fbpx

‘Free Visa กับทิศทางภาคการท่องเที่ยวของไทย’

เมื่อพูดกันถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วนั้น ก็เป็นที่แน่นอนแล้วว่า เป็นเส้นเลือดใหญ่หัวใจหลักของรายได้ของประเทศไทยมาเป็นเวลาอย่างยาวนาน ฟ้าสวยน้ำใส บริการดีต่อใจ ประเทศไทยขึ้นชื่อติดอันดับเมืองน่าเที่ยวระดับโลกมาหลายต่อหลายปี เป็น Destiny และ Destination ที่ชาวต่างชาติอยากจะมากันให้ได้สักครั้งในชีวิต ทำให้ภาครัฐ ไม่ว่าจะรัฐบาลใด ต่างให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมนี้เป็นลำดับต้นๆ เสมอ

แต่ในขณะที่รายได้เข้าประเทศเป็นสิ่งที่ดี แต่จำนวนนักท่องเที่ยว บวกกับ ‘ประเภท’ ของนักท่องเที่ยวที่เข้ามา ภายใต้บริบทแวดล้อมของสังคมไทยในปัจจุบัน ก็ยังคงมีเรื่องที่น่ากังขา และกำลังจะกลายเป็น ‘ปัญหา’ ที่อาจจะต้องใช้ความร่วมมือร่วมใจ แก้ไขกันอย่างจริงจัง ก่อนที่จะสายเลท กู่ไม่กลับไปเสียก่อน

เรื่องของเรื่อง เริ่มต้นจากข่าวล่ามาไว เกี่ยวกับสถานการณ์ใน ‘อำเภอปาย’ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ได้แปรสภาพเป็นแหล่งพำนักของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมาเป็นเวลาหลายปีดิบดี แต่ในตอนนี้ ชุมชน ‘ชาวยิวอิสราเอล’ เริ่มจะก่อความเดือดร้อนรำคาญ ด้วยจำนวนที่พุ่งสูงกว่าสามหมื่นคน พร้อมทำท่าจะตั้งรกรากอยู่ยาว ถึงขึ้นจะสร้างโบสถ์ยิวเป็นการถาวร เดือดร้อนคนในพื้นที่จากพฤติกรรมที่ไม่สู้จะน่าอภิรมย์มากมายเท่าใดนัก

แน่นอนว่า การท่องเที่ยวและเม็ดเงินที่เข้ามาเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณภาพของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ตกเกรดตลาดล่างสร้างความรำคาญใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าถวิลหาเท่าใดนัก ซึ่งทั้งหมด เกิดขึ้นมาได้ จากนโยบาย ‘ฟรีวีซ่า’ ที่หน่วยงานภาครัฐให้การยกเว้นนานาชาติ สามารถเข้ามาได้เลย ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม หรือทำเอกสารอะไรให้ยุ่งยาก เรียกว่าพกมาแต่พาสปอร์ต ก็เข้ามาจอดที่ประเทศไทยได้เลย

อนึ่ง การเกิดขึ้นของนโยบายฟรีวีซ่านั้น เป็นที่เข้าใจกันได้ว่า เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว และกระตุ้นให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาสัมผัสเสน่ห์แบบไทยๆ ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมุ่งหวังจะสร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์อย่างที่เคยมีมา หลังจากความซบเซาในช่วงวิกฤติ COVID – 19 แพร่ระบาด จนทำให้หลายกิจการภาคการท่องเที่ยวและบริการ ถึงขั้นลดขนาด ไม่ก็ปิดตัวไปอย่างถาวร

พิจารณาจากรายได้ภาคการท่องเที่ยวปีล่าสุด 2567 นั้น เป็นจำนวนเงินที่ 1.67 ล้านล้านบาท และมีจำนวนชาวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยที่ 35.54 ล้านคน ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2568 ว่า จะต้องแตะตัวเลขจำนวนคนที่ 40 ล้านคนให้ได้

แต่จำนวนคน ก็อาจจะไม่สัมพันธ์กับคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่เข้ามา ที่มองประเทศไทยว่าเป็น ‘Free Country’ ในแง่ ‘ฟรีจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องสนใจฟ้าดิน’ จากสถานที่ท่องเที่ยวอโคจร ซุ้มกัญชา และการเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้คนในพื้นที่จนปวดหัวไปตามๆ กัน

ไม่นับรวมปัญหาเก่าเก็บคาราคาซังอย่างกลุ่มสีเทาจากชาติต่างๆ ที่อาศัยช่องว่างของฟรีวีซ่า เข้ามาลักลอบทำงาน เปิดกิจการ สร้างธุรกิจผิดกฎหมาย กลายเป็นเรื่องที่ทางการไทยต้องมาตามล้างตามเช็ดกันอยู่ในหน้าข่าวในขณะนี้

แล้วจะให้ยกเลิกฟรีวีซ่าไปเลยอย่างนั้นหรือ? อันที่จริงก็คงไม่ต้องทำถึงระดับ Desperate Measure ยาแรงหักด้ามพร้าด้วยเข่ากันไปเสียหมด หากแต่การบังคับใช้กฎหมายที่มี ควรมีความเข้มงวดจริงจัง ไม่แบ่งแยก และสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชนคนไทย รวมทั้งกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในเชิงอื่นๆ ที่หลากหลาย สร้างคุณภาพระดับสูงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับสูง ที่พร้อมจะใช้จ่ายเงินสำหรับสินค้าและบริการที่ดีเยี่ยม

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือประเทศอินโดนีเซีย ที่ทำการยกเว้นวีซ่าห้าปี สำหรับเหล่าคนทำงานสาย Digital Nomad ให้เข้ามาพักผ่อน ทำงาน และอยู่ได้ยาวๆ เป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งแคมเปญนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง

ท้ายที่สุดนี้ ภาคการท่องเที่ยวกับประเทศไทย ก็คงจะอยู่คู่กันไป เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเป็นมา แต่การสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับคนในประเทศ บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และยกระดับคุณภาพ จะช่วยให้การท่องเที่ยวไทย มีความหรูหรา Luxury และไปพร้อมกันได้ทั้งคุณภาพและปริมาณ

จำนวนนักท่องเที่ยว 40 ล้านที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งเป้าหมายไว้นั้น จะมีโฉมหน้าอย่างไร จะยกระดับไปสู่คุณภาพที่สูงขึ้นได้หรือไม่ อาจจะเป็นเรื่องที่ต้องคิดและทำกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ