เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าดาบสองคมที่หลายเมืองในสหรัฐสั่งแบนแล้ว
ซานฟรานซิสโก, ซอเมอร์วิลล์ ตามด้วยโอ๊คแลนด์ และอีกหลายเมืองในสหรัฐที่มีแนวโน้มว่าจะแบน ‘เทคโนโยลีการจดจำใบหน้า’ ที่ถูกนำมาใช้ในด้านกฎหมาย เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวและไม่แม่นยำของเทคโนโลยีดังกล่าวที่นำไปสู่การจับผิดตัวจนประชาชนตาดำๆ จนได้รับความเดือดร้อน
Reasons to Read
- เทคโนโลยีการจดจำใบหน้ามีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในโอ๊คแลนด์ปลอดภัยน้อยลง เนื่องจากการระบุตัวบุคคลที่ไม่ชัดเจนอาจนำไปสู่การใช้กำลังในทางที่ผิด
- งานวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ พบว่า ซอฟต์แวร์นั้นมีความแม่นยำต่ำในการจดจำใบหน้าผู้หญิงและคนผิวดำและมีความไม่แม่นยำอย่างยิ่งในการระบุตัวตนผู้หญิงผิวดำ
เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า (Facial Recognition Technology) ในประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก แต่เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในด้านกฎหมาย ทั้งการใช้ในด่านพรมแดนในสนามบิน ด่านตรวจทั่วไป ไปจนถึงพื้นที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่าน
เทคโนโลยีดังกล่าวถูกนำมาใช้กับระบบที่เรียกว่า ระบบจดจำใบหน้าอัตโนมัติ (Automated Facial Recognition systems – AFR) โดยจะนำภาพใบหน้าของของฝูงชนที่กล้องวงจรปิดจับได้มาเปรียบเทียบกับใบหน้าของอาชญากรตามหมายจับหรือใบหน้าของบุคคลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการตัวโดยอัตโนมัติ ถ้าพบว่ามีใบหน้าที่ตรงกันระบบก็จะแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้และเข้าจับกุม
สิ่งที่ทำให้คนจำนวนมากรู้สึกไม่สบายใจกับการใช้งานเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าก็คือเรื่องของความเป็นส่วนตัวและความไม่แม่นยำที่สามารถเกิดขึ้นได้ (และเคยเกิดขึ้นมาแล้ว) ทำให้ที่ผ่านมามีหลายเมืองในสหรัฐฯ ถึงขั้นออกกฎหมายแบนเทคโนโลยีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ผ่านกฎหมายการห้ามใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้
ตามด้วยเมืองซอเมอร์วิลล์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ที่เพิ่งมีคำสั่งแบนเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียเองก็กำลังพิจารณาร่างกฎหมายที่ห้ามไม่ให้มีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในกล้องตำรวจ หรือแม้แต่บริษัท Axon ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของกล้องตำรวจ ก็ได้ยืนยันว่าจะไม่นำเทคโนโลยีการจับคู่ใบหน้ามาใช้ในกล้องจนกว่าจะมีความแม่นยำมากขึ้น
และสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ก็ได้ออกคำสั่งห้ามใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ในบริเวณที่มักจะขาดความแม่นยำ หรืออาจเป็นการรุกล้ำและขาดมาตรฐาน ถือเป็นเมืองที่สามของสหรัฐฯ ที่ห้ามไม่ให้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
รีเบคก้า แคปแลน (Rebecca Kaplan) ประธานสภาเทศบาลเมืองโอ๊คแลนด์ เปิดเผยผ่านรายงานข้อเสนอแนะให้มีการแบนเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าในเมืองโอ๊คแลนด์ ว่า “เทคโนโลยีการจดจำใบหน้ามีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยในโอ๊คแลนด์ปลอดภัยน้อยลง เนื่องจากการระบุตัวบุคคลที่ไม่ชัดเจนอาจนำไปสู่การใช้กำลังในทางที่ผิด การจับขังผิดตัว และการกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อย”
รายงานดังกล่าว อ้างถึงข้อจำกัดของเทคโนโลยีและการขาดมาตรฐานในการประมวลผลและการนำมาใช้เป็นเครื่องมือกดขี่ข่มเหงชนกลุ่มน้อย โดยอ้างข้อมูลงานวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology – MIT) ที่พบว่า ซอฟต์แวร์นั้นมีความแม่นยำต่ำในการจดจำใบหน้าผู้หญิงและคนผิวดำ และมีความไม่แม่นยำอย่างยิ่งในการระบุตัวตนผู้หญิงผิวดำ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้จริง โดยเมื่อปีที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและการป้องกันพรมแดนสหรัฐอเมริกา (US Customs and Border Protection – CBP) สามารถจับกุมชายวัย 26 ปี จากเซาเปาลู ประเทศบราซิล ได้คาด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานนานาชาติวอชิงตันดัลเลส หลังจากเทคโนโลยีเปรียบเทียบใบหน้าตรวจพบว่า ใบหน้าของเขาไม่ตรงกับบุคคลในพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่จึงส่งตัวไปตรวจสอบเพิ่มเติมก่อนจะพบบัตรประชาชนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกซ่อนอยู่ในรองเท้าของเขา
อาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าคือดาบสองคมที่ต้องมีการใช้อย่างระมัดระวังและยังคงต้องพัฒนากันต่อไปเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ประชาชนตาดำๆ จะได้ไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยแบบนี้