป็นความรู้ชุดหนึ่งที่ทำให้สามารถทำหรือไม่สามารถทำอะไรบางอย่าง ผมเข้าใจว่าสัญชาตญาณกับความรู้ชั้นสูงมาเชื่อมโยงกันอยู่ แม้กระทั่งความรักในมิติสูงส่งก็งอกงามมาจากสัญชาตญาณดิบ ภาษาพระเรียกว่าดอกบัวที่ผ่องแผ้วงอกมาจากโคลนตม คล้ายๆ กันเลยครับ เพราะเรามีสัญชาตญาณ กระหายใคร่ในเพื่อนมนุษย์มิใช่หรือ จึงทำให้เราต้องแสดง ปรับตัว โน้มนำเขามาหาเรา ความรู้สึกเหล่านี้อาจเป็นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มีการพัฒนาบุคลิกภาพ สัตว์บางอย่างอาจมีการผลัดขน เปลี่ยนสี ดึงดูดความสนใจคู่ของมัน แม้กระทั่งความรักที่อิงกับความเมตตากรุณา ผมว่าอยู่ดีๆ คงไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่มันเชื่อมโยงกับสัญชาตญาณบางอย่าง เป็นปุ๋ย เป็นสิ่งหล่อเลี้ยง ก่อนจะแปรรูปสู่ความเมตตากรุณาเวลาผมพูดเรื่องความรักที่งดงาม เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดเรื่องรากฐานของมนุษย์ด้วย เราไม่ควรรังเกียจสัญชาตญาณพื้นฐาน เพราะนั่นเหมือนเราปรารถนาดอกบัว แต่ไม่เอาโคลนตม บัวที่ห้อยแขวนอยู่บนท้องฟ้า มันจะงดงามได้หรือสัญชาตญาณสอนเราเยอะมาก แต่เรามักไม่เคารพมัน ไม่ให้ค่าหรือน้อมนำหัวใจเราไปรับฟัง เอาแต่ตั้งแง่รังเกียจ เวลาพูดเรื่องความรัก ผมอยากให้เราตั้งจิตคารวะให้กลับไปสู่สัญชาตญาณแห่งความรักให้ได้ เพราะทุกคนมีอยู่ตอนผมเป็นเด็กหนุ่ม ผมเคยทำผิด และความผิดของผมต่อมาพัฒนากลายเป็นความนุ่มนวลได้ตอนผมอายุ 16 ย่าง 17 ช่วงก่อนบวช ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่งมาก เธอเป็นคนสวย ผิวขาว คนใต้กับผิวขาวนี่น่าตื่นเต้นมากนะครับ (หัวเราะ) และผมชั่วมากที่ไปแอบดูเธออาบน้ำในคลอง เธอนุ่งผ้าถุง อาบเสร็จ ต้องเปลี่ยนผ้าถุงอีกผืน ก่อนเปลี่ยน ต้องถลกผ้าถุงขึ้นมาบิดให้น้ำแห้ง ช่วงถลกเหนือเข่า เราก็แอบดูกันใหญ่ ผมลงทุนปีนต้นไม้แอบซ่อนรอดู ใช้ความอดทนสูงมาก
GM : ความอดทนในการทำความดีสูงเท่าไร ความอดทนในการทำความชั่วก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่า ?
ประมวล : ถูกต้อง (หัวเราะ) และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่สัญชาตญาณชั่วมีพลังมาก วันหนึ่งผมใช้เลศนัยเพื่อจะข่มขืนผู้หญิงคนนี้ ลวงเข้าไปในบ้านพักคนงานกรีดยาง หาวิธีลวงไปจนได้ เล่าไป น้ำตาจะไหลหรือเปล่าไม่รู้ ผมยังจำได้แม่น ตอนที่ผมถอดเสื้อผ้าเธอออกหมดแล้ว กำลังจะทำมิดีมิร้าย ผมเห็นน้ำตาเธอไหล เพราะคงตกใจ ไม่คิดว่าผมจะทำแบบนี้ได้ เธอร้องไห้ ร้องแบบไม่มีเสียงนะครับ นาทีนั้นความหื่นกระหายของผมลดลงโดยทันทีทันใด ยังจำภาพได้ว่าผมหยิบเสื้อผ้ามาคืนให้ ช่วยกลัดกระดุม
เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผมหยาบ-คายมาก หยาบและป่าเถื่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ และต่อมาผู้หญิงคนนี้มาแต่งงานกับญาติผู้พี่ของผม ตามหลักผมต้องไหว้เธอเพราะเป็นญาติผู้พี่ แต่ผู้หญิงคนนี้ไหว้ผมก่อนทุกครั้ง จนถึงทุกวันนี้ ผมมาระลึกนึกได้ ถ้าวันนั้นกูทำ ผู้หญิงคนนี้จะยกมือไหว้กูไหม ทำไมกูโชคดีขนาดนี้ คือทำชั่วไม่สำเร็จ ทำได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ
ความรู้สึกของผมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมาคือผมเริ่มตระหนักถึงความหยาบ ความสากในใจ ทำให้รู้เลยว่าผมควรขัดเกลาให้ละเอียดนุ่มนวลขึ้น โชคดีที่ผมมีโอกาสบวช นั่นเหมือนได้ขูด ขัดเกลาความสากหยาบ ให้ค่อยลบออกไปบ้าง ลองนึกถึงภาพการ
ขัดกระดาษทรายนะครับ จริงๆ ในธรรมชาติเราหยาบ แต่สามารถขูด ขัด ให้นุ่มนวล และเมตตากรุณาได้ และผมเชื่อว่าถ้าเราไม่มีสัญชาตญาณดิบเดิมฝังอยู่ เราขูดขัดให้ละเอียดไม่ได้ ผมอยากถ่ายทอดเรื่องนี้ให้คนหนุ่มสาวพูดเรื่องนี้แล้วผมนึกถึงนักศึกษาอีกคนหนึ่งซึ่งผมสนิทมาก เขาถามผมว่าอาจารย์ใฝ่ฝันอะไรบ้างในชีวิต นักศึกษาคนนี้สนใจเรื่องหนัง เคยทำหนังสั้นได้รางวัลมาแล้ว ผมบอกว่าผมใฝ่ฝันอยากทำหนังโป๊ (หัวเราะ) เขาถามว่าทำไมล่ะ ผมบอกว่าผมดูหนังมาเยอะมาก ดูหนังโป๊ก็เยอะ ผมเสียดายมากเลยที่เราไม่มีหนังโป๊ดีๆ ดูกัน ถ้าเรามี เราจะนุ่มนวลมากกว่านี้ เท่าที่เห็น สังคมเรามีแต่หนังโป๊หยาบๆ ไม่ว่าผลิตที่ไหนในโลกนี้ ไม่เคยมีเรื่องไหนนุ่มนวลมากพอ บางเรื่องใกล้เคียง แต่ยังไม่ได้ ไม่ผ่าน ผมจึงใฝ่ฝัน ถ้าไม่ตายเสียก่อน อาจได้ทำ นี่พูดจริงๆ เพราะผมอยากให้คนหนุ่มสาวได้เรียนรู้สัญชาตญาณ มีโอกาสขัดเกลาความสากหยาบนั้นจนกลายเป็นความรักอันงดงาม ผมเชื่อว่าความรักที่สูงส่งงอกงามมาจากความรักที่หยาบๆ
GM : พอแต่งงาน คุณก็มีชีวิตคู่ที่ดีตลอดมาเลยหรือ ไม่ค่อยมีปัญหา ?
ประมวล : ค่อนข้างดีครับ ดีเพราะผมเตรียมตัวอย่างดี สมกับที่เรียนดอกเตอร์มา (หัวเราะ) ผมแต่งงานตอนอายุ 32 ปี ศึกษาตำรามามากตามประสาคนคงแก่เรียน ทฤษฎีเยอะ และทฤษฎีส่วนใหญ่ใช้ไม่ได้ แต่จะบอกว่าไม่มีประโยชน์เลยก็ไม่ใช่ ทฤษฎีทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่ถ้ายึดติดมันมากก็รุงรัง สุดท้ายจะจำแต่ทฤษฎี ไม่สามารถประสานกับภาคปฏิบัติได้
GM : คุณคิดยังไงกับเรื่องกิ๊ก
ประมวล : ผมคิดว่าเป็นความจำเป็นทางพื้นที่ในปัจจุบัน คือสังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ทำให้บางพื้นที่เปลี่ยน ทำให้เราจำเป็นต้องมีพื้นที่ใหม่ และต่อไปคงต้องมีอะไรมากกว่ากิ๊ก ยังไม่จบแค่นี้ ต้องมีไปอีก เพราะโครงสร้างทางความสัมพันธ์ปรับขยับขยายมาก ผมไม่เคยคิดเปรียบเทียบเลยว่าสมัยผม ผมไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้ เพราะสมัยนั้นมีพื้นที่อื่นให้ผมอยู่อาศัยได้ แต่พอมาถึงรุ่นคนหนุ่มสาวปัจจุบันมันไม่มี ถ้าผมอยู่ในวัยนี้ แน่นอน, ผมคงต้องมี คำถามก็คือเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ เราจะจัดสรรพื้นที่นี้อย่างไรให้สัมพันธ์กับส่วนอื่น ไม่เกะกะรุงรัง แม้ว่าเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่ควรส่งเสริมชีวิต ผมไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือความเลวร้าย ตกต่ำ
GM : เหมือนโสเภณีอย่างนั้นหรือเปล่า ?
ประมวล : ใช่, ถ้าเรานำเกณฑ์บางอย่างมาจับ เอาอดีตมาตี มันไม่มีวันถูกอยู่แล้ว สำหรับผม ผมเห็นใจด้วยซ้ำ ผมพยายามคุยกับนักศึกษาและหาค่าเฉลี่ยความสัมพันธ์หนุ่มสาวสักคู่ ที่เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ถึงระดับมีเพศสัมพันธ์ได้ เชื่อไหมว่าใช้เวลาไม่นานเลย เดือนหนึ่งถือว่านานแล้ว ถามว่าทำไมถึงเร็ว เพราะโลกมันเร็วในทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งจิตใจของเรา จังหวะของความรู้สึกเร็วขึ้น แน่นอนว่าจังหวะของความสัมพันธ์ย่อมไม่สามารถเต้นในจังหวะเดิมได้อีกต่อไป
GM : อันตรายสำหรับคนหนุ่มสาวไหม
ประมวล : พูดถึงอันตราย หนุ่มสาวสมัยผมกับสมัยนี้ ก็อันตรายพอๆ กัน ขึ้นอยู่กับการรับรู้ เรียนรู้ หนุ่มสาวปัจจุบันรับรู้ข้อมูลเชิงกระตุ้นเร้าได้เร็วมาก ผมเคยเปรียบเทียบว่าสมัยผมกว่าจะได้ดูหนังสือโป๊สักเล่ม มันยากมาก กว่าจะเก็บเงินได้ 200 บาทแล้วฝากเพื่อนซื้อที่สนามหลวง ผมอยากพูดให้เห็นภาพเพิ่มขึ้นนะ 200 บาทสำหรับหนังสือโป๊เล่มหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าสมัยนั้นข้าวสารชั้นดีถังละ 28 บาท ลองเทียบดูว่าซื้อข้าวสารได้เท่าไร แล้วหนังสือไม่ได้ดีเด่อะไรเลย แต่เราก็ซื้อและเสพสิ่งเหล่านี้ ปัจจุบันหนุ่มสาวเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ง่าย เร็ว และมีประสิทธิภาพมากในการกระตุ้นเร้า
ผมคิดว่าแท้จริงแล้วหนุ่มสาวปัจจุบันต้องการความรู้ที่มากกว่าข้อมูล ความรู้เชิงความคิดและจินตนาการ แต่เขาขาดแคลน ผมถึงอยากสร้างหนังโป๊ หนังโป๊คือจินตนาการสำเร็จรูปที่ผลิตจำหน่ายให้เยาวชน และจินตนาการสำเร็จรูปนี้ไม่มีสาระเอาเลย หยาบคาย เป็นอาหารขยะ เมื่อบริโภคแล้วทำให้จินตนาการทางเพศชำรุดทรุดโทรม ไม่งดงาม ฉะนั้น ทำยังไงจะให้จินตนาการของเรางดงาม ก็ต้องสร้างเอง ปัญหาคือทุกวันนี้เราก็ไม่สามารถสร้างเองได้เพราะเสพจินตนาการสำเร็จรูปจนชิน พอชิน คือจินตนาการสำเร็จรูปนี้รวมถึงเรื่องความงามด้วยนะครับ เยาวชนคนหนุ่มสาว ไม่มีความสามารถสร้างความงามเป็นของตัวเองได้ เพราะเขาบริโภคความงามสำเร็จรูปจนชิน และจินตนาการสำเร็จรูปนั้นๆ ก็ล้วนมีเลศนัยการค้าสูงมาก จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง
ผมคิดว่าตลกมากที่ผู้ค้าถุงยางอนามัยสำรวจและค้นหาผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุด และคุณลูกเกด (เมทินี กิ่งโพยม) ได้ตำแหน่งนี้ติดต่อกัน 2 ปี 3 ปี ทำไมแย่ขนาดนี้ ความงามต้องมีหลากหลาย คนเราสามารถชอบผู้หญิงตัวเล็กๆ ดำๆ ดั้งหักได้ เป็นความงามได้ ทำไมคุณต้องจินตนาการถึงคุณลูกเกดเท่านั้น ผมว่าตลกมาก ตลกร้าย ตลกเจ็บ ที่เราไม่สามารถมีความงามที่เหมาะสมและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเชิงกายภาพได้ สุดท้ายเราก็ตกเป็นเหยื่อการค้า และค่านิยมจอมปลอม
GM : คุณคิดว่าทำยังไงจึงจะฟื้นฟูความสามารถในการมองเห็นความงามเฉพาะตัวกลับมาใหม่
ประมวล : เท่าที่ดูก็ยาก มันทับถมมานาน เมื่อก่อนข้อมูลสำเร็จรูปหรือจินตนาการสำเร็จรูปมีน้อย เราต้องต่อเติมเอาเองมาก แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถจินตนาการจากห้วงอวกาศได้ มันต้องมีข้อเท็จจริงบางอย่างอยู่ มีวัตถุดิบ แต่ตอนนี้เราแทบไม่มีวัตถุดิบเลย โผล่หน้าออกจากบ้านไปก็เจอแต่อาหารถุง เราจึงกินอาหารเหมือนกันหมด อย่าหาความต่างนะครับ ยิ่งถัดจากนี้จะไม่มีแล้ว สุดท้ายมันถูกทำมาจากส่วนกลางทั้งหมด บะหมี่สำเร็จรูปมีหมดทุกรส ฉะนั้น คุณไม่จำเป็นต้องกินอาหารอื่นอีกแล้ว อยากกินอาหารอีสานก็กินบะหมี่สำเร็จรูป อยากกินอาหารใต้ก็กินบะหมี่สำเร็จรูป มีหมดทุกอย่าง ต่อไปคงมีรสสะตอ
รสนิยมเชิงจินตนาการทางเพศก็เหมือนกัน เราถูกครอบงำด้วยอำนาจบางอย่าง เขาป้อนจินตนาการสำเร็จรูปให้เราทั้งหมด ทำให้มนุษย์เป็นแมส เป็นมวลชนที่ดึงไปไหนก็ได้ ความงามจึงเป็นอย่างเดียวกับที่เขาต้องการจะขาย แม้กระทั่งรสนิยมทางเพศก็เป็นรสนิยมตลาดที่ถูกผลิตขึ้นมาสัมพันธ์กับตลาดที่มีคนครอบงำอยู่อย่างแข็งแรงมาก ผมคิดว่ายากจริงๆ ที่หนุ่มสาววันนี้จะมีโอกาสปรุงแต่งจินตนาการด้วยตัวเอง ยากเพราะเราดูทีวีช่องเดียวกัน ละครช่องเดียวกัน พระเอกนางเอกคนเดียวกัน รสนิยมในการใช้ชีวิตเหมือนกัน และสิ่งเหล่านี้คือความสูญเสียอย่างรุนแรงในเรื่องความหลากหลาย
ไม่ใช่เฉพาะสังคมไทย แต่เป็นทั่วโลก ขนาดนิโกร ขอโทษนะครับที่ต้องใช้คำนี้ นิโกรยังเริ่มนิยมคนผิวสีจางลง เราดูนางเอกนิโกรสิ ไม่ดำเข้มอย่างโบราณแล้วนะ เขาเรียกกาแฟใส่นม ไม่ใช่โอเลี้ยงแล้ว เมื่อก่อนผมมีเพื่อนนิโกร เคยถามเขาว่าเวลาจินตนาการทางเพศ คุณนึกถึงผู้หญิงผิวสีอะไร เขาบอกว่าสีดำสิ แสดงว่าเพื่อนผมใช้ได้ (หัวเราะ) ถ้าเป็นตอนนี้ ทุกคนเริ่มดูหนังสมัยใหม่เหมือนกันหมด เขาอาจไม่ตอบแบบเดิมแล้วก็ได้ เพราะมันยากจริงๆ ที่จะหลุดออกจากอำนาจนี้
วิถีชีวิตเราเป็นเหมือนกัน กินเหล้า เบียร์ และอาหารอย่างเดียวกันทั้งประเทศ ชีวิตที่ถูกนิยามว่าดีมีอย่างเดียว มีคนบอกว่าความหนึ่งเดียวกันเป็นสิ่งดี ระเบียบเป็นเรื่องดี ความเร็วเป็นสิ่งดี สิ่งเหล่านี้เราไม่เคยตั้งคำถาม เลยว่ามันดีจริงหรือเปล่า ผมอยากเถียงว่าความช้าก็เป็นความดีได้ ถ้ามีคนบอกว่าผู้หญิงผิวขาวเท่านั้นที่สวย ผมอยากบอกว่าผู้หญิงผิวคล้ำที่ภาคใต้บ้านผมก็สวยเหมือนกัน อย่ามารังเกียจ ผู้หญิงอีสานดั้งหักก็สวย แฟนผมเป็นคนอีสาน ผมว่าก็สวยเหมือนกัน คุณอย่ามาระราน ข่มเหง หรือสรุปว่าความงามมีแบบเดียว
GM : ฟังดูคุณท่าจะเป็นคนกลุ่มน้อยเหลือเกินในสังคมนี้
ประมวล : ใช่
GM : คนกลุ่มน้อยมีชีวิตอยู่ได้ไหม หรือทำยังไงให้แข็งแรงพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่อึดอัดเกินไปนัก
ประมวล : ถ้าใช้คำของยุคสมัยก็ต้องบอกว่าแปรวิกฤติให้เป็นโอกาส ช่วงที่ถูกผลักให้เป็นคนชายขอบ เราก็มีโอกาสมองเห็นศูนย์กลางชัดขึ้น ผมชอบมากที่มีนักเขียนคนหนึ่งเล่าเรื่องนักบินอวกาศ ที่บินออกไปนอกโลกแล้วมองกลับมายังโลก เขาเห็นก้อนอะไรเล็กๆ ก้อนหนึ่ง เมื่อเขากลับมา เขามองโลกด้วยสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปเลย แน่นอน, นี่คือ over simplified แต่ผมเข้าใจได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะสิ่งที่เราเคยคิดว่าใหญ่ ทันทีที่เราเห็นเป็นก้อนหินสีเขียวเล็กๆ ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ โลกยังแค่นี้ แล้วตัวเราล่ะ ผมเข้าใจว่าทำไมนักบินอวกาศคนนั้นจึงเปลี่ยนความคิดได้ ผมเอง ผมไม่อยากบอกว่าที่ผมทำนั้นถูก แต่ทันทีที่ผมถีบตัวเองออกมาจากระบบ จากอำนาจ ผมมองชีวิตเปลี่ยนไปเยอะ อำนาจที่เคยมีเสน่ห์เย้ายวน ชวนให้เราใฝ่หา ถึงขั้นยอมตัดมิตรภาพก่อนลาออกจากราชการ…
เพื่อนผมเป็นคณบดี วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในคณะขัดแย้งกับเขา ถึงขั้นต้องถูกลงโทษ ผู้หญิงคนนี้มาหาผม โอเค คณบดีเป็นเพื่อนผม ผมจึงไปคุย นั่งฟังเหตุผลของเขาสารพัดว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ หนีไม่ได้ ผมบอกเขาว่ามี หลีกหนีได้ เพราะตำแหน่งคณบดีมาแล้วก็ไป แต่เขารู้สึกว่าอยากเป็นต่อ อยากเป็นอีก พูดไปพูดมา เราเริ่มขัดแย้งกัน เขามองว่าผมทำให้เขาสูญเสียอำนาจการปกครอง ผมบอกถูกต้อง แต่ไม่ได้ทำลายอำนาจในมือเขา ผมทำลายอำนาจในใจเขา
วันนั้นเราจากกันด้วยความรู้สึกแย่มาก ผมมานั่งคิดว่าเพื่อมิตรภาพ ชีวิตผมยังสละให้ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำได้ เอาแค่สละตำแหน่งเพื่อรักษามิตรภาพ เขาบอกว่าให้ผมไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ผมเข้าใจแล้วว่าอำนาจนี่มันช่างน่ากลัว
GM : อำนาจในทางที่ดีก็มี คุณไม่เห็นต้องปฏิเสธมันขนาดนั้น
ประมวล : มีครับ แต่ไม่ใช่เพราะคิดว่าเรามีอำนาจ หรือสำนึกว่าเรามี แบบนั้นไม่ใช่ สมมุติว่ามีคนมาบอกผมว่าไปบอกเด็กคนนั้นหน่อย ให้เลิกนิสัยแบบนั้นแบบนี้ เพราะเห็นเป็นผมขอ เด็กคงเชื่อ แบบนี้ผมไม่กล้าไป ไม่อยากนับถือตัวเองว่ามีอำนาจเหนือใคร ตรงกันข้าม ถ้าวันหนึ่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาบอกผมว่าเขาทำสิ่งนี้เพราะอาจารย์ โอเค ผมภูมิใจมาก อำนาจมีอยู่จริง แต่ผมไม่อยากคิดว่าเรามีและใช้มันเหนือคนอื่น ขอโทษ ทุกวันนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะถกเถียงกับใคร เพราะนั่นแปลว่าเรากำลังใช้อำนาจ
GM : ถ้าไม่จบดอกเตอร์ ไม่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คนชายขอบจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม ในท่ามกลางกระแสที่รุนแรงขนาดนี้
ประมวล : ได้ ถ้าเขาคิดว่าเขามีคุณค่า ปัญหาคือคนชายขอบจำนวนมากในวันนี้ต่างสูญเสียพลังในการตระหนักรู้ว่าตัวเองมีคุณค่า ผมไม่อยากให้มนุษย์คนใดในโลกสูญเสียความรู้สึกว่ามีค่าไป ไม่ว่าจะอยู่ชายขอบหรืออยู่ตรงไหน เพราะการไม่มีค่า
มันหดหู่ ไม่อยากทำอะไร วันนี้ ตอนที่เดินมาจากหัวลำโพง ผมเห็นคนนอนข้างถนนและอยากคุยกับเขา ผมไม่ได้ดูหมิ่นว่าเขาเป็นคนข้างถนน ผมอยากคุยเพื่อให้เขาตระหนักว่าเขามีคุณค่า ไม่ใช่ตระหนักว่าตนเองมีค่าอะไรใหญ่โตกับโลกใบนี้ แต่สิ่งที่เขามีอยู่ในตัว ในหัวใจนั้นมีค่า ผมหวังว่าคนชายขอบจะไม่ตกไปในกลไกที่ทำให้เขาสำนึกว่ากำลังลอยเคว้งคว้าง แม้ว่าความจริงคนชายขอบกำลังถูกกระทำอย่างมากจากสังคมส่วนกลางอย่างรุนแรง
GM : เงินน่าจะเป็นประเด็นสำคัญมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง ที่คุณเน้นย้ำอยู่เสมอในหนังสือ ถ้าคุยกันตรงนี้ คุณพอจะสรุปให้ฟังอีกได้ไหมว่าคิดกับมันยังไง
ประมวล : ผมพบว่าสองสิ่งนี้มีอิทธิพลต่อการเป็นอยู่ของเราสูงมาก เงินแม้เป็นสัญลักษณ์เชิงอำนาจ แต่มีผลกระทบต่อความมั่นคง ความแน่นอนในการมีชีวิตอยู่ ยากมากที่คนเราจะสามารถครุ่นคิดเรื่องเงินในทางที่ละเอียดซับซ้อนเพราะปัจจุบันเงินกลายเป็นรูปธรรมไปเสียแล้ว มีความหมายชัดเจนมาก แต่ผมพูดเพราะอยากให้ทุกคนเห็นอำนาจนี้และใช้มันอย่างรู้เท่าทัน ผมเข้าใจว่าในสังคมนี้เงินคือพระเจ้าแน่นอน เป็นพระเจ้า เราต้องเคารพ (หัวเราะ) แต่เคารพอย่างมีระยะห่างพอสมควร มีสติปัญญาพอสมควร ไม่ใช่เคารพแบบหัวปักหัวปำ เพราะมันจะเข้ามาในชีวิตจนกระทั่งว่าถ้าขาดเงิน คุณค่าของชีวิตก็สูญหายไปด้วย ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าไม่มีเงิน คุณค่าของชีวิตก็ยังมีอยู่ เราอย่าเอาคุณค่าความหมายของชีวิตไปผูกติดไว้กับเงินทั้งหมด มีเงินไว้หล่อเลี้ยง ประคับประคองชีวิตไว้ก็พอ
GM : คุณใช้เงินยังไง
ประมวล : ผมยกภาระนี้ให้ภรรยาทั้งหมด ไม่ว่าผมจะไปไหน เธอคิดแทนเลยและค่อนข้างกังวลมากด้วยซ้ำว่าผมจะเดือดร้อน แม้บางทีผมว่าเธอให้มากเกินไปแล้ว เธอบอกว่าไม่มาก เพราะบางเรื่องเราต้องจ่าย เช่น เวลาเจอญาติมิตร และมีเรื่องต้องจ่ายก็ต้องจ่าย ไม่งั้นก็จะเป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้ามีเงิน ผมก็ใช้ แต่ผมไม่กระหายว่าต้องมี อย่างถ้าไม่มีรถทัวร์ รถแอร์ มีแค่รถสีส้ม ผมก็นั่งได้ รถไฟชั้น 3 ก็ไม่มีปัญหา ผมคิดว่ายังไงก็ได้ แม้ว่าถ้านั่งไม่สบายหรือใช้ชีวิตหนักเกินไปอาจทำให้ร่างกายชำรุดเร็ว ผมไม่กังวลกลัว
GM : พยายามหาเงินเยอะๆ ไหม
ประมวล : ผมไม่คิดเรื่องนี้ ผมได้เงินมากพออยู่แล้วจากเงินเดือนข้าราชการ ไม่ควรไปแสวงหาเงินมากกว่านี้ นี่เป็นเหตุผลที่ไม่อยากไปทำตำแหน่งทางวิชาการ
GM : เคยเล่นหุ้นไหม
ประมวล : ไม่เคย ไม่มีความสนใจเลย ถ้าแก่ตัวลง ไปไหนไม่ได้ เงินคงสำคัญน้อยลงไปอีกเพราะตอนนี้ใช้จ่ายกับเรื่องเดินทางเยอะเหมือนกัน
โปรแกรมที่จะไปอินเดีย ผมพยายามใช้เงินให้น้อยที่สุด ตรงไหนเดินได้ ผมเดิน ถ้าต้องนั่งรถก็จะนั่งรถที่ถูกที่สุด กินอาหารจากทานมากที่สุด ไม่ได้หมายความว่าผมงก แต่ผมต้องการเผชิญ หรือแสวงหาคุณค่ากับอีกวิถีหนึ่ง ซึ่งในอินเดียมีวัดเยอะ แต่ละที่มักมีอาหารบริจาคให้พวกวนิพกหรือคนเร่ร่อนอยู่แล้ว ผมจะกินอาหารจากการให้ทานเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกาย
GM : วางแผนคร่าวๆ ไว้ว่าจะไปไหนบ้าง
ประมวล : ถ้าร่างกายไปไหว ผมตั้งใจไปคารวะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาที่มีอยู่ในอินเดีย ศาสนาพุทธนั้นแน่นอน ฮินดู อิสลาม-ผมพยายามไป คริสเตียน-ผมพยายามไปยังโบสถ์เก่าๆ ให้ได้ ซิกข์ ผมตั้งใจไปวิหารทอง ไม่ได้ติดยึดสัญลักษณ์หรือโลโก้ศาสนา แต่ผมอยากแสดงความเคารพอย่างจริงจังตั้งใจกับทุกศาสนา เพื่อเคารพผ่านไปยังเพื่อนมนุษย์ที่เคารพในความศักดิ์สิทธิ์นั้น ผมจะเคารพด้วย ผมอยากจะมีอารมณ์เดียวกับเขา ในมัสยิด มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นไร ผมอยากรู้ ของพุทธไม่ต้องเสแสร้งอยู่แล้วเพราะเป็นเนื้อตัวเรา แต่ผมอยากเพิ่มเติมตัวเองไปอยู่ในทุกศาสนา ด้วยความรู้สึกอย่างแท้จริง เพื่อละลายสลายความรู้สึกยึดมั่นว่าเป็นพุทธให้เหลือน้อยที่สุด
GM : คุณคิดว่าน่าจะไปได้กี่เมือง ระยะทางทั้งหมดเท่าไร
ประมวล : ไม่ได้วางแผนชัดๆ เอาตามเหตุและปัจจัยเฉพาะหน้าด้วย ผมตั้งใจจะเริ่มต้นการเดินจาริกจากเทือกเขาหิมาลัย ลงตามลำน้ำคงคา เริ่มจากเมืองกันโกตรี มาสู่บรรไดนาถ ต่อไปยังฤษีเกต ไปหริทวาร พอถึงที่นี่คงไม่สามารถเดินต่อไปได้ เพราะจากฤษีเกตมาก็ไกลหลายร้อยกิโลฯ ไม่ใช่เพราะว่าผมกลัวความยากลำบาก แต่ผมมีข้อจำกัดเรื่องเวลาอยู่ในอินเดียแค่ 6 เดือน ถ้าจะต่อต้องออกนอกอินเดียไปก่อน หรือถ้าเขาให้สิทธิ์ ผมก็จะทำคือแจ้งเจ้าหน้าที่ทางกระทรวงของเขาว่าผมได้รับสิทธิ์บางอย่างให้อยู่ต่อ ที่แน่ๆ ผมไม่เอาเรื่องพื้นที่ทางกายภาพมาเป็นข้อบีบคั้นตัวเอง ไม่เช่นนั้นแปลว่าผมกำลังเล่นเรื่องปริมาณพื้นที่ นั่นไม่ใช่เป้าหมาย ผมปรารถนาจะใช้จิตว่าถ้าที่ไหนมีนัยของจิตในทางความรู้สึกที่ลุ่มลึก ผมจะอยู่นาน เพื่อสำรวจตรวจสอบความคิดตัวเองอย่างแท้จริง เท่าที่นึกได้ ในอินเดีย นอกจากพุทธศาสนา ผมอยากไปวัดฮินดู เช่น วัดมฑุไร เป็นวัดที่เก่าแก่และสวยงามมาก ไปเป็นผู้แสวงบุญที่นั่นนานๆ พาราณสีอาจจะไป แต่คงไม่อยู่นาน ที่อยากอยู่นานก็มีมฑุไรและอมฤตสระ ซึ่งเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ของซิกข์ โบสถ์คริสต์ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก เช่นที่กัวก็อยากไป ผมพูดในเชิงถ้าเป็นไปได้และมีปัจจัยเกื้อหนุน แต่ไม่ได้บีบคั้นว่าต้องไป
GM : จากเชียงใหม่ไปสมุย แบกเป้น้ำหนักกว่า 10 กิโลฯ และไม่มีเงินเลยสักบาท ในอินเดีย คุณจะขนข้าวของไปมากน้อยเท่าไร ใช้เงินหรือเปล่า
ประมวล : น้ำหนักต้องเบากว่าตอนเดินในเมืองไทยแน่ๆ ผมตั้งใจจะใช้เสื้อผ้าของพวกวนิพกอินเดีย ผ้าบางๆ เบาๆ 2 ผืนก็คงพอ นอนในเทวสถาน ในวัด ค่อยๆ เรียนรู้การเป็นวนิพกที่เร่ร่อนไปเรื่อย ถ้าจำเป็นค่อยมีใหม่ เพราะยังไม่รู้นักว่าอะไรจำเป็นบ้าง ผมพยายามทำตัวเป็นมนุษย์ที่ธรรมดาที่สุดในสังคมนั้นๆ ถ้าเป็นไปได้ผมจะเป็นพวกสาธุ คือคนที่ไม่มีสถานะทางสังคม ไม่มีอำนาจ นักบวชในอินเดียมีหลายประเภท แต่สาธุเป็นนักบวชชั้นต่ำที่สุด
GM : เตรียมเงินไปเท่าไร
ประมวล : ภรรยาผมเตรียม อาจจะฝากไว้กับใครสักคน ถ้าผมมีปัญหาให้ติดต่อได้ ในอินเดีย ผมมีญาติมิตรอยู่จำนวนหนึ่ง เธออาจมอบหมายให้คนเหล่านั้นคอยจัดการ ในกรณีฉุกเฉิน หรือเดือดร้อนจริงๆ แต่ถ้าไม่มีอะไรนักหนา ผมพยายามจะไม่ใช้เงิน
GM : ซื้อตั๋วกลับไว้หรือยัง
ประมวล : ผมซื้อแบบเปิดไว้ เป็นตั๋ว 1 ปี มันแพงมาก แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ก็ต้องเตรียมเงินไปซื้อตั๋วอีก ซึ่งวุ่นวาย ผมอยากทำทุกอย่างให้เรียบง่ายที่สุด
GM : อะไรคือเป้าหมายในการเดินครั้งนี้ของคุณ
ประมวล : ตอนผมเดินในเมืองไทย ผมมีเป้าหมายแบบคนพุทธ ถ้าใช้ศัพท์ศาสนาคือทำพระนิพพานให้แจ้ง แต่ผมไม่กล้าพูดคำนี้ มันอหังการและศักดิ์สิทธิ์เกินไปในสังคมไทย ใครอาจเอื้อมไม่ได้ แต่ไปอินเดีย ผมอยากใช้คำแบบอินเดีย อยากเข้าถึงโมกษะ คือสภาวะที่เราสำนึกขึ้นในจิตของเราเองได้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง ในคัมภีร์พระเวท เมื่อเราบรรลุโมกษะแล้ว มีคำภาษาสันสกฤตซึ่งไพเราะมาก แปลว่าฉันคือพรหม พรหมคือสรรพสิ่ง ไม่มีอะไรที่อยู่นอกเหนือ ผมอยากละลายสลายตัวเองจนเป็นสรรพสิ่งให้ได้ ถ้าอยู่ในแม่น้ำก็เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ ถ้าอยู่ในป่าก็เป็นส่วนหนึ่งของป่า ถ้าอยู่กับเพื่อนมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของเพื่อนมนุษย์ อยู่กับสัตว์ก็เป็นส่วนหนึ่งของสัตว์อาจเป็นอุดมการณ์มาก แต่ผมอยากใช้วันเวลาที่ผมมีอยู่นี้ทำความกระจ่างในสิ่งที่ผมท่องไว้ได้แล้ว วันหนึ่งผมไม่อยากท่องจำแล้ว ผมอยากให้มันปรากฏขึ้นในใจ แม้ชั่ววูบหนึ่งก็ยังดี
ผมอยากลงลึกไปในชีวิตจริงๆ ไม่อยากตามกระแส เหมือนเมื่อสักครู่ที่เราคุยกันว่าแม้จะเลือกคู่ครองยังมีกระแสเข้ามาเกี่ยว ซึ่งมีความเชื่อสำเร็จรูป เช่น เป็นผู้หญิงเก่งก็ต้องเลือกผู้ชายแบบหนึ่ง เหมือนเลือกวิชาเอก เหมือนสอบเอนทรานซ์ คนเก่งต้องเรียนหมอ วิศวะ แต่ความหมายที่แท้จริงคือเข้ากันได้ไหม มีเป้าหมายในชีวิตตรงกันหรือเปล่า ไม่มองเลย แท้จริงมนุษย์สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ แต่บ่อยครั้งเราฟังกระแสมากไป ต้องเจอปัญหามากมาย กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง ที่ผ่านไปแล้วถึงรู้ว่าไม่น่า…
ผมไม่อยากเห็นใครโวยวายภายหลังว่าตัวเองโชคร้าย ตัวเองไม่ได้ทำอย่างที่อยากทำ อยากให้ทุกคนได้รู้ว่าสิ่งนั้นคือคิดแล้ว เลือกแล้ว และต้องยอมรับการตัดสินใจของเราเอง การที่รู้จักรับผิดชอบต่อความคิดตัวเองจะมีพลังอะไรบางอย่าง เราจะอดทน ต่อสู้ มีพละกำลังในการฝ่าฟันอุปสรรค ตลอดทั้งชีวิต ผมตัดสินใจเอง ถ้าตัดสินใจผิดก็รับผิดชอบ ตอนบวช ผมกราบลาพ่อแม่เองว่าขอบวช ตอนจะสึก ผมกราบลาครูบาอาจารย์ว่าผมขอสึก ผมตัดสินใจเองทั้งหมดและพร้อมจะรับผิดชอบสิ่งที่ตามมา
GM : ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณพยายามแสวงหาคุณค่าความหมายของชีวิตอย่างหนักหนาสาหัส ถึงวันนี้มีคำตอบชัดๆ หรือยังว่าแบบไหนคือชีวิตที่ดี
ประมวล : ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่ผมเข้าใจว่าแต่ละคนมีความดีไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่แต่ละคนเลย คนเดียวกันนี่แหละ แต่ละช่วงชีวิต ความดีก็แตกต่างกัน สมัยหนุ่มๆ ผมคิดว่าชีวิตที่ดีคือการท่องเที่ยวสนุกสนาน ได้ใช้จ่ายเงินที่หามาได้ ซื้อข้าวของที่ปรารถนา ถึงวันนี้ความดีแบบนั้นหายไป ผมมาเจอความดีอีกแบบหนึ่ง คือตรงกันข้ามเลย จากเดิมที่เชื่อในเงินและการเที่ยวเตร่ ความดีตอนนี้คือการสละเงิน สละอำนาจทิ้ง และทำอะไรที่ไม่ตามใจตัวเอง-ใจที่อ่อนแอ นั่นคือความดี ผมไม่อยากบอกว่าที่ทำอยู่นี้คือดี ไอ้ที่ทำตอนหนุ่มนั้นไม่ดี ไม่ใช่นะครับ ผมคิดว่าตอนเป็นหนุ่มก็ดี ตอนแก่ก็ดี ถ้าชีวิตนี้งดงาม ตอนหนุ่มแน่นแข็งแรงก็งดงาม ยามแก่เฒ่าร่วงโรยใกล้จะแตกดับ ชีวิตก็งดงาม เหมือนดอกไม้ที่งดงามทั้งยามแรกผลิและบานสะพรั่ง กระทั่งยามเหี่ยวเฉา ผมเข้าใจว่าถ้าเราสามารถเห็นความงามแบบนี้ได้ เราก็สามารถทำชีวิตให้ดีได้โดยไม่จำกัดอยู่ในกรอบกระแส
GM : แต่ไม่ว่าจะอย่างไรคงต้องอิสระที่จะเลือก
ประมวล : ใช่, ไม่ได้หมายความว่าเลือกตามอำเภอใจ แต่เราพอใจที่จะรับผลในสิ่งที่เราเลือก เช่น ถ้าวันหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่าจะแต่งงานกับคนเซอร์ๆ ก็ต้องพอใจที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น ไม่ใช่ผ่านไปแล้วมาบอกว่าฉันคิดผิดที่เลือก’ติสต์ น่าจะแต่งงานกับนักธุรกิจที่มีเงินทอง เลือกแล้วคุณต้องยอมรับ เพราะทุกครั้งที่เราเลือก ไม่ว่าเลือกอะไร มันมีทั้งส่วนที่เราปรารถนาและไม่ปรารถนามาคู่กันเสมอ ไม่สามารถแยกได้เด็ดขาดว่าจะเอาเฉพาะสิ่งที่ปรารถนา ตัดสิ่งที่ไม่ปรารถนาทิ้ง เป็นไปไม่ได้
GM : คุณกำลังบอกว่าชีวิตคู่ที่ดูแสนดี ก็ไม่ได้ดีอย่างเดียว ?
ประมวล : ผมจะยกตัวอย่างแบบนี้แล้วกัน ภรรยาผมขับรถไม่เป็น แต่ทันทีที่นั่งคู่กับผม เธอสั่งทุกอย่าง (หัวเราะ) ทำไมไม่ขับแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งผมไม่คิดว่าแย่ ผมคิดว่านี่เป็นอะไรที่งดงามอย่างหนึ่งเหมือนกันที่มีใครคนหนึ่งมาคอยจู้จี้
GM : สามารถมองเป็นข้อดีได้ ?
ประมวล : ใช่, แต่นี่ไม่ใช่ความดีที่ผู้หญิงทุกคนต้องทำนะครับ ไม่ใช่ แต่พอผมเจอแล้วผมไม่คิดว่าเป็นปัญหา เพราะกับคนที่ผมรัก แม้มีบางส่วนที่ไม่พึงปรารถนา ผมก็ไม่ตำหนิเธอว่าอย่าบ่น อย่าพูด เธอไม่ขับก็นั่งเงียบๆ ผมมีความสุขดีที่ได้ยินภรรยาบ่น หรือสั่งให้ผมเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา
GM : เป็นไปได้ว่าคุณค่าของชีวิตอาจอยู่ที่มุมมองว่าเราจะมีทัศนคติอย่างไร ?
ประมวล : ใช่, ที่แย่มากๆ คือคนเรามักนำเอาส่วนบกพร่องมาขยายผลกลายเป็นบทสรุป ผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ชีวิตเรามีข้อจำกัดมาก มีความบกพร่องพิกลพิการอยู่ในตัวทั้งนั้น แต่เราต้องเข้าใจเงื่อนไข เราบินไม่ได้อย่างนก เราก็ต้องเข้าใจ ไม่ใช่บอกว่าเราแย่มากที่บินไม่ได้
GM : มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ ?
ประมวล : ไม่มีทางสมบูรณ์ เราจำเป็นต้องยอมรับความไม่สมบูรณ์นั้น และมั่นใจว่าเราสามารถสร้างสรรค์ และทำอะไรได้ จากความสามารถที่มี ถึงบินไม่ได้ แต่เดินได้ ผมไม่เคยคิดว่าชีวิตสมบูรณ์หรือมุ่งหน้าไปหาความสมบูรณ์นั้น เหมือนตอนเดิน ผมบอกว่าไม่มีปลายทาง แต่ผมมีเป้าหมายในการก้าวไปทุกๆ ครั้ง เพราะถ้าบอกว่ามีปลายทางสักที่ ผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนอยู่ดี ความสมบูรณ์อาจมีก็ได้ แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นยังไง ในสิ่งที่ผมมี ผมยอมรับความบกพร่องและข้อจำกัดต่างๆ ได้
GM : หลายอย่างผ่านแล้ว เข้าใจได้ เอาอยู่ ทุกวันนี้คุณยังมีเรื่องไหนที่ยังก้าวไม่พ้นบ้างไหม เป็นเรื่องยากมากๆ รบกวนจิตใจมากๆ
ประมวล : ไม่ถึงกับกังวล แต่ยังมีบางสิ่งที่ผมอยากจะรู้ เริ่มมีมิติความอยากรู้ที่ไปอยู่กับผู้อื่นมากขึ้น ครั้งหนึ่งผมอยากรู้จักตัวเองมาก การเดินในเมืองไทย ผมให้ความสำคัญกับสภาวะจิตใจสูง ถ้าเอาแว่นขยายมาส่องแบบนักวิทยาศาสตร์จะเห็นสิ่งนี้เต็มไปหมด แต่พอไปอินเดียกลับไม่ใช่ กลายเป็นเรื่องของความอยากรู้ว่าความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ และธรรมชาติ ผมจะทำอย่างไรให้มีมิติของความยึดโยงสลายตัวเองไปเป็นสรรพสิ่งได้ ผมไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมได้ ผมพยายามหาความหมายว่าตัวผมที่ไม่ได้อยู่ในร่างกายผม แต่ไปปรากฏอยู่ในสิ่งต่างๆ นั้นไปปรากฏอย่างไร มีบทบาทอย่างไร ผมมีความรู้สึกว่าตามความเชื่อของชาวอินเดียที่ผมศึกษามา เมื่อไปถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว ถ้าเราบอกว่าพระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ทุกที่ นั่นแปลว่าความเป็นพระผู้เป็นเจ้าเป็นทุกสิ่ง เป็นทั้งสิ่งสกปรกและขาวสะอาด จิตของเราคิดเอาเองว่าสะอาดหรือสกปรก พระเจ้าอยู่ทั้งในที่มืดและที่สว่าง
เมื่อผมตระหนักเช่นนี้ ถ้าผมต้องการบรรลุโมกษะ และผมเอาโมกษะ ไปเชื่อมกับศาสนาที่นับถือพระผู้เป็นเจ้า จะกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า จะกลับสู่อาณาจักรสวรรค์ และอาณาจักรสวรรค์ก็น่าจะอยู่ในทุกที่ทุกแห่ง ผมอยากรู้สภาวะที่ว่านี้จะปรากฏต่อจิตผมอย่างไร ทำให้ผมรู้สึกอะไรใหม่ๆ ไหม จะกลับไปรู้สึกแบบเด็กๆ อีกหรือเปล่า เหมือนครั้งที่ผมเคยจินตนาการว่าขอบฟ้ากับขอบน้ำพบกันที่ไหน จุดที่มันพบกันเป็นยังไง ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมกลับมาสู่สภาวะนั้นอีก ผมมีความใฝ่ฝันคล้ายเด็กที่อยู่ในร่างคนแก่ ผมอยากสัมผัสสภาวะความเป็นตัวผมซึ่งถึงวันหนึ่งจะถึงจุดจบลง แล้วมันจะยุติอย่างไรที่ผมเขียนไว้ในหนังสือ ตอนที่ไปสวนโมกข์ ผมกล่าวกับตัวเองเสมือนหนึ่งกล่าวกับท่านพุทธทาสว่า ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะตายก่อนตายให้ได้ นี่เป็นภาษาของท่านพุทธทาส ผมไม่บังอาจตีความใหม่ ผมเพียงแต่เข้าใจในแบบของผมว่าการตายตั้งแต่ก่อนตายคือการมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความต่างระหว่างมีชีวิตอยู่และการจบชีวิตลง เพราะปกติเรามักคิดว่าคนมี 2 ขั้วคือการมีชีวิตอยู่และความตาย เราถึงเกรงกลัวตาย ทุกวันนี้ผมกลับรู้สึกว่าในบั้นปลายชีวิต ถ้าเราตระหนัก รู้ได้จริง มันน่าจะไม่มีความต่างระหว่างมีชีวิตอยู่และความตาย นี่คือปรารถนาของผม กำลังสงสัยว่าแล้วสภาวะนั้นเป็นอย่างไร
GM : ดูคุณเชื่อมั่นในศักยภาพมนุษย์มาก ?
ประมวล : ผมคิดว่าเมื่อใดที่มนุษย์มีจินตนาการถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นแปลว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะทำตามจินตนาการนั้น เมื่อเราพูดถึงจินตนา- การ แปลว่ามนุษย์คนหนึ่งได้รับข้อมูลข่าวสารหนึ่ง อาจเป็นคัมภีร์โบราณ ตำรับตำรา เป็นผลผลิตสะท้อนจากจินตนาการของมนุษย์รุ่นเก่าๆ มาแล้ว ผมไม่ได้คิดว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องเหลวไหล ตรงกันข้าม ถ้ามนุษย์ใฝ่ฝันว่าจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าได้ จินตนาการนั้นย่อมเป็นจินตนาการที่ยิ่งใหญ่และงดงาม
GM : บางคนบอกว่าชอบในความเป็นมนุษย์ ให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นแบบนี้อีก ก็เอา ชอบที่จะรู้สึกดีๆ แบบนี้ ได้เจอสิ่งสวยๆ งามๆ ถ้าถามคุณ คุณอยากเกิดอีกไหม หรือปรารถนามากที่จะดับสูญไปเลย
ประมวล : ไม่อยากเกิดอีก ตอบแบบนี้อาจเป็นด้วยอิทธิพลของพุทธศาสนา แต่ของผมที่บอกว่าไม่อยากเกิดใหม่นั้นมีมิติของความรู้สึกพึงพอใจที่จะจบ เหมือนผมดูหนังเรื่องหนึ่งที่สนุกมาก ถูกจริต แต่ผมมีความสุขที่หนังจบ เพราะถ้ามันไม่จบ หนังคงไม่ดี ที่รู้ว่าหนังดีเพราะมันจบ ผมจึงมีความสุขกับการจบ ผมไม่ได้อยากให้มันดีอยู่อย่างนั้นตลอดไปผมเคยดูหนังเรื่องหนึ่งชื่อ Piano หรือเปล่าไม่แน่ใจ ดูแล้วจำความรู้สึกได้ดีว่าพอหนังจบ มีเครดิตขึ้น เพลงเปียโนตอนท้ายนั้นไพเราะมาก ท่วงทำนองนี้แทรกมาเป็นระยะในหนัง แต่พอจบมีเครดิตขึ้น โอ…มันช่างงดงาม ผมมีความรู้สึกว่าเป็นสุขมากที่จะได้จบชีวิต
GM : เพื่อว่าจะได้ฟังเพลงที่สมบูรณ์ ?
ประมวล : ใช่, ถ้าเปรียบชีวิตเป็นเสียงเพลง โน้ตทุกตัวมีค่าความหมาย โน้ตตัวสุดท้ายคือบอกให้เสียงทุกเสียงยุติ แต่โน้ตตัวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเสียงเพลง แม้จะไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลย
GM : เรียนปรัชญามาเยอะ สอนปรัชญามาทั้งชีวิต คุณยึดปรัชญาของสำนักไหน หรือมีปรัชญาประจำใจอย่างไร
ประมวล : ถามวันนี้ ผมไม่ยึดหลักอะไรเลย ไม่ใช่เพราะว่าลัทธิปรัชญาที่มีอยู่ไม่ดี ใช้ไม่ได้ แต่ถ้ามีโอกาสพูดกับนักศึกษาอีก ผมจะบอกพวกเขาว่าผมไม่มีความสามารถ นักปรัชญาคนหนึ่งชื่อ เว็นเก็นสไตน์ เคยบอกว่า ‘ถ้าอะไรที่สามารถจะพูดได้ ต้องพูดให้ชัด’ ถ้าพูดให้ชัดไม่ได้ ก็อย่าพูดดีกว่า ฉะนั้น ผมไม่มีอะไรจะพูดได้เลย สำหรับผม ในเชิงปรัชญาทุกอย่างคลุมเครือหมด หมายความว่าสิ่งที่ถูกผลิตด้วยเหตุผลล้วนมีข้อโต้แย้งได้ทั้งสิ้น ผมจึงคิดว่าผมไม่สามารถเป็นอาจารย์ที่ดี เพราะไม่สามารถพูดอะไรที่ชัดเจน
ถ้าจะให้ผมต้องขอบคุณชีวิตที่ผ่านมา ผมอยากขอบคุณวิชาปรัชญามากที่สอนให้ผมรู้จักคิด คิดเป็น คิดเป็นคือสามารถสอนให้ผมคิดเป็นกุศลได้ สอนให้ผมมีพลังที่จะเสียสละ เอื้อเฟื้อ รักผู้อื่นได้ มีสติปัญญาเพียงพอ กล้าหาญ และยิ้มอย่างเบิกบานที่จะจบชีวิต
ความคิดที่เป็นกุศลทำให้มีพลัง มีความสุขที่ได้แบ่งปัน ได้รักผู้อื่น และนี่เป็นส่วนหนึ่งของการคิดเป็นกุศล เป็นปรัชญาที่ผมอยากขอบคุณ ถ้าให้สรุปคือคิดอะไรก็ได้ ขอให้คิดเป็นกุศล
กุศล แปลว่า ฉลาด ในทางพุทธศาสนาเปรียบเทียบให้เห็นความหมายของคำว่า ‘ฉลาด’ คือ เมื่อเราคิดเป็นกุศล เราสามารถร้อยเรียงกรรมให้เป็นกุศลกรรม เป็นตัวเรา เป็นตัวตนที่งดงาม ผู้ที่คิดเป็นกุศลกรรม ท่านว่าเหมือนช่างร้อยพวงมาลัย เขามีความชาญฉลาดเลือกดอกไม้ที่มีขนาดรูปทรงต่างๆ มาร้อยเรียงเป็นมาลัยที่มีสีสันรูปทรงสวยงาม นี่คือความฉลาด ตัวเราก็เช่นกัน ถ้าจิตเป็นกุศล เราย่อมสามารถร้อยกรรมต่างๆ ทั้งกาย วาจา ใจ ให้หลอมรวมเป็นตัวตนเราที่งดงามได้
“ผมไม่ได้เดินเพราะต้องการทรมานร่างกาย แต่ผมเห็นว่านับวันเรามักจะติดความสะดวกและความสบายมากเกินไปแล้ว”
“ผมคิดว่าผมใช้ชีวิตมาพอสมควรแล้ว 52 ปีถ้าจะตายในการเดินคงไม่เบียดเบียนใครเท่าไรหรอก”
“ผมไม่เห็นด้วย ถ้าเขาจะเดินเพราะอยากทำตามอย่างผม เขาจะเดิน เขาต้องมีโครงสร้างความเชื่อของเขาเองในใจ”
“วันหนึ่งผมใช้เลศนัยเพื่อจะข่มขืนผู้หญิง ตอนที่ผมถอดเสื้อผ้าเธอออก ผมเห็นน้ำตาเธอไหล นาทีนั้น ความหื่นกระหายของผมลดลงโดยทันทีทันใด”
“แต่ละคนมีความดีไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่แต่ละคนเลย คนเดียวกันนี่แหละ แต่ละช่วงชีวิต ความดีก็แตกต่างกัน”
“ผมเพียงแต่เข้าใจในแบบของผม ว่าการตายตั้งแต่ก่อนตายคือการมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความต่างระหว่างมีชีวิต และการจบชีวิตลง”