fbpx

วัฒนธรรม ‘ปืน’: ยิงซื้อยิ่งหาง่าย ความเสียหายยิ่งหนักหน่วง

หนึ่งในประดิษฐกรรมที่เกิดขึ้นโดยมนุษยชาติชนิดหนึ่ง ที่อาจจะขึ้นชื่อว่าเป็นความก้าวหน้า และเป็นพิษมหันต์ที่ผลักให้การตายและการฆาตกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ คงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ‘ปืน’ คือสิ่งนั้น

จากท่อยัดลูกปรายโรยดินระเบิด มาสู่ขนาดพกพา ประสิทธิภาพสูง มุ่งหมายผลลัพธ์สูงสุด การถือครองอาวุธปืน ในความหมายหนึ่ง คือการประกาศสิทธิ์อันยิ่งใหญ่ อำนาจที่เหนือกว่า และพลานุภาพที่จะผลาญคนที่อยู่อีกฝั่งของไก

แต่เมื่อไกปืนลูกเหนี่ยว คันนกถูกสับ ผู้ยิงก็ไม่ได้เป็นนายของมันอีกต่อไป ปืนเป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นวิถีทาง เป็น ‘กระบวนการ’ เพื่อนำไปสู่ปลายเหตุ เพื่อใช้จบปัญหา ไม่ว่าจะเป็นระดับส่วนตัว หรือความขัดแย้งระดับประเทศในสมรภูมิ

และก็ดูเหมือนว่าอาวุธปืน ได้กลายมาเป็นปัญหาในเชิงสังคม มากขึ้นทุกขณะ เมื่อเจ้าของอาวุธปืน นำมันไปพิฆาตคนที่ไม่มีส่วนรู้เห็น ไม่เคยมีประเด็น หรือมีความขัดแย้งใดๆ กันมาก่อน ….

เมื่อปืนถูกใช้เพื่อระบายความเกลียดชัง….

เหตุการณ์กราดยิงอาวุธปืนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องถึงสามครั้ง สามช่วงเวลา ในสถานการณ์และผู้เสียชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงที่สหรัฐอเมริกา หนึ่งคือโรงเรียนประถม สองคือร้านนวด และสามคือสถานพยาบาล มีจุดร่วมที่ตรงกัน คือผู้ก่อเหตุ เป็นวัยรุ่นตอนต้น ถือครองอาวุธปืน มีประวัติความขัดแย้ง และมีปัญหาในด้านการเข้าสังคม

ในแง่หนึ่ง การบุกกราดยิงของผู้ก่อเหตุ มีความหมายเชิงซ้อนของความพยายามที่จะ ‘ตายตกไปตามกัน’ กล่าวคือ วางแผนให้การกราดยิง คือพฤติกรรมสุดท้าย เพื่อหวังผลในการระบายความเกลียดชัง ความอึดอัดคับข้อง และความเชื่อที่ฝังหัวในสภาวะจิตใจที่เปราะบาง และปรารถนาจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการวิสามัญตนเองในที่เกิดเหตุ

แน่นอนว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ความรู้สึกสิ้นหวังที่มีต่ออนาคต ต่อความเป็นไปของโลก ต่อที่ทางของตนเองของวัยรุ่น และความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในเชิงทัศนคติและคุณค่าที่ถูกให้ความสำคัญ ได้ผลักให้คนกลุ่มหนึ่งกลับกลายเป็นชายขอบ ผลสำรวจทางจิตวิทยาพบว่า ผู้ก่อเหตุ มีสัญญาณของความพยายามจะฆ่าตัวตาย และถูกปล่อยทิ้งไว้ จนบานปลาย กลายเป็นการวางแผนฆาตกรรมหมู่ ที่รัดกุม ชัดเจน และเล็งผลสูงสุด

ในด้านสภาพจิตใจ และสภาพสังคม ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณา แต่จะปฏิเสธได้ไหมว่า สิ่งที่ขับเคลื่อนให้พฤติกรรมการทำลายล้าง มันถูกผลักไปสู่บริบทแห่งความรุนแรงขั้นสูงสุด คืออุตสาหกรรม ‘อาวุธปืน’ ที่เอิกเกริกเปิดขาย ซื้อหากันได้สบายๆ ของสหรัฐฯ ?

สหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการถือครองอาวุธปืนต่อประชากร สูงติดเป็นลำดับต้นๆ โดยอยู่ที่ 88.8% นั่นหมายถึง หากลองหยิบคนมาหนึ่งร้อยคน จะมีอยู่เกือบ 89 คน ที่มีอาวุธปืนชนิดใดชนิดหนึ่งติดตัวอยู่กับบ้าน

และโทษของการถือครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย แม้จะขึ้นกับบัญญัติในแต่ละรัฐ แต่โดยเฉลี่ยแล้วที่ 5-10 ปี นับว่าเล็กน้อยมาก สำหรับคนที่จะเดินทางสายทรชน หากไม่นับไปยิงคนตาย เข้าคุกไปห้าปี เรื่องเท่านี้ มันไม่เป็นประเด็น

และที่สำคัญ สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศผู้ค้าอาวุธส่งออกลำดับต้นๆ อุตสาหกรรมอาวุธและยุทโธปกรณ์ทางการทหาร คือแหล่งทำรายได้มหาศาล และมีสมรภูมิในภูมิภาคต่างๆ เป็นสนามทดสอบและลานโชว์รูม อำนาจและอิทธิพลของบริษัทผู้ผลิตอาวุธ แทรกซึมเข้าไปในแวดวงการเมืองเกือบจะทุกระดับ

ดังนั้นจะแปลกใจอะไร เมื่อเหตุการณ์กราดยิงสามครั้ง สามเวลา เกิดขึ้นในจำนวนผู้เสียชีวิตนับสิบ ผู้บาดเจ็บนับร้อย แต่เรื่องทั้งหลายก็ถูกปล่อย แถมยอดขายอาวุธยังดูจะเพิ่มสูงขึ้นไปเสียอีก ในเมื่อผู้พิทักษ์สันติราษฏร์เชื่อมือไม่ได้ เหล่าประชาก็ต้องหยิบมีดไม้และปืนมาไว้ป้องกันตัวเองตามมีตามเกิด

แต่ก็อีกนั่นล่ะ ยิงอาวุธปืนถูกซื้อได้ง่าย ทั้งแบบถูกกฎหมาย และแบบปืนเถื่อน โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ กราดยิง ก็ยิ่งทวีคูณ นั่นเพราะปัญหาที่แท้จริง รากเหง้าที่ทำให้เรื่องราวมันเริ่มต้น ไม่ใช่ที่อาวุธปืน แต่เป็นการพัฒนาในเชิงสังคม การใส่ใจดูแลมาตรฐานการใช้ชีวิต การยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาวะทางจิตใจ จนถึงการให้ทัศนคติที่ดี ที่ต้องไม่จบด้วยการถือครองอาวุธเป็นปลายทาง

แต่มันคงจะเป็นฝันอันเหลือเชื่อ และยากเย็นกว่าที่จะไปถึง วัฒนธรรมอเมริกัน รวมถึงวัฒนธรรมโลก ปืนคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจ และอำนาจ คือสิ่งที่ผู้คนปรารถนา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่รู้สึกว่า ถูกผลักจนไม่เหลือทางถอย และไม่มีอำนาจอะไรแม้กระทั่งการกำหนดความเป็นไปในชีวิตตนเอง….

มันชวนให้นึกถึงเหตุการณ์กราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าที่นครราชสีมาเมื่อหลายปีก่อน ผู้ก่อเหตุเดินเข้ามา กราดยิงไม่เลือกหน้า และหวังผลแค่เพียงว่า จะจบชีวิตตนเอง และความตายของเขา จะได้ถูกสาวลึกไปถึงปัญหาที่เป็นรากเหง้าที่แท้จริง

หรือกรณีกราดยิงศูนย์เด็กเล็กที่หนองบัวลำภู ที่การเข้าถึงปืนโดยง่าย และระบบการตรวจสอบของราชการตำรวจที่หละหลวม ปล่อยให้คนที่อันตรายและมีประวัติยาเสพติด อยู่ประชิดอาวุธ จนออกไปก่อเหตุร้ายแรง สูญเสียอย่างไม่อาจประเมิน

เราไม่จำเป็นต้องสงสารฆาตกรหรอก … ความผิดมันได้บรรลุผล คนบริสุทธิ์สิ้นชีวิต มันเกินกว่าที่ใครจะให้ความเห็นใจได้

แต่การปล่อยผ่าน และละเลยไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เป็นต้นเหตุในอีกฝั่งของไกปืน มันก็เลวร้ายในระดับเดียวกับการฆ่ากันตาย เพราะมันแน่นิ่ง เงียบสงบ และรอวันที่จะระเบิด บนปลายกระบอกปืนของคนที่จะเข้ามาใหม่ ต่อๆ ไป…

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ