พินิจจากข้างใน แล้วลองใช้ชีวิตเยี่ยง ‘นักบวช’
ท่ามกลางสภาพสังคมในปัจจุบันที่รุมเร้าไปด้วยปัญหาสารพัน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ไม่นับรวมโรคระบาดที่มีข่าวประกาศเข้ามาไม่เว้นในแต่ละวัน ย่อมกระทบต่อสภาวะความมั่นคงทางจิตใจอยู่ไม่น้อย หลายคนรู้สึกสิ้นหวัง มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า ไม่เห็นแสงที่ส่องสว่างที่ปลายอุโมงค์ และอาจจะคิดไม่ตก ว่าจะอยู่อย่างไร ภายใต้ความสิ้นหวังเหล่านี้
บางคนเลือกจะใช้ชีวิตแบบ ‘ช่างหัวมัน’ อยู่ไปให้รอดพ้นในแต่ละวัน กอบโกยความสุขเข้าตัวให้มากที่สุดราวกับว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันพิพากษาโลก ที่ทุกอย่างจะจบสิ้นลงเมื่อใดก็ได้ บางคนตระหนกไปถึงอนาคตภายภาคหน้า คิดหาวิธีการที่จะวางแผนการใช้ชีวิตอย่างรัดกุมในทุกขั้นตอน จนกลายเป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้าเรื้อรังไปโดยไม่รู้ตัว บ้างก็ไม่รู้ ไม่ดู ไม่เห็น เดินผ่านโลกประหนึ่งเงาจางที่ไร้ซึ่งตัวตน หรือหนักขึ้นไปกว่านั้น คือบางคนมองหาหนทางที่จะจบชีวิตตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อมก็ตาม
เรารู้ เราเข้าใจ เพราะชีวิตนั้น ‘ไม่เคยง่าย’ เต็มไปด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ และบททดสอบที่มากมายในทุกย่างก้าวและจังหวะลมหายใจ จะมากหรือน้อยก็ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตด้วยกันแทบทั้งสิ้น
หนังสือ How-To ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้งที่สามารถปฏิบัติตามได้จริง และที่มีไว้เป็นแค่เครื่องปลอบประโลมในยามสิ้นหวัง แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญที่เราชวนคุณมาสนทนาในหน้าบทความชิ้นนี้
ไม่, เราไม่ได้จะมาชี้แนะฟันธงเด็ดขาด ว่าคุณควรใช้ชีวิตในแบบไหน เพราะแต่ละคน ต่างก็มีเรื่องราวและรายละเอียดปลีกย่อย มีความจำเป็น และภาระที่แตกต่างกัน แต่เราอยากจะชวนให้คุณมาทบทวน และสำรวจตัวตนจากภายในอย่างละเอียด เพื่อเลือกสิ่งที่ ‘เหมาะสม’ ที่สุด
มันจะดีกว่าหรือไม่ ถ้าหากเราจะลองใช้ชีวิต ‘เยี่ยงนักบวช’ กันดูสักครั้ง
เปล่าเลย, เราไม่ได้จะให้คุณปลงตก สละแล้วซึ่งทางโลก มุ่งเข้าหาทางธรรม ไม่ใส่ใจกับภาระรอบตัว ตรงกันข้าม เราต้องการให้คุณใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง และจดจ่ออยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้
วิถีแห่งนักบวชนิกายเซน สอนให้เราตระหนักรู้ในทุกจังหวะลมหายใจ รับรู้ และเข้าใจ ว่ากำลังทำสิ่งใด ใช้วัตรปฏิบัติเป็นเครื่องมือเพื่อให้มีสติเท่าทันกับทุกโมงยามที่ผ่านไป หรือแม้แต่แนวคิดแบบอิคิไก ที่มุ่งเน้นการใช้ชีวิตให้รักในทุกสิ่งที่ปฏิบัติ ใส่ใจในทุกขั้นตอน มุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และสามารถประคองชีวิตได้ตามอัตภาพ ก็เป็นสิ่งที่ประยุกต์มาจากหลักคิดทางศาสนาเยี่ยงนักบวชด้วยกันแทบทั้งสิ้น
แม้แต่ทางพระพุทธศาสนา ก็ยังมีอริยสัจ 4 ที่สอนให้เราพิจารณาเหตุปัจจัยของปัญหา หาทางแก้ไข และลงมือปฏิบัติ เพื่อให้ทุกสิ่งผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทีละเรื่อง ทีละสิ่ง ค่อยๆ คลายปมที่ติดค้างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน สั่งสอนให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
เราย้ำอีกครั้ง ว่าไม่ต้องการให้คุณเลิกคิดเลิกสนใจสิ่งรอบตัว ความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ยากจะมองข้าม เพราะมันเกี่ยวพันกับชีวิตของพวกเราทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เราอยากให้คุณได้ใช้เวลาในแต่ละวันอย่างมีคุณภาพ ค้นหาความสุขสงบจากสิ่งที่ทำ ตระหนักรู้ถึงปัญหาและส่งเสียงในจังหวะที่เหมาะสม รู้เท่าทันวิกฤติและรับมือมันอย่างเต็มสามารถ เติมเต็มด้วยความรู้และศาสตร์เพื่อการพัฒนาตนเอง นี่ต่างหาก คือวิถีทางแห่งนักบวชที่เราอยากจะเห็น และปรารถนาที่จะเป็น
ท้ายที่สุดนี้ ชีวิตไม่เคยง่าย และเราไม่ได้เรียกร้องให้คุณปลงตกหรือบอกปัดความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เพราะมันก็เป็นปัจจัยที่เราสามารถส่งเสียงร้องเรียกเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้) แต่ความท้าทายก็เปรียบประหนึ่งบททดสอบสำคัญ ทั้งทางกายภาพ และทางด้านจิตใจ การเสริมความแข็งแรงจากภายในด้วยหลักคิดที่เป็นแก่นศาสนาในวิถีนักบวชก็อาจจะเป็นทางออกที่ใช่ ที่เราจะได้เตรียมตัวและเตรียมใจ รับกับทุกสิ่งที่จะปะทะเข้ามาได้อย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหว ด้วยหัวใจที่เท่าทันกับทุกสิ่ง
นิ่งสงบ สยบความเคลื่อนไหว รู้เท่าทันทุกปัจจัย แก้ไขตามสถานการณ์ จึงจะได้ชื่อว่าเดินตามรอยอาจารย์แห่งนักบวชอย่างแท้จริง