ประมวล เพ็งจันทร์
พฤษภาคม 2550 GM ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ ‘ผู้รู้แจ้งในการเดิน’ ประมวล เพ็งจันทร์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เดินเท้าจากเชียงใหม่สู่เกาะสมุย เดินโดยตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะไม่ไปหาคนรู้จัก เดินด้วยเงื่อนไขว่าจะไม่ใช้เงินหนังสือ ‘เดินสู่อิสรภาพ’ เป็นหลักฐานว่าเขาทำสำเร็จแล้ว และนั่นก็เป็นคล้ายกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้ชายวัยห้าสิบเศษคนหนึ่งกลายเป็นคนของสาธารณะเราได้สัมภาษณ์พูดคุยกับเขายาวเหยียด โดยทิ้งท้ายไว้ว่าเขากำลังจะเดินทางไปอินเดีย เพื่อเคารพและทบทวนตัวเองอย่างเข้มข้นขึ้นไปอีกขั้น ในแผ่นดินที่เคยบินไปเรียนปริญญาตรี โท เอกผ่านไปสองปี เราติดต่อตามตัว ประมวล เพ็งจันทร์ อีกครั้ง เพื่อฟังเรื่องราวความคิดความรู้สึกล่าสุดเขากลับมาจากอินเดียนานแล้ว แต่ยังคงใช้เวลาใคร่ครวญวันคืนแสวงหาเหล่านั้น ก่อนจะลงมือเขียนหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์ เขียนช้าๆ เขียนไปตามจังหวะเสียงเต้นของหัวใจ และไม่เคยเร่งรีบนอกจากผมสีดอกเลาที่ยาวขึ้นประบ่า วาจาท่าทีและดวงตาอารีของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย ยังคงเป็นผู้ใหญ่ที่มีใจยินดีจะบอกเล่า แลกเปลี่ยนบทเรียนชีวิต-ชีวิตเรียบๆ ธรรมดาๆ ทว่ามันกลายเป็นความแตกต่าง กระทั่งอาจจะเรียกว่าตัวประหลาดในโลกปัจจุบันเขาหรือเราที่เป็นคนบ้าเขาหรือเราที่ไร้สาระเขาหรือเราที่จมอยู่กับความว่างเปล่าเขาหรือเราที่กำลังหลุดหลงทางลองฟัง ประมวล เพ็งจันทร์ อีกสักครั้ง…
GM : ไปอินเดียแล้วเป็นยังไงบ้าง บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ไหม
ประมวล : ผมอยากกลับไปอยู่ในที่ที่ผมเคยอยู่ เคยเรียนที่ไหน อยากไปที่นั่น เส้นทางจึงเริ่มต้นที่การกลับไปเยี่ยมสถาบันที่ผมเรียนปริญญาตรี แล้วพยายามทำตัวให้เหมือนประหนึ่งว่ากลับมาอีกครั้งในเงื่อนไขอารมณ์เดิมๆ ผมพยายามเลียนแบบสิ่งที่ทำเดิมๆ แม้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ผมเข้าไปที่วิทยาลัย เข้าไปพบปะสัมผัสบรรยา-กาศ พยายามเข้าหอพัก ขออนุญาตคนดูแล ถ้าต้องใช้เงินก็ยินดี เพื่อขอเข้าพักอีกครั้ง และได้กลับไปบ้านที่เคยอยู่ แม้ว่าผู้หญิงชาวอินเดียที่เคยดูแลผมได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ผมได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
GM : ตอนนั้นคุณเป็นพระ แต่ไปอยู่บ้าน ?
ประมวล : ผมมีปัญหากับการอยู่หอพักเพราะที่ผมอยู่เป็นหอของชาวมุสลิม โดยธรรมชาติของนักศึกษาอินเดีย แม้ไม่ใช่นักบวช แต่เป็นคนต่างศาสนาเขาก็รังเกียจอยู่แล้ว ผมไปอยู่หอมุสลิม และเป็นหอมุสลิมที่ผมถือเพศนักบวชด้วย มันจึงยุ่งยากลำบากถึงขั้นผมเกือบถอดใจ เพื่อนชาวฮินดูของผมบอกว่าถ้างั้นทำไมไม่ออกไปอยู่ข้างนอก ผมบอกว่าไม่มีเงินเพื่อนคนนี้แนะนำว่ามีผู้หญิงอินเดียคนหนึ่งฐานะดี มีบ้านกว้างขวาง เมื่อเขาไปติดต่อขอแบ่งเช่า ผู้หญิงคนนี้ยินดีมาก วันแรกที่ไปก็แสดงอัธยาศัยที่ดีกับผมทุกอย่าง พูดง่ายๆ ว่าแกไม่สนใจเงินค่าเช่า 50 รูปีซึ่งน้อยนิดนั้น แต่ขอให้ผมอยู่เท่านั้นเอง ผมรู้ในภายหลังว่าผู้หญิงคนนี้เชื่อลึกๆ ว่าลูกชายที่แกไม่มีโอกาสได้ให้กำเนิดเดินทางมาหาแกแล้ว แกรักผมเหมือนลูก ต่อมานอกจากจะไม่เก็บค่าเช่า ถ้าผมมีปัญหาเรื่องเงิน แกยินดีช่วยเหลือผม รับผิดชอบทุกอย่าง ผมได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีความรู้สึกที่ดีกับผมจริงๆ
ผู้หญิงคนนี้เป็นชาวอินเดียที่หันไปนับถือศาสนาคริสต์ แล้วสามีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อสามีเสียชีวิต แกหมดโอกาสจะมีลูกชาย ที่ผ่านมามีลูกสาว 4 คน แม้จะเป็นคริสเตียน
แต่ด้วยความเป็นชาวอินเดีย แกยังเชื่อในการมีลูกชาย ด้วยความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า แกมีความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะต้องมีลูกชาย แต่ไม่รู้จะเกิดมาจากไหน เพราะไม่สามารถให้กำเนิดได้แล้ว ผมเข้าไปในจังหวะที่ความหวังนั้นยังเรืองรอง และบังเอิญมากว่าผมก็เป็นน้องลูกสาวคนสุดท้องของแก ความเชื่อแบบนี้ ในที่สุดเมื่อผมไปอยู่ด้วย แกบอกผมว่าขอให้รับความช่วยเหลือทั้งหมดเถิด เพราะจริงๆ ผมเป็นลูกชายแก ตอนนั้นผมรับรู้เพียงคิดว่าเรื่องนี้ตลก แต่เป็นเรื่องตลกที่เราได้ประโยชน์ เลยไม่ปฏิเสธ ไม่ขัดขืน ตลกเพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องมีสาระ แต่เป็นแค่จินตนาการของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าว่าตนเองจะมีลูกชายได้ผมอยู่บ้านหลังนั้นจนจบปริญญาตรีและย้ายออกเพราะต้องเปลี่ยนที่เรียน ผมไปอินเดียเพื่อการศึกษา ฉะนั้น เมื่อศึกษาที่นี่จบแล้ว ผมอยากไปที่อื่นต่อ แม้ว่าจะอยากให้อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ แกบอกว่าไม่เป็นไร ไปที่ไหนก็ได้ ขอให้ระลึกถึงที่นี่บ้าง และวันหนึ่งเมื่อแกเสียชีวิต ขอให้กลับมาทำหน้าที่ในฐานะลูกชาย เช่น ทำหน้าที่ปิดตา เอาดินกลบหลุมฝังศพ ผมรับปาก เพราะแกขอในสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องปฏิเสธอะไร แต่ถึงที่สุด ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่นั้น
GM : ทำไม
ประมวล : ผมเคยกลับไปเยี่ยมแม่ตอนป่วยหนัก และพี่ๆ บอกว่าที่จริงแม่ไม่เป็น อะไรมาก แค่คิดถึงผม จนกระทั่งลูกเขยของแกซึ่งเป็นหมอบอกว่าเป็นโรคคิดถึงผม เป็นความรู้สึกของคนในช่วงบั้นปลาย ชีวิต ช่วงนั้นผมก็ขำๆ ไม่คิดอะไรมากผมกลับไปคราวนี้ บ้านนี้ตกเป็นสมบัติของลูกสาวคนสุดท้อง แต่เขายกให้หลานอีกคนมาอยู่แทน พอได้คุยกัน ผมขอนอนในห้องแม่ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นที่เก็บข้าวของ
GM : คืนที่นอนในห้องนั้น อารมณ์ความรู้สึกของคุณเป็นยังไง
ประมวล : ผมนอนร้องไห้ทั้งคืน มันไม่ใช่ความเจ็บปวดอะไร แต่เป็นความรู้สึกของความสะเทือนใจ คือผมไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์นี้ได้ในสมัยนั้น สิ่งที่ผมทำกับผู้หญิงคนนี้เป็นแค่การแสดงความรู้สึกดีๆ ในเชิงกายภาพ แสดงออกในเชิงวัฒนธรรมประเพณี เช่น เป็นห่วง แต่ลึกๆ จิตของเราไม่ได้ไป พอไม่ไป มันก็ไม่มีความผูกพันอย่างลุ่มลึก ผมจึงไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาเลย เมื่อผมจบการศึกษาแล้วจะไปเรียนที่อื่นต่อ และไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรที่ผมต้องกลับมาเยี่ยมเยียนคืนนั้นผมสะเทือนใจสูงมาก ผมรู้เลยว่าเราถูกทำให้จำกัดกับข้อเท็จจริงเพียงแคบๆ เช่น เรามีความสำนึกว่าคนที่เป็นแม่คือผู้หญิงคนหนึ่งที่ให้กำเนิด เราไม่ได้คิดในมิติของจิตใจที่ลุ่มลึกอะไรเลยวันรุ่งขึ้น ผมให้หลานคนที่มาเฝ้าบ้านพาผมไปเคารพศพแม่ ผมได้รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องแย่มากที่ผมไปยืนที่หลุมฝังศพ อ่านข้อความบนหินอ่อนที่เขาสลักชื่อแม่ผมว่าขอให้ดวงวิญญาณไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าบนสรวงสวรรค์ ผมสารภาพว่าผมร้องไห้โฮ ไม่สามารถกลั้นความรู้สึกไว้ได้ต่อมา ผมขอให้หลานช่วยพาผมไปโบสถ์ซึ่งแม่เคยไปบ่อยๆ เมื่อก่อนผมมีปัญหามากในการไปที่นั่นเพราะผมเป็นพระภิกษุ แต่แม่เป็นคริสต์ จึงต้องไปโบสถ์เป็นประจำ โบสถ์ใกล้บ้าน ผมเคยไปด้วย ไปจนเริ่มสนิทกับบาทหลวง แต่แกต้องการให้ผมไปอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นวัดของพระแม่มาเรียที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ไปขอพรให้พระแม่คุ้มครอง ประทานพรให้ผม ผมเคยไป แต่ไม่เห็นค่าของการกระทำในครั้งนั้น ทั้งที่เดินทางไปไกล ครั้งนี้ผมจึงขอให้หลานพาผมไปโบสถ์นั้นอีกครั้งหนึ่งโบสถ์นี้สร้างโดยผู้หญิงชาวมุสลิม ในสมัยที่อินเดียไม่มีใครปกครองใคร ระส่ำระสาย ผู้หญิงคนนี้มีอาชีพเต้นรำ ร้องเพลงในสถานบริการและมีชาวยุโรปคนหนึ่งเป็นนายทหารที่กุมกำลัง คืออินเดียยุคนั้นถูกปกครองโดยฝรั่งเศสก็มี อังกฤษก็มี มีมหาราชาแต่ละแคว้น แผ่นดินถูกแยกเป็นส่วนๆ ผู้ชายที่เป็นชาวต่างชาติคนนี้มีกองกำลังเป็นของตัวเอง พร้อมที่จะไปรบให้กับมหาราชาแคว้นไหนก็ได้ ปกป้องให้รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ ตามแต่พอใจหรือใครจะจ้าง และบังเอิญไปพบผู้หญิงคนนี้ชื่อ เบกัม ลุ่มหลง รัก และได้ใช้ชีวิตด้วยกัน เบกัมจึงถูกเลี้ยงดูโดยผู้ชายยุโรป แต่โดยพื้นฐานเธอเป็นมุสลิม
ต่อมาเมื่อสามีเสียชีวิต เธอจึงสร้างโบสถ์หลังนี้อยู่ที่เมืองสาธนะ โบสถ์นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นคนคริสต์ ศาสนิกอื่นที่อยากได้พรก็พากันมาที่นี่ ไม่จำกัด ไม่แบ่งแยก แม่ผมพาผมมาที่นี่ ขอให้ผมมาเคารพ ขอพร กลับไปคราวนี้ผมไปไหว้เอง ทำตามพิธีคริสต์ศาสนาที่ถูกต้อง แม้ไม่สามารถสวดมนต์ได้ เจ้าหน้าที่ทางโบสถ์ก็มาช่วยทำพิธีให้ผมคารวะตามแบบคริสต์ แม้ว่าแม่ผมไม่มีชีวิตแล้ว แต่ผมทำ และรู้สึกดีกับการกระทำนี้มาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำนอกรีตศาสนาพุทธจะมีพลังยิ่งใหญ่ได้มากขนาดนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้ผ่านมาจากผู้หญิงอินเดีย ผ่านความรู้สึกความเชื่อทางคริสต์ศาสนา เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกรีตอีกวันหนึ่ง ผมกลับไปพบครูคนแรกที่สอนผมในห้องเรียนที่อินเดีย ท่านแก่มากแล้ว แต่พอรู้ว่าผมคือใคร จำความได้ ก็สามารถคุยกันได้ลึกซึ้ง ครูคนนี้ทำให้ผมมีความรู้สึกที่ดีกับการเรียนปรัชญา รวมถึงเมื่อผมเรียนจบชั้นปริญญาตรี ครูคนนี้เขียนหนังสือรับรองความสามารถที่จะเรียนต่อปริญญาโทที่ปัญจาบ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้ายากเพราะรับค่อนข้างจำกัดผมไม่ได้ติดต่อกับครูเลย จนวันนี้ และกลับมาบอกเล่าว่าผมจบโทที่ปัญจาบ และไปต่อปริญญาเอกที่มหา-วิทยาลัยไมซอร์ ก่อนจะกลับเมืองไทยไปเป็นครูสอนวิชาปรัชญาที่คุณสอนฉันมา วันนี้ผมกลับมาคารวะอินเดีย ครูของผมดีใจมากจนบอกไม่ถูกเราสนทนาเรื่องอินเดีย ผมกลับมาเพื่อเรียนรู้อินเดียอย่างแท้จริง ไม่ได้เรียนด้วยความคิดอีกแล้ว ผมใช้ใจที่ผมเคารพคุณ เคารพอินเดีย ผมอยากใช้ใจดวงนี้สัมผัสความเป็นจริงของอินเดีย แกก็แนะนำหลายประการวันรุ่งขึ้นผมเตรียมตัวจะลาเมืองนี้ ช่วงที่เตรียมจะลาก็มีความบังเอิญเกิดขึ้นอีก คือผมไปนั่งหน้าโรงเรียน มีชายชราคนหนึ่งเดินออกกำลังยามเช้า ผ่านหน้าผมสองสามครั้งและผมยิ้มให้เขา เมื่อเขาออกกำลังกายเสร็จ เราได้คุยกัน ผมบอกว่าผมเป็นนักศึกษาเก่าที่นี่ อยากกลับมาทบทวนอะไรบางอย่างที่นี่ อยากเข้าหอพักที่เคยอยู่ แต่ตอนนี้ปิดไปแล้ว เขาถามว่าอยากเข้าไปไหม ฉันเป็นคนดูแลหอพักทั้งหมดของที่นี่ ผมดีใจมาก แกเชิญไปกินน้ำชาที่บ้านพักผู้ดูแลหอ สั่งเด็กรับใช้ให้หากุญแจมาเปิดห้อง 55ผมเข้าไปอยู่ในห้อง ปิดประตู ใช้เวลาที่มีตอนนั้นทบทวนความรู้สึก พยายามนึกว่าตอนนั้นผมมาอินเดีย
ในฐานะพระภิกษุหนุ่มที่มีความปรารถนาในชีวิตมากมาย ได้มาห้องนี้ นอนร้องไห้อยู่ในห้องนี้ด้วยความคับแค้นใจ ด้วยความกดดันต่างๆ นึกถึงภาพนะครับ ผมเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่เข้ามาบวชเรียน ได้โอกาสที่ดี มีบุญบันดาลได้มาอินเดีย คือความรู้สึกแต่เดิม การไปต่างประเทศน่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่มาแล้วแย่กว่าเดิมมากจากที่เป็นนักบวชมาจากเมืองไทย ได้รับเกียรติ ได้รับความเคารพอย่างสูง ผมมาที่นี่ นอกจากไม่มีเกียรติ ยังได้รับการปฏิบัติอย่างต่ำต้อย เจ็บช้ำน้ำใจ กลายเป็นว่าผมตกต่ำมาก แต่ต้องต่อสู้เพราะต้องเรียนให้จบ มันเป็นโอกาสแล้ว แต่เข้าใจไหมว่าในใจมันคับแค้นเมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี ผมถึงรู้ว่าวันเวลาตอนที่ผมลำบากยากแค้นเป็นคุณกับชีวิตมหาศาล ผมยืนในห้องอับๆ บรรยากาศคล้ายบ้านผีสิง แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมเริ่มต้นการเดินทางภายในอย่างแท้จริงจากเมรัต เมืองที่ผมเรียนปริญญาตรี ทีแรกตั้งใจจะไปเมืองที่เรียนปริญญาโท ผมเปลี่ยนใจไปกันโกตรี เมืองต้นน้ำคงคา เพื่อสวดมนต์ภาวนาตามคติของฮินดู ที่นั่น ผมไม่ได้พบคน แต่พบธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ผมเป็นไข้เพราะหนาวมาก แต่ยังคงสวดมนต์และได้ความรู้สึกที่ดี ผมเลือกห้องพักอยู่เลียบริมแม่น้ำคงคา แค่เปิดหน้าต่างก็ได้ยินเสียงแม่น้ำ ผมสวดมนต์ ทำสมาธิด้วยการฟังเสียงแม่น้ำ ทำคล้ายสมัยที่อ่านสิทธารถะ คือฟังเสียงแม่น้ำตลอดทั้งวันผมพูดกับตัวเองได้ว่าผมได้เข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์บางอย่างของอินเดียโบราณ รู้สึกปลื้มปีติมหาศาลเมื่อเห็นแสงแห่งอุษา นี่คือความหมายชัดเจน และบทสวดที่สรรเสริญความงดงามของอุษาเทวีหรืออุษาเทพ หรือแม้แต่บทสวดบูชาสุริยเทพที่ประทานความอบอุ่น ประทานแสงสว่าง มันมีจริงๆ ในชีวิตของผม ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ผมเป็นสุขกับการมีชีวิตที่นั่น แม้ว่าเริ่มเป็นไข้และมาพบบรรยากาศพิเศษอีกครั้งที่หริทวาร หรือประตูสู่สวรรค์ ชาวอินเดียเชื่อว่าหริทวารเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดเมืองหนึ่ง ผมไปอยู่ที่นี่ ผมทำพิธีกรรม อาบน้ำ ชำระล้างบาป บูชาเทพต่างๆ ตามคติคืนหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า พบสมุดบันทึกซึ่งมีช่วงหนึ่งนั้น ผมไม่รู้ว่าตนเองบันทึกตอนไหน หนึ่งหน้าในเล่มเล็กๆ และในกระดาษอีกสองแผ่น ข้อความซ้ำๆ เดิม ภาษาแตกต่างกันเล็กน้อย แต่มีความว่าผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ รอบๆ ตัวผมขณะนี้มีเสียงดนตรีบรรเลงขับขาน มีเสียงสุนัขเห่าหอนผมนอนในที่แคบมาก จึงไม่สามารถวางเอกสารหรือหนังสือได้ แต่เช้าวันนั้นผมตื่นขึ้นมาพบสมุดบันทึกวางไว้ใกล้ตัวผม แล้วมีกระดาษสองแผ่นแนบอยู่ด้วย ผมอ่านแล้วตกใจว่าบันทึกตอนไหน ลายมือนั้นชัดเจนว่าลายมือผมแน่ ก่อนหน้านั้นบันทึกเรื่องอื่นไว้ แต่ไม่มีเรื่องนี้ ผมสงสัยมากว่ามาจากไหน เขียนตอนไหน ทำไปโดยไม่มีความจำเหลืออยู่เลย ผมแปลกใจว่าได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอน ที่อินเดีย ไม่ต้องพูดว่าเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์นะครับ เมืองทั่วไปเขาก็รังเกียจหมา เราไม่ค่อยเห็นคนอินเดียเลี้ยงหมา ยกเว้นเมืองใหญ่ๆ เมืองสมัยใหม่ ฉะนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะได้ยินเสียงหมาเพราะเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ แล้วผมได้ยินได้อย่างไร เสียงนี้มาจากไหน
เช้าวันนั้น ผมไปนั่งริมแม่น้ำคงคา คิดว่าจะทำความเข้าใจอย่างไรดีกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ช่วงที่ผมนั่งนิ่งๆ สำรวมจิตเพื่อทบทวน คือเมืองนี้อยู่ในหุบเขา ผมเหลือบตามองขึ้นไปที่สูง พบวัดวัดหนึ่งซึ่งผมเคยขึ้นไปและผมจำได้ว่าคนอินเดียศรัทธาวัดนี้มาก เป็นวัดของแม่มนสาเทวี เทวีองค์นี้ คนอินเดียเชื่อว่าใครปรารถนาสิ่งใด ให้ไปขอ แล้วจะได้ดังใจปรารถนา มนสาเทวีแปลว่าเทพที่ให้ความปรารถนากับเราได้ ผมนึกขึ้นมาว่าถ้างั้นผมไปขอบ้างน่าจะดี ขอความรู้ ขอความจำของผมคืนมาเถอะ ผมจะได้เข้าใจว่าเขียนทำไม เขียนตอนไหนผมขึ้นไปทำพิธีบวงสรวงตามคติ นั่งในนั้นเพื่อทบทวน และมีสิ่งหนึ่งซึ่งแปลกมาก มันไม่แปลกจากเรื่องข้างนอก แต่มันมาจากเรื่องในใจผม คือผมได้ยินเสียงเห่าหอนได้ยังไง ตอนอยู่เมรัต ผมทบทวนเรื่องคัมภีร์มหาภารตยุทธ และในนั้น ก่อนจบเรื่อง เป็นการกล่าวถึงยุทธิเฐียรซึ่งเป็นพี่คนโตของพวกเการพ ที่เมื่อทำศึกชนะที่คุรุเกษตรแล้ว ได้ปกครองเมือง ปกครองนานพอสมควรแล้วจึงมอบเมืองให้พระญาติองค์อื่นปกครองต่อ ส่วนเขาเลือกเดินทางกลับสวรรค์ในการเดินทางกลับสวรรค์ เมื่อมาถึงประตูสวรรค์ซึ่งในความหมายทุกวันนี้ก็คือเมืองหริทวารนั่นเอง เทพผู้รักษาประตูบอกว่ายุทธิเฐียรทำความดี ได้ปฏิบัติธรรมถูกต้องทุกประการแล้ว ขออัญเชิญเข้าสู่สวรรค์ได้ แต่สุนัขที่ติดตามมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ขอให้ทิ้งไว้ที่นี่ ยุทธิเฐียรกล่าวกับเทพผู้รักษาประตูว่าหากแม้สวรรค์ไม่ต้อนรับสุนัขตัวนี้ เขาเองก็ไม่ประสงค์จะเข้าสู่สวรรค์ เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเข้าสู่สวรรค์ด้วยการทิ้งสุนัขตัวนี้ไว้ที่นี่ สุนัขตัวนี้ตามเขามาตลอด ไม่เคยทอดทิ้งกันเลย ถ้าสวรรค์ไม่อนุญาตให้สุนัขเข้าสู่สวรรค์ เขาก็ไม่ประสงค์จะเข้าสู่สวรรค์ทันทีที่กล่าวจบ สุนัขตัวนั้นก็แปลงร่างกลับมาเป็นธรรมเทพ คือเทพแห่งธรรม ผู้ให้กำเนิดยุทธิเฐียรอีกทีหนึ่ง แล้วเรื่องมหาภารตยุทธก็จบลง สุดท้ายยุทธิเฐียรก็ได้ไปสวรรค์ผมไม่ได้พูดว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ แต่มันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ในใจผม ช่วงที่ผมเดินทางอยู่ในอินเดีย เมื่อผมดื่มด่ำอะไรมากๆ ผมรู้สึกว่าชีวิตนี้เป็นมายาที่ไร้สาระมาก ฉะนั้น มันจะจบลงตรงไหนก็ได้ ผมมีความสุขเป็นที่สุด หากผมจะจบชีวิตในอินเดียเลยก็ได้ ที่ผมนึกถึงเรื่องนี้ได้ ผมสะเทือนใจสูงถึงขั้นน้ำตาไหลว่าทำไมผมจึงมีความรู้สึกเช่นนี้ ผมเหมือนประหนึ่งว่าผมจะเข้าสู่สวรรค์โดยไม่คิดถึงคนอื่นหรือใครเลยหรือ ผมนึกถึงภรรยาคืออาจารย์สมปอง ช่วงที่ผมระลึกนึกได้ นี่คือบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต
วันที่ผมเขียนจดหมายหาอาจารย์สมปอง ผมแนบกระดาษสองแผ่นนั้นมาด้วย ฝากช่วยเก็บไว้ นี่เป็นเอกสารที่ไม่มีความหมายในเชิงภาษา แต่เป็นข้อความที่ผมอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าธรรมเทพหรือธรรมะที่เราใฝ่ฝันหาความหมายอะไรมากมาย มันมีอยู่ในทุกที่ แม้แต่กับสุนัขที่พูดเรื่องเทพ คนทั่วไปอาจมองว่าลึกลับ ปาฏิหาริย์ ความรู้สึกของผมไม่ได้ลึกลับนะครับ ใจผมเป็นเรื่องกระจ่างแจ้ง เมื่อผมกลับไปอ่านบทสวดพระเวท บทสวดสรรเสริญอุษาเทวีที่บอกว่าพระแม่นำความงดงามมาสู่โลกใบนี้ ท่านเผยโฉมให้เราเห็นความงดงามของโลกใบนี้ประดุจหญิงสาวแรกรุ่นที่ลงไปเปลือยกายอาบน้ำยามแรกรุ่งอรุณ ลองนึกภาพว่าเราเป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่ยังมีความปรารถนาจะเห็นความงาม วันหนึ่งเราได้ไปเห็นผู้หญิงงดงามคนหนึ่งค่อยๆ เปลื้องผ้าออกอาบน้ำ โอ…มันสวยขนาดไหน
ถามว่าเราเห็นผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง เห็นได้เพราะมีแสงอุษามาสาดส่อง โลกใบนี้ที่ผมอยู่มานาน 50 กว่าปี ผมรู้สึกได้ในวันนั้นเลยว่างดงาม ผ่านความรู้สึกที่ประจักษ์ได้ในความหมายของอุษา ไม่เพียงเป็นแสงสว่างให้โลก แต่เป็นความหมายที่ทำให้เราเห็นความงดงามของความเป็นอยู่เป็นไปบนโลกถัดจากปัญจาบ และไมซอร์ ผมเริ่มต้นการเดินทางแบบใหม่ ไม่ได้คิดไว้ก่อน คือบังเอิญผมไปสวดบทสวดบทหนึ่งชื่อ นทีสุคตะ เป็นบทสวดสรรเสริญแม่น้ำ ในความหมายที่แม่น้ำไหลไปตามคันคลองแห่งสวรรค์ ไม่มีเจตนาไปไหน สวรรค์มีเจตนาอยากไปทางไหนก็ไปทางนั้น และผมประทับใจบทสวดนี้มาก ผมตั้งใจว่าแต่นี้ต่อไป ผมจะทำตัวประดุจสายน้ำที่จะไหลไปตามคันคลองที่เทพแห่งสวรรค์ได้กำหนดไว้ให้ผมแล้ว รถคันไหนมา ผมขึ้นเลย ไม่มีเจตนาใดๆ อยู่ในใจ มีแต่ผมจะไป และขอให้เทพผู้ศักดิ์สิทธิ์ แห่งอินเดียโปรดนำพาผมไปผมเดินทางออกจากไมซอร์เลียบอินเดียฝั่งตะวันตกไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมรู้สึกดีกับการมีชีวิตอยู่มาก ประกอบกับรัฐเกราล่าเป็นรัฐที่ผมชอบ เพราะมีธรรมชาติที่ดี เป็นรัฐเล็กๆ ติดทะเล มีประชากร 30 กว่าล้านคน รัฐนี้ปกครองโดยคอมมิวนิสต์มาตลอด ไม่เคยมีพรรคการเมืองอื่นมาครองได้เลย รัฐมีสโลแกนว่ายากจน แต่มีความสุขเกราล่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยมะพร้าว ชื่อเกราล่าแปลว่ามะพร้าว มันเหมาะกับผมซึ่งเกิดที่เกาะสมุย ผมใช้ชีวิตที่นี่นานพอสมควร ไม่กำหนดเงื่อนไข เดินทางไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ขึ้นรถ ผมบอกเขาว่าไปสุดสาย บางวันไปในเมืองที่ไม่รู้ไปทำไม แต่โอเค ทุกที่ผมตั้งใจปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาอยู่แล้ว
GM : มีอันตรายบ้างไหม
ประมวล : ในความคิดของผมไม่มี หมายความว่าคนอื่นอาจคิดว่าน่ากลัว แต่ผมว่าไม่น่ากลัว เช่น เมื่อเราลงรถที่เมืองหนึ่งซึ่งเขาเห็นว่าเราเป็นคนแปลกหน้า เขาจะรุมหวังเอาเราเป็นเหยื่อ อยากให้ไปกินที่นั่นที่นี่ สิ่งเหล่านี้ผมรู้ดีและรู้วิธีเอาตัวรอด แต่ไปครั้งนี้ผมไม่สนใจ ลงรถปุ๊บ ใครมาชวนไปไหน ผมไปเลย เพราะมีหลักว่ามีเงินเท่าไร เขาอยากได้ เอาไปเลย ผมไปซื้อของ เขาบอกราคามาเท่าไร ผมไม่เคยต่อรอง สมมุติอยากกินมะม่วงลูกหนึ่ง เขาบอกว่า 10 รูปี ผมส่งเงิน 10 รูปีให้เขา เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าผมจะจ่ายเงินให้ชาวอินเดีย เหมือนเป็นการจ่ายหนี้ ผมจึงไม่คิดว่าถูกคดโกง ถูกเอาเปรียบ หรือตกเป็นเหยื่อ เลยไม่มีอะไรน่ากลัว แม้กระทั่งข้าวของ อยากเอา เอาไปเลย ผมไม่เคยห่วงกระเป๋า ปกติไปอินเดีย เขาจะสอนกันนักหนาว่าระวังกระเป๋า อย่าทิ้งของไว้ ผมไม่ใส่ใจผมเดินจากสารนาถไปพาราณสี เดินและตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้พระแม่คงคาช่วยชำระอาสวะมลทินให้ผมด้วย ผมเดินไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ดีมาก กระทั่งถึงท่าน้ำหนึ่งเป็นวังเก่าและเปลี่ยว ผมชำเลืองเห็นผู้ชายอินเดีย 3 คน หน้าตาน่ากลัวคล้ายพวกมิจฉาชีพ ผมนึกในใจว่าถ้าข้าวของที่มีอยู่และจะเกิดประโยชน์กับเขา และเขาปรารถนาก็มาเอาไปเลย ผมมอบให้ นี่ไม่ใช่การปล้นชิง หรือชีวิตผม ถ้าคิดว่าอยากได้ เชิญเอาไปเลย และจะเป็นบุญมาก ถ้าช่วยทิ้งศพในพระแม่คงคา เป็นความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ปรากฏว่าผมเดินผ่านไปโดยเขาไม่สนใจผมเลย ความรู้สึกตอนนั้นของผมคล้ายคนไม่มีค่า ทำไม 3 คนนี้ไม่มาเอาอะไรของผม เงินก็มี ทำไมพวกนี้ ไม่คิดประทุษร้ายผมเลยหรือ (หัวเราะ)ผมเดินต่อไปถึงบางท่าที่มีการเผาศพ ผมดูการเผาศพ ได้กลิ่นเหม็นไหม้ศพ ผมร้อนจนเหงื่อไหลเข้าตา แสบตา เหงื่อไหลเข้าปาก ลิ้นสัมผัสรสเค็มๆ นาทีนั้นผมเห็นโลกใบนี้ในอีกความรู้สึกหนึ่ง จำได้ว่าก่อนจะจากลา ผมตักน้ำคงคามาชำระล้างอาสวะมลทินและดื่มกิน ผมมีความสุขมากที่ไม่ได้นึกรังเกียจน้ำที่ผมเคยรังเกียจมากเมื่อก่อนนี่คือความเปลี่ยนแปลงภายในของผม รู้สึกอย่างแท้จริงว่าน้ำศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งความศักดิ์สิทธิ์นี้สลายความน่ารังเกียจได้ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าแม่คงคาศักดิ์สิทธิ์ เมื่อก่อนเราคิดด้วยเหตุผลตลอด มันสกปรก มันไร้สาระ ถ้าน้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์จริง ปลาที่ว่ายอยู่ คงขึ้นสวรรค์ไปแล้วกระมัง นี่คือความคิดในอดีต แต่ทันทีที่ผมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมรู้เลยว่ามันศักดิ์สิทธิ์
GM : ความศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าคืออะไร
ประมวล : เมื่อก่อนเราแยกตัวเราเองว่าสะอาดบริสุทธิ์ แล้วอะไรที่เป็นมลทินแปดเปื้อน เราไม่ปรารถนาจะไปสัมผัสสิ่งนั้น ไม่แตะต้องสิ่งนั้น รูป รส กลิ่น เสียงทั้งหลาย เราคัดสรรให้มันสะอาดและเหมาะสมกับเรา ค้นหาความสะอาดบริสุทธิ์ของโลกใบนี้ผ่านรูป รส กลิ่น เสียง เวลาเราจะกิน เราถามตัวเองว่าน้ำนี้สะอาดพอไหม ฉะนั้น เรากินด้วยความรู้สึกที่แปลกแยกตลอดเวลา และด้วยความรู้สึกว่าความสกปรกมันอยู่ข้างนอกเราเสมอ วันหนึ่งเมื่อผมอยู่ตรงนั้น ผมรู้สึกเลยว่าความศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ในตัวผม ความสะอาดมันอยู่ในใจผม นี่ทำให้ผมสามารถก้มลงสัมผัสพระแม่คงคา สายน้ำที่มีซากศพ มีอะไรต่างๆ มากมาย ผมเอาน้ำขึ้นมาเข้าปาก สัมผัสได้ว่าผมไม่มีความรู้สึกรังเกียจสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว และพอไม่รังเกียจสิ่งเหล่านี้ มันจึงมีความหมายขอโทษนะครับ ในปากเรานี่ฟันแต่ละซี่สกปรกเป็นที่สุดเลย ไม่เชื่อใครลองไปหาหมอฟันและถอนมาสักซี่ ผมเคยไปถอนมาแล้ว และหมอยังอุตส่าห์ถามว่าจะเอาฟันกลับไปไหม จะเอาให้ ฟันที่ถอนจากปากแล้วมันสกปรก มันมีกลิ่นเหม็น ถ้าให้เอากลับเข้าปากอีกครั้ง ผมคงอ้วกออกมาแน่ๆ ทั้งที่ฟันซี่นั้นอยู่กับผมมาเนิ่นนาน ผมไม่เคยรังเกียจ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของผม แต่วันหนึ่ง เมื่อมันถูกดึงออกจากปาก และไม่ใช่ของผมแล้ว ผมรังเกียจมันมากทรรศนะหลายอย่างของผมเปลี่ยนไป ตอนนั่งบนรถไฟขบวนหนึ่ง ผมนั่งบนม้านั่งอยู่ดีๆ มีคนขึ้นมาซึ่งเขาคิดว่าดีกว่าผม เพราะผมโทรมมาก สกปรกมาก เขาไล่ผมไปเพื่อจะนั่งตรงนั้น ผมลุกขึ้นให้เขานั่งเลย มีความสุขมากด้วยซ้ำ เชื่อไหม ผมนั่งบนพื้นไปนานเข้า พื้นตรงนั้นก็ไม่เหมาะกับผมอีก สภาพผมดูต่ำทรามถึงขนาดเขาไล่ให้ผมไปนั่งหน้าห้องน้ำ ผมก็ไป เพราะคิดว่าอะไรก็ได้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ผมรับได้หมด
GM : ตอนวักน้ำกิน คุณไม่คิดหรือว่ามันสกปรกหรือมีเชื้อโรคซึ่งอาจทำให้ป่วยไข้ได้
ประมวล : ไม่เลย ผมดื่มด่ำกับความศักดิ์สิทธิ์นั้นจริงๆ ไม่มีคิดเรื่องสกปรก สะอาด เรื่องความสมเหตุสมผล ไม่มีระบบเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเอาตัวผมทั้งชีวิตมาวางวิเคราะห์ดู มันไร้สาระมากเลยที่ผู้ชายคนหนึ่งอุตส่าห์เรียนจบปริญญาเอก เป็นอาจารย์สอนปรัชญาในมหาวิทยาลัย เคยเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย แล้ววันหนึ่งผู้ชายคนนี้ไปทำตัวแบบนี้ ไร้สาระมาก แต่บอกแล้วว่าผมไม่ได้ใช้ระบบเหตุผล ทำไมผมต้องมาสงสัยสิ่งเหล่านี้ ความสงสัยนี้ใช่ไหมคือสิ่งที่ผมกำลังปรารถนาจะลดละจากมา พอคิดได้แบบนี้ ผมเลิกเลย ตอนวักน้ำขึ้นมาดื่ม ผมไม่คิดอะไร อยากทำ ทำเลย ขอโทษ ถ้าผมคิดละเอียดถี่ถ้วน ผมอาจไม่ดื่มก็ได้ เพราะเมื่อก่อนผมกินนิดเดียวแล้วอ้วกเลย
GM : คุณเคยกินมาแล้ว ?
ประมวล : ตอนเป็นนักศึกษาชั้นปริญญาตรี เพื่อนผมคนที่ช่วยติดต่อให้ผมไปอยู่บ้าน วันหนึ่งแม่เขาเสียชีวิต เพื่อนแม่ก็เหมือนแม่ตัวเอง เราต้องเคารพ และวิธีการหลังความตายคือเราต้องพาร่างแม่ไปเผาและทิ้งลงแม่น้ำคงคาภายใน หนึ่งวัน แม่เพื่อนผมเสียชีวิตเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ผมไม่ได้นอนทั้งคืนนั้น เพราะแม่มีอาการแย่ลงเรื่อยๆ เราก็ไปนั่งเป็นเพื่อน คอยดูแล พอเสียชีวิต เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เราพาร่างแม่ไปริมแม่น้ำคงคาคนอินเดีย เวลามีคนเสียชีวิต เขาจะไม่ดื่ม ไม่กินอะไรเลย ตอนนั้นผมเป็นพระ คือเป็นพระปกติตอนเช้าเราต้องรีบฉันอาหาร เพราะเย็นเมื่อวานเราไม่ได้กิน มันหิว แต่วันนั้นไม่ได้กิน ต้องช่วยพาร่างแม่ไปเผา ไปถึงริมแม่น้ำประมาณเที่ยง ร้อนก็ร้อน เราต้องหาไม้ฟืนมาเผาศพจนร่างนั้นไหม้หมด แล้วเกลี่ยเถ้าถ่านลงแม่น้ำ เอาน้ำมาราด ทุกคนต้องลงไปอาบน้ำ วักน้ำล้างหน้า และดื่มน้ำ ผมก็ต้องทำตามประเพณีนี้ ผมล้างหน้านิดหน่อย และวักน้ำมากิน นึกออกไหมครับว่าก็ตรงนี้มิใช่หรือที่เราเพิ่งเอาเถ้าถ่านของศพลงแม่น้ำ และไม่ใช่จุดนี้จุดเดียว คือเรายืนตรงนี้ ใกล้ๆ เรา มองออกไปทางซ้ายและขวาสุดสายตา ก็จะมีศพอื่นๆ เผาอยู่ บางศพเพิ่งนำมาถึง และบางศพ ไฟกำลังลุกไหม้อยู่ท่ามกลางแดดร้อนจัดจ้าและที่สะเทือนใจมากคือบางศพเผาเพียงแค่เล็กน้อย เพราะเขาไม่มีเงินซื้อไม้ฟืน ยังไหม้ไม่หมด ก็ต้องเอาลงน้ำแล้ว ที่แย่มากคือมีหมาไปรออยู่แถวนั้นเพื่อกัดกินซากศพ คือไม่ถึงกับโดดตามลงน้ำ แต่เห็นชัดว่ามันพยายามกระชากร่างนั้นมากิน หรือมีปลาที่อยู่ตรงนั้นมารุมตอดกินศพ และบริเวณเดียวกับที่เรายืนอยู่ กลิ่นศพที่เข้าจมูกนั้นคาวมาก ความคาวนั้นคือคาวซากศพมนุษย์ พอเอาน้ำมาใกล้จมูกแล้วเข้าปาก ทั้งเหม็น ทั้งขยะแขยง ผมอ้วกออกมาเลย เป็นลม ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเพื่อนช่วยกันพยุงมานอนใต้ร่มไม้ เอาพัดมาโบก เอาน้ำชาร้อนๆ มาให้ดื่มผมทำตามประเพณีทั้งหมดได้จนจบ แต่มาอ้วกตอนสุดท้าย เพราะความรู้สึกของเราที่มีต่อความเหม็นคาวนั้นรุนแรงจนไม่สามารถทนได้ นั่นเป็นภาพที่ผมจำติดตา ผมขอโทษเพื่อนว่าเมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอน หิว เลยเป็นลม เขาไม่ถือสา เขารู้ว่าเราทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่คุ้นเคย เพราะเราไม่ใช่คนอินเดีย
GM : แล้วตอนวักน้ำกินอีกทีที่พาราณสี ไม่มีศพเต็มไปหมดหรือ
ประมวล : อ๋อ…ไม่ครับ ที่พาราณสีจะอนุญาตให้เผาศพได้เฉพาะบางท่าเท่านั้นผมคิดว่าในสังคมอินเดียมีความเข้มข้นหนักแน่นเป็นโครงสร้างสำคัญ ความศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องใหญ่ที่อยู่ในใจเขา ซึ่งต่างจากบ้านเรา เวลาจะอธิบายบางสิ่งบางอย่างมันจึงยากเหมือนกัน เพราะเราคิดคนละแบบ เชื่อคนละแบบ ในวิชาปรัชญาที่ผมเรียนมา สมมุติว่ามีนักปรัชญาคนหนึ่งที่โตมาในสังคมที่นับถือพระผู้เป็นเจ้า และเขาอธิบายความดี ความงาม ผ่านความเชื่อเรื่องพระผู้เป็นเจ้า ความรู้สึกเหล่านั้นอ่อนพลังไปทันที เมื่อเราเอาคำอธิบายนี้มาพูดในสังคมที่ไม่นับถือพระผู้เป็นเจ้า
GM : ดูงมงายด้วยซ้ำ ?
ประมวล : ใช่, บทกวีที่ไพเราะของมุสลิม เราก็ไม่ซาบซึ้งไปด้วยเพราะเราไม่นับถือเหมือนเขา ความรู้สึกและความหมายของชีวิตที่ผมค้นพบผ่านสังคมอินเดียจึงไม่ง่ายที่จะสื่อสารกับคนไทย ผมใช้เวลาคิดเรื่องนี้มาก ถึงยังไม่รีบเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ คนไทยในปัจจุบันมีทัศนคติต่อธรรมชาติต่างไปจากอดีตมากจริงๆ
GM : เทคโนโลยีมีผลเยอะไหม
ประมวล : เทคโนโลยีคือตัวแปรที่สำคัญ โดยเฉพาะโทรศัพท์ ผมเคยพบผู้หญิงตัวเล็กๆ พูดคนเดียว พูดในความหมายว่ากำลังโทรศัพท์ เขาคุยเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคนชอบคุย ชอบจินตนาการว่าคุยกับย่า ผมไม่แปลกใจที่เด็กทำแบบนี้ ผมก็เป็นคนชอบคุยกับตัวเอง คุยกับธรรมชาติรอบตัว แต่ทุกวันนี้การที่จะพูดกับคน พูดกับธรรมชาติได้ต้องมีเทคโนโลยีเป็นตัวกลาง เราไม่สามารถเข้าถึงธรรมชาติได้โดยตรงอีกแล้ว นี่คือประเด็นที่ผมรู้สึกว่าเวลาเราจะเข้าใจธรรมชาติจึงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากของคนปัจจุบัน ที่สำคัญ เมื่อมีเทคโนโลยี ดูเหมือนเราจะคิดว่าไม่จำเป็นต้องเคารพธรรมชาติ ไม่ต้องเกรงกลัว พอเป็นเช่นนี้ เราจึงไม่ต้องสื่อสารกับธรรมชาติ พยายามตัดออกจากชีวิตด้วยซ้ำ ฝนจะตก แดดจะออก เราดูแค่ข่าวอุตุนิยมวิทยา เราไม่ใช้ดวงตา ไม่ใช้ใจของเราพิจารณาสมัยโบราณ ถ้าอยากรู้เรื่องธรรมชาติ เรามองไปที่ธรรมชาติโดยตรง ผมเป็นเด็กชาวเกาะ ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ถูกสั่งสอนมาคือถ้าจะออกทะเลก็ให้ดูหน่อยว่ามีคลื่นลมยังไง เช่น คืนนี้จะออกหาปลา ก็ดูขอบฟ้าก่อน ถ้าตอนเย็นฟ้าสีแดงจัดเกินไป ก็ไม่ควรออก ยิ่งถ้าตรงขอบฟ้าสีแดงจัดและเหนือขึ้นไปมืดครึ้มมาก แบบนั้นไม่ควรออกไปเลย ผมคิดว่าสิ่งที่ธรรมชาติสื่อมานั้นคือสายใยแห่งความสัมพันธ์ระหว่างกัน เมื่อเขาจะเป็นไปยังไง เขาแจ้งให้เรารู้ และคนโบราณจะปฏิบัติตาม
GM : ธรรมชาติกับมนุษย์สื่อสารกันอยู่เสมอ ?
ประมวล : ใช่, และประสบการณ์ที่รับรู้ต่อๆ กันมานั่นเองที่ทำให้เราเคารพในความเป็นธรรมชาติ เช่น เมื่อมีลมพัด มีพายุ มีคลื่น เรามีเรือลำเล็กมากก็ไม่ควรออกจากฝั่ง และเราไม่คิดว่าธรรมชาติเป็นอุปสรรค แต่คิดว่าเมื่อธรรมชาติไม่อนุญาต เราก็ไม่ออกไป แค่นั้นเอง ชีวิตทุกวันนี้ไม่มีมิติแบบนั้นแล้ว แม้จะมีคนไปทะเลอยู่ตลอดเวลา แต่ทะเลเป็นแค่ฉาก แค่สิ่งผ่อนคลาย มันไม่มีความผูกพันกัน ไม่มีค่าเพียงพอ ที่เราจะเงี่ยหูฟัง นับถือ หรือแสดงความเคารพ
GM : ธรรมชาติยิ่งใหญ่มาก เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แล้ววันหนึ่งเราตัดธรรมชาติออกไปจากชีวิต คุณคิดว่าปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรในสังคมมนุษย์ปัจจุบัน
ประมวล : มันเปลี่ยนแปลงเชิงลึกถึงโครงสร้างของความหมายชีวิตเลยทีเดียว ไม่ว่าเราจะเจริญหรือไม่เจริญทางเทคโนโลยี ผมเข้าใจว่าเรามีความผูกพันโยงใยอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เราไม่ลืมสภาวะโครงสร้างที่เราไม่สามารถหลงลืม หรือฝ่าฝืนกฎเกณฑ์บางสิ่งบางอย่างได้ชีวิตที่เรามีอยู่ ความหมายที่เรามีอยู่ มันวางตั้งอยู่ในกรอบ กฎ เกณฑ์ หรือภาชนะรองรับอยู่ แต่พอเราทำให้กรอบนั้นค่อยๆ จางหายไป แท้จริงมันมีอยู่ แต่เรามองไม่เห็น เลยทำให้เราไม่รู้จักขอบหรือปริมณฑลที่เราอยู่ พอไม่รู้ ทำให้เราหาความหมายที่แน่ชัด
ไม่เจอ ขณะเดียวกันก็พยายามสร้างความหมายใหม่ๆ ขึ้นมา สร้างจากความไม่เข้าใจ สร้างโดยมองไม่เห็นโครงสร้างและขอบเขตแต่เดิม มันเหมือนประหนึ่งว่าดูดี เป็นไปตามใจเรา แต่แท้จริงมันไม่ได้เป็นไปตามใจเรา เหมือนเราหลอก เหมือนว่ามีอิสระสูง แต่ไม่ใช่เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปที่บ้านดินของเพื่อน เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ในบ้านเขามีไก่สองสามตัว เพิ่งออกลูกเล็กๆ ด้วย ผมไม่รู้ จู่ๆ เดินเข้าไป ไก่เลยบินหนี บินไปชนมุ้งลวดหลายครั้งเพราะมันมองไม่เห็น ไม่รู้สึกว่ามีลวดกั้น เลยวิ่งไปชน ผมบอกเพื่อนว่าเราอย่าเข้าไปเลย สงสารไก่ เห็นมันวิ่งชน แต่บอกมันไม่ได้ว่าอย่าวิ่งไปชน วิธีที่ดีคือเราเดินหลบออกมาผมเห็นไก่วิ่งชนมุ้งลวดแล้วรู้สึกเหมือนพวกเราไม่เข้าใจโครงสร้างชีวิตที่เป็นอยู่ คือเราเห็นทางออก แต่แท้จริงมันออกไม่ได้ เพราะมีมุ้งลวดกั้นอยู่ แต่เราพยายามออกทางนั้นให้ได้ ชน ชน ชน พูดแบบนี้อาจดูหมิ่นเพื่อนบางคนเกินไปก็ได้ แต่ผมคิดแบบนี้ พอเราห่างเหิน ลืมเลือธรรมชาติ เราพยายามสร้างตัวตนขึ้นมาให้เหนือธรรมชาติ และไม่จำเป็นต้องโยงใยกับธรรมชาติ เราจึงมักตื่นตระหนกตกใจกลัวความเป็นจริง เช่น เรากลัวเมื่อเราจะตาย กลัวสิ่งที่ต้องพลัดพราก ความรู้สึกแบบนี้ผมเข้าใจว่ามันมีอยู่ในใจมนุษย์สูงมาก มากจนกระทั่งเวลาเราพูดว่าใครคนหนึ่งไม่กลัวตาย เราพูดเหมือนเขาบรรลุธรรม เป็นคนวิเศษ ความจริงไม่ใช่เลยผมกลับไปเยี่ยมป้าอายุ 93 ปี แกไม่ได้เรียนรู้อะไรพิเศษ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมที่ลึกซึ้ง แกถามผมว่าถ้าแกเสียชีวิต จะกลับมาบ้านที่สมุยนี้ไหม ผมบอกว่ามา แกถามปกติมากเพราะรู้ว่าใกล้ถึงจุดเสียชีวิต ผมพูดกับภรรยาว่าอีกไม่นานคงต้องกลับไปเกาะสมุยอีกแน่นอน ไม่ได้แช่งให้แกตาย แต่เป็นความจริงขั้นสามัญ เรื่องปกติมากแต่ทุกครั้งเมื่อมีการพูดขึ้นมาในวงสนทนามันกลับดูไม่ดี สมมุติมีคนถามผมว่าจะกลับมาอีกเมื่อไร เดี๋ยวป้าเสียเมื่อไร ผมจะกลับมา ผมพูดไม่ได้ ทั้งที่ความรู้สึกของผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมพร้อมเสมอที่จะกลับบ้านเมื่อป้าผมเสีย นี่คือความรู้สึกปกติ และความรู้สึกปกตินี้เกิดขึ้นเพราะผมเคารพในกฎเกณฑ์ง่ายๆ ธรรมดาๆ ของธรรมชาติ ไม่ได้เฉพาะเรื่องนี้ แต่หมายรวมเรื่องอื่นด้วยที่เป็นกฎธรรมชาติ ผมเคารพและรับได้แน่นอนผมเสียดาย อาลัยอาวรณ์กับความผูกพัน เหมือนเวลาเราจะจากลาคนรัก แต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทาง คือจะจากก็ต้องจาก แต่จากก็รู้สึกอาลัย ไม่อยากจาก บางคนน้ำตาซึม แต่น้ำตาไหล ไม่ได้แปลว่าไม่ไป ความรู้สึกแบบนี้เป็นโครงสร้างความหมายของชีวิต
GM : คุณกำลังจะบอกว่าคนส่วนใหญ่พยายามถอดโครงสร้างนี้ออกไปแบบนั้นหรือเปล่า
ประมวล : ใช่, ไปอยู่ในอีกกรอบหนึ่ง และยึดเหนี่ยวไว้ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติและไม่เกื้อกูลธรรมชาติ เป็นกรอบใหม่ ภาชนะใหม่ มันมีสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมาคือตัวตนของเราที่แข็งมาก คือเวลาเราจะทำอะไรสักอย่าง มันมีพลังความต้องการของตัวเอง มีเป้าหมายของตัวเอง ความต้องการและเป้าหมายของเรานั้นถูกสร้างให้มีพลังโอบอุ้ม อธิบายทุกกิจกรรมชีวิตไว้คำทางศาสนาคือการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของเราที่ถูกสร้างขึ้นมา คล้ายเราสร้างความหมายใหม่ขึ้นมาโดยไม่อิงอาศัยกฎเกณฑ์กับธรรมชาติ แต่มีความอยากเป็นตัวกำหนด นี่คือปัญหาของคนทุกวันนี้ผมยกตัวอย่าง คนหนุ่มสาวต้องการ สอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องเข้าคณะที่ดี เมื่อทำได้ ชีวิตจึงดำรงอยู่ได้ ไอ้ความหมายที่ว่านี้ทำให้บางคนอาจเสียใจถึงขั้นฆ่าตัวตายถ้าทำไม่ได้ ทั้งที่ความหมายชีวิตด้านอื่นๆ ยังมีอีกมากมาย แต่เมื่อน้ำหนักตรงนี้มันมาก จึงกดทับ บดบังอย่างอื่นหมดเลย นี่เราพูดถึงวัยรุ่นแท้จริงเราทำแบบนี้กับทุกช่วงวัยของเรา หางาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ สิ่งเหล่านี้ทำให้ความหมายของชีวิตอีกมากมายหมดความหมาย เพราะมัวผูกโยงกับการแข่งขัน การได้มา พูดง่ายๆ ว่าทันทีที่เราลงสู่สนามของการมีชีวิตอยู่ ทำให้เราต้องแข่งขันตลอดเวลา เพราะเราต้องได้มาก ได้เหนือ ได้เร็ว มีการคิดเชิงเทียบเคียงกับคนอื่นตลอด เมื่อคิดแบบนี้เลยทำให้ต้องวิ่งตลอดเวลา ไม่หยุดพักผ่อน ทำให้เราห่างจากกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ทำให้เราคับแค้น
GM : ความหมายใหม่ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ ถ้ามันไม่มากเกินไป ?
ประมวล : ถูกต้อง แต่บังเอิญเราทำให้มันใหญ่เกินไป จนลดทอนสิ่งอื่น เราทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตให้กับสิ่งเหล่านี้ซึ่งแท้จริงมีความหมายน้อย การเรียนเป็นเพียงกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น การมีบ้านเป็นกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ชีวิตทั้งชีวิต นี่คือประเด็น เหมือนเรากินอาหารมื้อหนึ่งซึ่งแน่นอนเรากิน แต่ถ้าวันหนึ่ง ใครคนหนึ่งกินมากไป ต้องกินแบบนี้เท่านั้น กินตอนนี้เท่านั้น มันไม่ใช่ เพราะแท้จริงเรายังมีกิจกรรมอื่นๆ อีก แค่อาหารมื้อเดียว ถ้ามันจะไม่ได้สมบูรณ์ ก็อย่าไปจริงจังกับมันเกินไปเพราะจะทำให้เรางุนงงกับชีวิต ลุ่มหลง และดิ้นไปไหนไม่ได้วันที่ผมกลับไปอินเดียและทบทวนความหมายใหม่ คำว่าทบทวนความหมายใหม่คือทดลองใช้กรอบความรู้สึกแบบอินเดียเข้ามาเป็นตัวเชื่อมโยงประสาน ผมกลับพบว่า เออ…หลายๆ เรื่อง ผมก็ไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นที่ผูกชีวิตไว้กับเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน ต่างแค่ผมอาจจะมีโครงสร้างอะไรที่มากกว่านั้น แต่แท้จริงยังอยู่ในโครงสร้างเดิม ความจริงทุกวันเวลาชีวิตที่เราเกิดมา เราอยู่ในโครงสร้างของธรรมชาติที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่เราลืม ละเลย มองไม่เห็น
GM : ขณะที่ไก่กระโดดชนมุ้งลวด ถ้าเปรียบเทียบในสมการเดียวกัน คุณคิดว่ามุ้งลวดของคนเราคืออะไร
ประมวล : คือตาข่ายของความเชื่อ ตาข่ายการยึดมั่นถือมั่น มนุษย์ทุกคนล้วนมีตาข่ายนี้ ผมไม่ได้คิดเองนะครับ ผมพูดตามหลักพุทธศาสนาซึ่งเขียนไว้ชัดเจนในพรหมชาละสูตร สูตรที่ว่าด้วยตาข่าย ชาละแปลว่าตาข่าย ครอบงำชีวิตอยู่ ตาข่ายที่เราวิ่งชนตลอดคือทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในคุณงามความดี ในความผิดความถูกตามกรอบที่เราคิด และความยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่ได้สอดคล้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ และเราก็เจ็บปวดที่เอาหัวไปชน เอาชีวิตไปชน ยิ่งดิ้นมันยิ่งเสียดสีและเจ็บปวด เหมือนไก่ตัวนั้นในความเห็นผม ความต้องการวัตถุและแรงปรารถนาต่างๆ นานาที่เราสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ใช่สิ่งผิด มันเป็นสิ่งที่มีอยู่โดยปกติ เหมือนเรื่องเซ็กซ์ เซ็กซ์ก็เป็นพลังตามธรรมชาติ เซ็กซ์ทำให้มนุษย์เจริญเติบโต มองเห็นความหมายที่ดี เซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ทุกๆ ความต้องการ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่ใช่สิ่งเลวร้ายประเด็นคือต้องมีจุดของการเปลี่ยนผ่าน ความต้องการอาหารตามธรรมชาติ ต้องการมีเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ ต้องการการยอมรับจากเพื่อนมนุษย์โดยธรรมชาติ ความต้องการที่จะมีอะไรบางอย่างเพื่อสนับสนุนตัวตนของเราตามธรรมชาติ มันค่อยๆ ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ตอนเป็นเด็ก เราหิว กระหาย เราคว้าหาอาหารมากินทันที แต่เมื่อเราผ่านวัฒนธรรมการกิน ผ่านการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ การกินนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เข้าใจความจริงมากขึ้น แต่ก็ยังเสพติด ผมกลับบ้านทีไร กินอะไรก็อร่อยไปหมดเพราะผมติดอยู่ในรสชาติอาหารแบบบ้านผมประเด็นคือติดในรสชาติอาหาร เรายังมองเห็นง่าย แต่กับเรื่องอื่นๆ เช่น ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ความกระหายที่จะถูกยอมรับจากผู้อื่นซึ่งแท้จริงมีอยู่โดยธรรมชาติ แต่พอเราโตขึ้น เรามุ่งสร้างมิตินามธรรมนี้ขึ้นสูงมาก นับวันมันยิ่งมากและมองไม่เห็นว่าขอบเขตอยู่ที่ไหน วันหนึ่งเราจึงเจ็บปวด เราคับแค้น กับการสูญเสียอำนาจ สูญเสียการยอมรับ และเราพยายามดิ้นรนแสวงหามากมายถึงขั้นทุ่มทั้งชีวิตการกระหายให้ผู้คนยอมรับในอำนาจ มันน่าตกใจว่าคนคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อจะให้มีคนมายอมรับในอำนาจของตน ทั้งที่สิ่งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง มันไม่คุ้มอย่างยิ่งที่ใครคนหนึ่งจะอุทิศชีวิตเพื่อสิ่งนี้ลึกๆ ในใจเราทุกคนต้องการสร้างตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก ให้คนอื่นเป็นองค์ประกอบ โดยที่อาจรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ตั้งแต่เด็ก เรามีมา เป็นมา แต่ตอนเด็ก เราต้องรู้สึกแบบนี้ มันทำให้ตัวตนของเราโผล่มา ทำให้เรามีพลังที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้ผมจำได้ว่าเมื่อผมเป็นเด็ก วันที่มีรองเท้าคู่แรกในชีวิต ผมเอารองเท้า
ไปวางข้างที่นอน รู้สึกตัวขึ้นมายามดึก สิ่งแรกที่ทำคือเอื้อมมือไปคลำว่ารองเท้ายังอยู่ไหม มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มากที่เรามีวัตถุข้าวของเป็นของเราเอง ผมเข้าใจประเด็นนี้ดี ทุกคนจะมีความหมายชีวิตจากข้าวของ การยอมรับ การยกย่องจากผู้อื่น มีมาโดยธรรมชาติ ที่น่าเสียดายก็คือเมื่อเราโตขึ้น และรู้ว่ามันมีความหมายบางอย่าง เรากลับไปสร้างความหมายนี้จนแน่น แข็ง ใหญ่ กระทั่งความหมายในเรื่องอื่นๆ ลบเลือนหมดเมื่อเรามีชีวิตอยู่ เราน่าจะใช้ชีวิตในเบื้องต้นให้เป็นไปตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งน่าจะใช้ชีวิตใหม่ ไม่ใช่ปล่อยตามสัญชาตญาณอีกแล้ว เราต้องแปลงพลังตามสัญชาตญาณให้เป็นพลังสร้างสรรค์ ผมยกย่องสิ่งที่เป็นสัญชาต-ญาณ เพราะเป็นพลังสำคัญให้เราเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ เราหิว กระหาย ไขว่คว้าอาหารการกินแต่ขณะเดียวกันเราก็ต้องเรียนรู้ว่าควรกินอะไรและไม่ควรกินอะไร มิใช่หมายความว่าเมื่อหิวแล้วจับอะไรยัดปากก็ได้ ผมเข้าใจว่าสัญชาตญาณเรื่องเพศก็ทำให้เรากระหายในเพื่อนมนุษย์ต่างเพศ อยากใกล้ชิด แต่มาถึงจุดหนึ่ง เราคงมิได้หมายความว่าเจอเพื่อนต่างเพศแล้วเราจะตะกละตะกลาม มันควรผ่านกระบวนการบางอย่างที่เหมาะสม จัดสรรพลังที่ว่านี้ให้เป็นพลังสร้างสรรค์ให้กับชีวิต เรามีพลังอย่างมากที่จะเกื้อกูลลูกของเรา แต่พลังนี้เราก็ต้องรู้ว่าไม่ควรผูกพันถึงขั้นเจ็บแค้นแสนสาหัสเหลือเกิน เมื่อลูกเป็นอะไรไปโครงสร้างแบบนี้ที่ผมผ่านอินเดียมา ผมประทับใจมาก เพราะอินเดียสอนให้ยึดถือ และสอนให้ปล่อยวางด้วยในขณะเดียวกัน สิ่งที่ถือ ถือให้มั่นคง ถึงจุดหนึ่งต้องวางลง นี่คือศิลปะของการใช้ชีวิต
GM : การแสวงหาอำนาจ หรือแสวงหาเงิน หรือแสวงหาการยอมรับ เป็นสิ่งไม่คุ้มที่จะอุทิศชีวิตคุณคิดว่ามีอะไรบ้างไหมที่สมควรทุ่มเทอุทิศชีวิตให้
ประมวล : ไม่มีอะไรควรค่าแก่การอุทิศชีวิตให้ แม้กระทั่งพระผู้เป็นเจ้า ต้องเข้าใจนะครับว่าอุทิศให้พระเจ้าก็คือการไม่อุทิศให้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะพระเจ้าคือทุกสิ่งทุกอย่าง หรือเวลา
เราพูดเรื่องธรรมะ เราไปทำให้ธรรมะมันหดตัวเหลือแค่บางสิ่งเล็กๆ เท่านั้นเอง ทั้งที่ความจริงธรรมะเป็นปรากฏ-การณ์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มาก ธรรมะคือกฎธรรมชาติ ผมเข้าใจว่าในศาสนาซึ่งนับถือพระผู้เป็นเจ้า เขาก็ใช้คำว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นคำหลัก และคำอธิบายก็คล้ายกันคือมีโครงสร้างของสิ่งที่ทำให้เป็นเช่นนี้ และเราเคารพมัน คำว่าเคารพคือทำใจของเราให้เบิกบานยินดีที่จะยอมรับ จึงไม่ใช่เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เราควรจะจำเพาะ ภาษาที่พุทธศาสนาใช้คือปล่อยวาง ว่างเปล่า คำนี้อาจน่ากลัวในภาษาปัจจุบัน แต่ผมคิดว่ามันตรง คือสุดท้ายเราก็ไม่ได้ยึดอะไรเลยท่านพุทธทาสใช้ชีวิตศึกษาธรรมะมานาน ท่านบอกว่าสุดท้ายคือไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
GM : คือความว่าง ?
ประมวล : ใช่, นี่คือสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งเรียนรู้ ในวัยหนึ่งอาจทำเพื่อสิ่งหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ต้องอุทิศชีวิตให้ความว่าง คือไม่เพื่ออะไร
GM : ที่คุณบอกว่าสังคมอินเดียสอนให้ยึดมั่นและละวาง ละวางนั้นคืออย่างไร
ประมวล : สอนไม่ได้หมายถึงคำพูด แต่เป็นวิถีชีวิต คนอินเดียยามแก่ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นธรรมดาที่เขาปล่อยวาง คือหมายความว่าพอเราแก่ อำนาจที่เคยมีในตัวว่าเหนือลูกหลาน เหนืออนุชน เขาปล่อยวางไปได้เรื่อยๆ เท่าที่ผมสังเกตนะครับ พ่อมอบอำนาจให้ลูกชาย ปล่อยให้ขึ้นอยู่กับลูกว่าจะยังไงก็ได้ ผมมองตรงนี้เป็นแค่สัญลักษณ์ แต่ความหมายลึกๆ คือเราเห็นชีวิตที่มันจบลงเป็นสิ่งปกติธรรมดา เราไม่สะเทือนใจ ตกใจ กับปรากฏการณ์ที่มนุษย์คนหนึ่งเคยมีอำนาจ เคยครอบครองเป็นเจ้าของ วันหนึ่งชีวิตจบลงง่ายๆ ธรรมดาๆ ภาพของคนอินเดียที่พอตายแล้วญาตินำเอาร่างเขาไปเผาภายในหนึ่งวันเป็นภาพที่เราเห็นจนคุ้นชิน ปรากฏการณ์นี้ไม่มีคำพูดอธิบายใดๆ แต่มันส่อสะท้อนให้เราย้อนมองตัวเราเอง เวลาไปงานศพ เขาไม่มีเมรุที่ดี แต่ทำแค่เอาร่างวางบนไม้ฟืนสองสามท่อนแล้วจุดไฟเผา การเห็นจนคุ้นชินทำให้เราคิดได้ว่าเราก็จะเป็นเช่นนี้ เราไม่ตื่นตระหนกตกใจ เพราะชิน การเห็นจนชินคือคำสอนที่มีพลังสังคมบ้านเรามีหลักการที่จะสอน แต่ไม่สอนจริง ผมเข้าใจว่าพระท่านพูดเสมอว่าชีวิตก็เป็นเช่นนี้ แต่คำพูดของพระเป็นเหมือนสายลม ไม่มีใครสดับรับฟัง หรือแม้แต่พระที่พูดเช่นนี้ ไม่รู้ท่านจะทำแบบนี้หรือเปล่า เพราะดูเหมือนท่านเองก็ตื่นตระหนกตกใจเป็นที่สุด เมื่อถึงคราวที่จะต้องจบชีวิต ขณะที่ ท่านพุทธทาสถึงกับเขียนเป็นพินัยกรรมไว้ว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้ว ให้เอาไปเผาบนเชิงตะกอน เผาฟืนธรรมดา เปิดเผยให้คนอื่นเห็น นี่เป็นธรรมะ นี่เป็นคำสอนที่ประเสริฐและควรสื่อสารกันในสังคมในสังคมไทย เราพยายามสร้างกรอบของระบบคุณค่าบางอย่างซึ่งปิดกั้นเราไม่ให้ปล่อยวางได้โดยง่าย เราตกใจ จนกระทั่งที่โรงพยาบาลกลายเป็นบ้านหลังสุดท้ายของคนไทยจำนวนมาก เราให้คนรักของเราจบชีวิตที่โรงพยาบาลในลักษณะของการยื้อแย่งกัน ฉุดกระชาก กันระหว่างลูกหลานกับธรรมชาติ ฉุดกัน ดึงกันไปมา จนกระทั่งกลายเป็นความเหนื่อยล้า โรยแรง และท้ายที่สุดก็ฉุดไม่ไหว สิ่งเหล่านี้ถูกทำให้เป็นปกติ การเจ็บไข้ได้ป่วยยามชรากลายมาเป็นเหยื่ออันโอชะของชีวิตสมัยใหม่ที่มีธุรกิจสุขภาพเข้ามาจัดการ น่าเสียดายว่าเราต้องหาเงินมาใช้จ่ายมหาศาล ใครไม่ทำเป็นคนไม่รักญาติพี่น้อง
GM : ขณะที่เทคโนโลยีทำให้คนไทยเดินออกมาจากธรรมชาติ ทำไมสังคมอินเดียไม่มีปัญหา ทั้งที่เป็นประเทศไอที
ประมวล : มันมีโครงสร้างของสังคมชุดหนึ่งที่เป็นฐานความเชื่อเดิมๆ ที่มีพลัง ความจริงคนไทยก็มี แต่ปริมาณคนในฐานนี้ลดน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่ของอินเดียมีคนมาก เหมือนเรื่องการตาย แม้เขาเจริญก้าวหน้า แต่การตายยังอยู่ในรูปแบบเดิม เห็นการตายเป็นเรื่องปกติ เอาร่างไปเผา ขณะที่บ้านเราตอนนี้ธุรกิจเมรุเผาศพเป็นธุรกิจความตายที่ทันสมัยมาก มีพิธีกรรมยิ่งใหญ่ เราพัฒนาเทคโนโลยีและการจัดการเรื่องความตายและมีบริการเรื่องปกปิดความตายอย่างงดงาม เป็นเรื่องตลกมาก วัดจัดการให้ได้อย่างกับเป็นสินค้า ไปวัดแห่งหนึ่งไม่ได้หมายความว่าได้รับบริการเท่ากัน แต่อยู่ที่เม็ดเงิน ถ้าเราเลือกเมนูแพงสุดๆ เราได้ตั้งในศาลาใหญ่โต พระที่มาก็ได้รับการคัดสรรอย่างดี หุ่นเท่าๆ กัน ในวัดเดียวกันนี้ ถ้าซื้อราคาถูกที่สุด ศาลาก็เล็กลง พระที่มาก็เป็นหลวงตาแก่ๆ กับสามเณรเพิ่งบวชใหม่ ผมไม่แน่ใจว่านี่คืออะไรกันแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าความตาย เรายังพยายามเข้าไปจัดการ ซุกซ่อน แต่อินเดียไม่ซุกซ่อน ไม่ได้หมายความว่าอินเดียไม่เปลี่ยน แต่เรายังพอเห็นได้โดยง่าย ปกติ ธรรมดา นี่คือภาวะที่ผมเรียกว่าอินเดียยังใกล้ชิดธรรมชาติ คำว่าธรรมชาติไม่ใช่ป่าหรือแม่น้ำ เพราะไม่เช่นนั้น ถ้าเราบอกว่าธรรมชาติคือทะเล คนบนดอยก็ไม่เห็นธรรมชาติสิ หรือธรรมชาติคือภูเขา คนบนพื้นราบก็ไม่เห็นสิ ธรรมชาติคือสิ่งปกติ และเราไม่ตื่นตระหนกตกใจกลัวในภาวะปกตินั้น อินเดียมีสิ่งเหล่านี้ ผมอาศัยวิถีของเขาเพื่อเรียนรู้ตัวเอง
GM : หนังสือเรื่องอินเดีย จะเขียนอีกนานไหม
ประมวล : เขียนไปเรื่อยๆ ประเด็นที่ผมพบที่อินเดีย บางทีผมไม่เข้าใจความหมายมันทันที มีแค่สะเทือนใจผมมาก ซึ่งบางทีผมสงสัย เพราะมันปกติธรรมดา ผมสะเทือนใจทำไม พอสะเทือนใจ มันทำให้ผมคิดบางอย่าง และบางเรื่องก็เพิ่งคิดได้ตอนอยู่เมืองไทย เมื่อกลับมาแล้ว ที่โน่นหลายสิ่งผมไม่ได้เข้าใจทันที หากมันค่อยๆ คลี่คลาย ผมมีความสุขกับการนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาครุ่นคิดพิจารณาและมองปรากฏ-การณ์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตของผมเหมือนเราพูดเรื่องความตาย ตอนนี้ ผมหลับตามองเห็นภาพคนบนเชิงตะกอน และมีคน 4-5 คน ยืนล้อมรอบ เป็นลูกหลานคนตายใช้ไม้เขี่ยท่อนฟืน ยืนเหงื่อโทรม ผมยืนมองเขา ซึมซับเอาภาพเหล่านั้นมาคิด ผมไม่สามารถตีความได้ทุกอย่างแม้ทุกวันนี้เวลาผมนั่งคนเดียว
ผมยังย้อนระลึกนึกถึงความหมายเหล่านั้นมาใคร่ครวญในใจผม วันนั้นผมมีความรู้สึกชัดเจนว่าจางคลายลงในความยึดมั่นถือมั่นได้มาก แต่จางคลายอะไรจากอะไร เนื้อในยังไม่ได้ถูกมองอย่างถี่ถ้วนหรอก จนถึงวันนี้ผมยังเอาภาพเหล่านั้นมาพิจารณาว่าขณะที่ผมยืนอยู่ตรงซากศพเผาไหม้ กลิ่นเหม็น ความร้อนของเปลวไฟ เหงื่อที่ไหลออกมา แสบตา เข้าปากผมเค็มๆ ความรู้สึกเหล่านั้นทำให้ผมสัมผัสรสชาติชีวิต แต่ให้ผมบอกว่ารสชาติชีวิตนั้นคือรสชาติอย่างไร ผมยังไม่มีคำพูด ผมต้องคิดหาต่อไปคำถามว่าจะทำเสร็จเมื่อไร ผมตอบไม่ได้ ผมไม่ได้รีบ เวลาอยู่คนเดียว นั่งรถเมล์หรือนอนบนรถไฟ ผมเอาสมุดบันทึกมานอนอ่านด้วย ผมพกสมุดบันทึกตลอดเวลา
GM : ชีวิตถัดจากนี้คงอยู่กับการเขียน พูด เพื่อถ่ายทอดประสบ-การณ์ ?
ประมวล : ไม่เชิง ความหมายของการมีชีวิตที่ดี หลายครั้งเราไม่ได้เป็นคนเขียนเอง บางครั้งมันปรากฏให้เราเห็นตอนที่เราพบปะสัมพันธ์กับคน เวลาที่เราพูดถึงชีวิต มันไม่ใช่ชีวิตของเราคนเดียว เหมือนกับเราพูดถึงป่า ป่าไม่ได้หมายถึงต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง แม้ใหญ่โตแค่ไหน เราไม่เรียกว่าป่า แต่ที่เป็นป่าเพราะมีหลายต้นประกอบกัน เล็ก ใหญ่ อยู่ด้วยกัน ผมเริ่มที่จะเห็นความหมายของชีวิตที่ไม่เพียงเป็นชีวิตใดชีวิตหนึ่ง ผมเริ่มที่จะเห็นความหมายของชีวิตที่หลากหลาย การได้เห็นเด็กสักคนหนึ่ง อายุไม่กี่เดือน ผมสามารถเรียนรู้อย่างลึกซึ้งจากชีวิตนั้นได้ บอกไม่ถูกว่าเขาสอนอะไรผม แต่ผมรู้ได้เลยว่าเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญมาก ฉะนั้น ความหมายแบบที่ว่าผมกำลังเรียนรู้กับชีวิต ที่ไม่ใช่ชีวิตของผมคนเดียว แต่เป็นชีวิตคนอื่นด้วย เหมือนต้นไม้นานาพรรณที่มันงอกงามในป่า อาจจะเป็นไม้ยืนต้น อาจเป็นเถาวัลย์ เป็นหญ้าเล็กๆ บนผิวดิน ตอนนี้ที่ผมมีชีวิตอยู่ก็มีชีวิตอยู่ในความหมายคล้ายๆ แบบนั้น เอาสิ่งที่เรียนรู้มาแลกเปลี่ยน เวลาถ่ายทอด เราก็ได้เรียนรู้จากกันและกัน ขณะที่เขาได้เรียนรู้จากผม ผมก็ได้เรียนรู้จากเขา นี่เป็นกฎธรรมชาติ เราต่างเรียนรู้จากกันและกันจากหนังสือ ‘เดินสู่อิสรภาพ’ ผมไม่นึกฝันจริงๆ ว่าจะมีเส้นทางยาวไกลขนาดนี้ คำว่ายาวไกลไม่ใช่ยาวไกลเชิงกายภาพ แต่ยาวไกลในความหมายเชิงการเรียนรู้ แม้กระทั่งเมื่อบ่ายวันนี้ ขณะที่ผมยืนรออาจารย์สมปองซื้อของอยู่ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหาผมด้วยความยินดี และยื่นหนังสือให้เซ็น ผมไม่ได้อวดอ้างว่าผมดัง ผมอยากบอกว่ามิตรภาพเหล่านี้ทำให้ผมตระหนักรู้บางอย่าง มันไม่ใช่เพราะเราได้รับการยอมรับ คือแม้เราไม่ได้พูดคุยกัน ไม่รู้จักกัน แต่การมีชีวิตอยู่ของเรามันไปเกื้อกูลชีวิตคนอื่น ผมเข้าใจว่าการที่ป่ามีต้นไม้เติบโตอยู่มาก เพราะต้นไม้แต่ละต้นมันเกื้อกูลกัน ต้นเล็กๆ อาศัยต้นไม้ใหญ่เป็นร่มเงา ขณะเดียวกันต้นไม้ใหญ่ก็อาศัยต้นไม้เล็กเป็นเกราะกำบังที่ชุ่มเย็นหากแม้ผมเดินและไม่เขียนหนังสือ เลือกเสพสุขอยู่คนเดียว ไม่ได้หมาย ความว่าผมจะเสียหายอะไร แต่ผมคงไม่มีโอกาสสัมผัสความหมายของการมีชีวิตร่วมกัน และสุดท้ายผมอยากบอกว่าผมไม่ได้เป็นเจ้าของเรื่องคนเดียว แต่เรามีโอกาสเสพรับความรู้สึกจากเรื่องเหล่านั้นร่วมกันได้ หลายครั้งที่ผมพบคนแปลกหน้า แต่เราก็สื่อสารกันได้ด้วยมิตรไมตรี นี่คือความรู้สึกหลังการเดินทาง การเดินทางในใจมันยาวไกล และไม่จบลงที่เป้าหมายของผมคนเดียว แต่มันคือการเดินทางที่มีผู้อื่นจำนวนมากร่วมเดินทางไปด้วยแม้วันนี้ผมจะจบชีวิตลง แต่การเดินทางของคนอื่นๆ ก็ยังดำเนินอยู่ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งในป่าล้มลง ป่านั้นก็จะยังเป็นป่าต่อไป