นิติ ชัยชิตาทร
ทัศนะ ตัวตน ความสุขของป๋อมแป๋มป๋อมแป๋ม-นิติ ชัยชิตาทร พิธีกรรายการเทยเที่ยวไทย และรายการทอล์ก-กะ-เทย ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ย้อนความกันสักนิด ป๋อมแป๋มเติบโตและเริ่มต้นจากงานด้านครีเอทีฟรายการมิวสิกวิดีโอทางทีวี ทั้งๆ ที่เขาร่ำเรียนมาทางด้านภาษาบาลี มีวัยเด็กที่ชอบการดูทีวี ติดซีรีส์ และเติบโตในครอบครัวยอมปล่อยอิสระให้ทำอะไรด้วยตัวเอง “เลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ ไม่ค่อยห้าม ชอบให้ดิ้นรนเอาเอง สมัยเด็กๆ ไปเรียน พ่อแม่ก็ให้เรากลับบ้านเอง ตอนไปเมืองนอกครั้งแรกก็ไปคนเดียว ไปเรียนซัมเมอร์ตอนปิดเทอม เราจัดการเอาเองทุกอย่าง ตั้งแต่สมัคร เอกสาร วีซ่า ไปสนามบินก็ต้องไปเอง พ่อแม่สอนให้เราเป็นคนที่กินง่ายอยู่ง่าย ไม่ประคบประหงม” ความเป็นตัวของตัวเองเริ่มบ่มเพาะมา จนกระทั่งเข้าสู่วัยหนุ่ม เขาเลือกเรียนอักษรศาสตร์ส “ตอนเด็กๆ เราเรียนมาเพื่อทำข้อสอบเขียน 1 บรรทัดใช่ไหม แต่พอโตมา เราต้องเขียนตอบยาวๆ 1 เล่ม เราจะถูกหล่อหลอมให้มีความคิดอ่าน อ่านวรรณกรรมสักเล่มแล้วเราก็ต้องโต้ตอบกับมันได้ ว่าผู้เขียนพยายามบอกอะไร” สิ่งเหล่านี้ที่หล่อหลอมป๋อมแป๋มให้สามารถแสดงออกความเป็นตัวของตัวเอง ได้อย่างเฮฮา บ้าบอ สร้างสรรค์ และลุ่มลึกในเวลาเดียวกัน
Normalization
เมื่อถามถึงความเห็นของการเป็นกะเทย ป๋อมแป๋มตอบไวกลับมาทันทีว่าไม่มีปัญหา
“เราพูดเลยว่าไม่เคยมีปัญหา แต่เราเริ่มรู้สึกส่วนตัวว่า ยุคนี้คือยุคสมัยที่ทุกคน
จะต้องยอมรับการเป็นกะเทย ซึ่งก็จะมีคนใช้ความเป็นกะเทยเป็นอาวุธอยู่บ่อยครั้ง กลายเป็นว่า ถ้าใครที่ไม่ยอมรับกะเทยก็จะกลายเป็นคนไม่ดี”
ป๋อมแป๋มคิดไกลออกไปอีกขั้น มันไม่ใช่ยุคของการกดขี่เพศทางเลือก แต่มันคือการตีโต้ สะท้อนย้อนกลับมาของกระแสสังคม
“เรากำลังทำอะไรอยู่ อยากให้สังคมยอมรับเราในฐานะอะไร เราต้องให้เขายอมรับเราในฐานะที่เราเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ไม่ใช่ขายความจำเป็นให้ทุกคนยอมรับ ซึ่งไม่ใช่ หรืออย่างเช่น สายการบินประกาศรับสมัครผู้หญิงอยู่แล้ว แต่กะเทยจะไปสมัครทั้งที่มีกฎของเขาอยู่แล้ว หรืออีกตัวอย่างที่เราเห็นคลิปเด็กกะเทย เด็กตุ๊ด
เดินแบบ แล้วเขาเป็นใคร ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้โลกนี้เลย เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย นอกจากรู้ว่า เขาเป็นกะเทย คนอื่นต้องยอมรับในความสามารถเขาด้วยไหม”
กะเทยไม่ใช่ความสามารถ หากคือความปกติที่ดำรงอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
การต่อสู้และการแสดงความสามารถไม่ใช่เรื่องการอ้างอิงแต่เพียงความเป็นกะเทย
“เราต้องแสดงให้เห็นด้วยว่าเราก็มีความสามารถอย่างอื่น หรือเราสามารถทำอะไรได้ ดังนั้น ถ้าต้องการให้คนอื่นยอมรับในตัวเรา เราต้องแสดงให้รู้ว่าเรามีความสามารถอะไรอื่นๆ อีกนอกจากการเป็นกะเทย เราผ่านในยุคที่ต้องเรียกร้อง ต้องปิดถนน
แต่งตัวเป็นขนนกออกมาเรียกร้องสิทธิ์ ซึ่งยุคนี้ไม่ใช่แล้ว อยากให้มองว่าเราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว”
การเป็นเพศที่สามเป็นเรื่องปกติ และคนปกติทั่วไปต่างก็มีดีได้เลวได้ทั้งสิ้น การตัดสินใครสักคนไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ต่างต้องดูจากการ
กระทำของเขาเอง
“ฉันใดฉันนั้น การที่เราจะตัดสินพฤติกรรมกะเทยดีหรือไม่ดี เราก็ควรจะ Based On การกระทำของกะเทยคนนั้น ไม่ควรจะมีเรื่องของเพศ
มาเกี่ยวข้องในการถามอะไรที่โอเคหรือไม่โอเค
ต้องยอมรับเพศที่สามให้ได้ก่อนว่าเป็นเรื่องปกติ
เช่นเดียวกับกะเทย ถ้าคุณอยากให้คนอื่นยอมรับ
คุณปกติ คุณก็ต้องมีอะไรบางอย่างให้คนตัดสินว่าคุณดีหรือไม่ดี เพราะการแต่งตัวเป็นกะเทยไม่ใช่
แอ็คชั่นที่คุณจะมาบอกได้ว่าคุณเป็นคนดีหรือไม่ดี”
Attitude Adjustment
บุคลิกและความโดดเด่นของพิธีกรในทุกวันนี้
มีความต่างออกไป เพราะจากหน้าจอทีวี เรายังติดตามพิธีกรนักแสดงในบริบทอื่น ตั้งแต่ไลฟ์สไตล์ ความสนใจ ความคิดเห็น ไปจนถึงหัวจิตหัวใจของใครคนนั้น ป๋อมแป๋มอธิบายว่าสิ่งเหล่านี้
เกิดขึ้นในยุคหลังที่ความสำคัญของสคริปต์ในรายการมีความสำคัญน้อยลง
“เพราะคนไม่ใส่ใจ Wording เท่ากับ Content ซึ่งสำหรับเรา สคริปต์กับคอนเทนต์เป็นคนละเรื่อง อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ อย่างสมัยก่อนยุคพี่ไก่ สมพล เราจะเรียกพิธีกรว่า MC หรือ โฮสต์ เป็นการคุมที่ทำได้ด้วยคำ แต่ตอนหลังเกิดคำใหม่ขึ้นมา เพราะมันมีคำว่า TV Personality และบุคลิิกจะออกมา
ไม่ได้ถ้าเขาไม่ได้พูดในสิ่งที่เขาคิดหรือเขาเป็น
พี่วูดดี้ พี่โอปอลล์ นี่ชัดมาก เขามากับ Attitude ด้วย ฉะนั้นคนจะดูความเก่งของคนพวกนี้ คลิกไม่คลิก นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้า Attitude คลิกกัน ชื่นชอบไปเลย ดังนั้น การท่องสคริปต์เก่งจึงไม่จำเป็น
อีกต่อไปแล้ว”
เช่นเดียวกับรายการของป๋อมแป๋ม ที่ทุกวันนี้ไม่มีสคริปต์ในตอนเปิดรายการ ไม่มีคำพูดที่ถูก
เขียนขึ้น ซึ่งทำให้คนดูได้เห็นความสด ความสนุก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริง
“อาจเป็นความโชคดีที่เราอยู่ในยุคนี้ เรารู้สึกว่าเราไม่ใช่พิธีกรที่เก่ง แต่เราเป็นคนที่มี
Personality”
ผู้คนเสพ Attitude ของไอดอล นักแสดง หรือพิธีกรในโซเชียลเน็ตเวิร์กผ่านการกดไลค์ รีทวิต
หรือแชร์ ป๋อมแป๋มบอกว่าบางครั้งไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้เป็นคนดีหรือคนเก่งทั้งหมด หากผู้คนต่างก็ติดและชื่นชอบ Attitude บางอย่างที่ Relate กับตัวเองได้ทันที
“เรามาพร้อมกับรายการเทยเที่ยวไทย เพราะเราต้องการ Attitude ของพิธีกร เพื่อให้รายการ
มีความเป็นธรรมชาติมาก เทปแรกแอบมีสคริปต์นิดหนึ่งด้วย แต่ปรากฏว่าไม่รอด เพราะเราไม่ใช่
นักแสดงที่เก่ง พอพูดรู้เลยว่าตรงนี้เตรียมมา”
เมื่อธรรมชาติของพิธีกรในรายการได้ถูกจัดวางให้ลงตัว เรียกว่าปล่อยของกันอย่างเต็มที่
รายการเทยเที่ยวไทยก็กลายเป็นรายการฮิต และต่อยอดมาถึงตัวป๋อมแป๋มที่มีผู้นิยมชมชอบ
ติดตามมากมาย
Defragmentation
หลายคนคิดว่ารายการเทยเที่ยวไทยเป็นการคิดนอกกรอบ ป๋อมแป๋มลากเสียงยาว อธิบายให้ฟังว่าทั้งหมดที่ทำนั้นเป็นเรื่องเก่าที่เคยมีมาแล้วทั้งนั้น
“เราบอกเสมอว่า เทยเที่ยวไทย ไม่ได้คิดอะไรใหม่เลย พูดเลยว่ารายการนี้ไม่มีอะไรใหม่เลย
เราแค่หยิบสิ่งที่ทุกคนทำมาอยู่แล้วคือการเที่ยว เราแค่อยากให้ทุกคนตกใจกับการที่มัน Relate ได้
เอาเรื่องที่เก่ามากมาเล่นคือ เที่ยว ตลก กะเทย สามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เก่ามาก แต่มันไม่เคยถูกวางอยู่
ด้วยกันเท่านั้นเอง”
การจัดวางองค์ประกอบใหม่ที่ให้ผลสำเร็จของรายการป๋อมแป๋ม ฟังดูเหมือนง่าย แต่กว่าจะเป็นไปได้ราบรื่น ป๋อมแป๋มต้องทำงานหนักกว่าจะพ้นผ่านมาถึงจุดนี้ และพลังอันเหลือเฟือของป๋อมแป๋ม
ไม่เพียงแค่ร่างกาย หากยังมี Attitude ที่ดีในการทำงาน
“สำหรับเราไม่มีช่วงสำหรับท้อหรือแย่ มีแค่ช่วงเหนื่อยกับงานมากๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราทุกข์ร้อน เราทำรายการทุกวัน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ต้องทำ 7 วัน 7 รายการ ทั้งคิด เขียน ตัด กำกับ และเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ทุกคนที่สำเร็จต้องผ่านความลำบากมาก่อน ไม่มีใครสบายได้เลย เด็กสมัยนี้บ่นเหนื่อย งานหนัก บ่นไปเถอะ แต่ต้องห้ามหยุดทำ”
เป้าหมายในชีวิตของป๋อมแป๋ม เธอบอกว่าไม่ชอบคิดอะไรไปไกลมาก แต่มีสิ่งที่อยากทำคือ
การกลับไปเรียนต่อปริญญาโทที่เคย
เข้าเรียนแล้วหยุดไป
“อยากกลับไปเรียนอีก เพราะช่วยเรา
ในเรื่องงานนิเทศศาสตร์ได้เยอะ แล้วเราก็ชอบทำวิจัย กับอยากกลับไปหาประเด็นที่
น่าสนใจจริงๆ มีวิทยานิพนธ์ที่โอเค ไม่ได้ทำผ่านๆ ตอนนั้นจำได้ว่าทำเรื่องรหัสวัฒนธรรมของแฟนคลับ ต้องอ่านงานของ โรล็องด์
บาร์ตส์ ต้องอ่าน เดอ โซซูร์ นี่เป็นกะเทย Academic นะจ๊ะ” ป๋อมแป๋มยิ้มอวด
การงานเป็นส่วนหนึ่งและเนื้อเดียว
กับชีวิต ไม่อาจขาดได้ แม้ยามพักผ่อนหรืออนาคตข้างหน้า ป๋อมแป๋มยังคงเห็นตัวเองทำงานอยู่เสมอ
“ในหนึ่งสัปดาห์เราทุ่มเทชีวิตไปกับงานเกือบทั้งหมดแล้ว พยายามพักผ่อนแต่ก็ยังอดคิดถึงเรื่องงานไม่ได้ หรือถ้าต้องหยุด
ทำงานจริงๆ เราก็อาจจะเปลี่ยนไปเขียนหนังสือ นอนพักผ่อน ลงเรือสำราญ เราไม่เห็น
ตัวเองแบบนั้นเลย เอาจริงๆ นะ เราไม่เคยเห็นตัวเองเกษียณเลย”
ทัศนคติของป๋อมแป๋มในหลากเรื่อง
ผูกโยงร้อยเรียงเป็นเนื้อเดียว และให้ทิศทางชีวิตทั้งการงาน ตัวตน และความสุข
ในแบบของป๋อมแป๋มเอง