ทำไมนักกีฬาถึงพร้อมใจกันไม่ชอบขี้หน้าโดนัลด์ ทรัมป์?!
เ รื่ อ ง: สั น ทั ด โพ ธิ ส า
“ทำไม (สงครามโลกครั้งที่ 3) ต้องมาเกิดขึ้นตอนที่ ลิเวอร์พูล กำลังจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วย…”
“ดูเหมือน ทรัมป์ จะไม่ให้โอกาส ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก มันน่าเศร้านะ”
เหล่าบรรดาข้อความที่แฟนบอลหงส์แดง-ลิเวอร์พูล พากันทวีตเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน อ่านดูเหมือนตลกร้าย เพราะฟอร์มการเล่นของทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ แจ่มแจ๋วเสียจนแทบจะมองเห็นถ้วยแชมป์อยู่ตรงหน้า ทว่าจากเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน ทำให้ผู้คนทั้งโลก (แน่นอนว่า หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ แฟนหงส์แดง) พากันเกรงกลัวว่าจะเกิดสงคราม จึงเป็นที่มาของทวีตแนวนอยด์ๆ ของเหล่าแฟนหงส์ทั้งหลาย
อย่างที่บอก อ่านแล้วเหมือนตลกร้าย แต่ที่ดูจะ ‘ตลกไม่ออก’ คงจะไม่ใช่ใครที่ไหน ก็โดนัลด์ ทรัมป์ไงจะใครล่ะ ดูเหมือนว่า เวลานี้ ผู้นำสหรัฐอเมริกาผู้มีทรงผมสลวยสวยเก๋ ‘สร้างศัตรู’ ไปทั่วทุกวงการ
ไม่เว้นแม้กระทั่งแวดวงกีฬา!
ถ้ายังจำกันได้ กลางปีก่อน ฟุตบอลหญิงทีมชาติสหรัฐอเมริกา ทำผลงานคว้าแชมป์โลกได้เป็นสมัยที่ 4 แต่สปอตไลท์กลับฉาดฉายไปที่ เมแกน ราปิโน กัปตันทีมชาติคนเก่ง กับท่านประธานาธิบดีของเธอ โดนัลด์ ทรัมป์ไงจะใครล่ะ เนื่องจากทั้งคู่ออกมาทวีตโต้ความกันดุเดือด
กมลเหตุของคู่ฟัดคู่นี้ เกิดจาก เมแกน ราปิโน ซึ่งเป็นเลสเบี้ยน ไม่พึงพอใจที่ทรัมป์มักแสดงออกทางวาจา ทำนองว่าแอนตี้พวกข้ามเพศ ยกตัวอย่างหนึ่ง, เคยมีนโยบายจะไม่ให้กลุ่มคนข้ามเพศ เข้ารับราชการในกองทัพสหรัฐฯ เธอจึงมองว่า ทรัมป์เป็นพวกกีดกันทางเพศ!
เป็นเหตุให้ต่อมา เมแกนออกมาประกาศชัดว่า ‘ถ้าได้แชมป์โลก จ ะไม่มีทางไปพบประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาว’ ด้านทรัมป์มีหรือจะยอม ออกมาทวีตโต้ตอบทันทีทำนองว่า ‘เมแกนควรจะชนะให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะพูดอะไร’ แปลเป็นไทยอีกที ประมาณว่า ‘อย่ามาปากดีกับฉัน!’
คู่เดือดคู่นี้ ดูจะไม่มีทีท่ายอมกันง่ายๆ ครั้งหนึ่ง เมแกนยังเคยให้สัมภาษณ์ในสื่อของอเมริกาด้วยว่า “ฉันเข้าใจถึงแรงดึงดูดทวีตของทรัมป์นะ แต่เขาใช้โซเชียลมีเดียสร้างฐานโจมตีผู้คน และทำร้ายผู้หญิงได้อย่างไร มัน (โคตะระ) ไร้สาระมาก!”
จากโจทก์แรก มาสู่โจทย์ต่อมา นามว่า โคลิน แคเปอร์นิค ควอเตอร์แบ๊กทีมซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์ ในศึกอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล นอกจากโคลินจะเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล เจ้าตัวก็ยังเป็นนักสิทธิมนุษยชนตัวยง และไม่พอใจกับมาตรการการเลือกปฏิบัติกับประชาชนผิวสี โดยเฉพาประเด็นเรื่องการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติต่อคนผิวสีในอเมริกา ซึ่งโคลินพยายามออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์อยู่ลอดเวลา
แต่ที่กลายมาแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญต่อสายตาชาวโลก เกิดขึ้นตอนที่เขาแสดงท่าทางนั่งคุกเข่าหนึ่งข้าง ระหว่างการร้องเพลงชาติสหรัฐฯ ก่อนที่เกมการแข่งขันจะเริ่ม พฤติกรรมเหล่านั้น มีจุดประสงค์ต่อต้านและสร้างความตระหนักเรื่องปัญหาการเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยผิวสีในสหรัฐจนของทรัมป์นั่นเอง
จากการกระทำนี้ ทำให้มีผู้เล่นโค้ชและเจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลอีกมากกว่า 100 คนพร้อมใจกันนั่งคุกเข้าข้างเดียวและคล้องแขนกันแทนการยืนตรงระหว่างเสียงเพลงชาติสหรัฐฯดังขึ้นก่อนเกมการแข่งขันเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านโดนัลด์ทรัมป์!
เรื่องนี้ทำเอาประธานาธิบดีถึงกับหัวร้อน ออกมากล่าวตำหนิโคลินที่ไม่ยอมยืนตรงเคารพธงชาติ และตำหนิทีมอเมริกันฟุตบอลในเอ็นเอฟแอล ว่าควรสั่งปลดนักกีฬาเหล่านั้น เท่านั้นยังไม่พอ ยังเรียกร้องให้ประชาชนอเมริกัน คว่ำบาตรการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการกระทำของนักกีฬาเหล่านั้น ทรัมป์ยังบอกอีกว่า มันเป็นการกระทำที่ขาดความเคารพในธงชาติอเมริกันและประเทศสหรัฐอเมริกา
ยัง…ประธานาธิบดีผมสลวยยังหัวร้อนไม่จบ! ทรัมป์ยังฟาดงวงฟาดงาไปยังแวดวงกีฬาบาสเก็ตบอล สั่งยกเลิกคำเชิญที่ส่งไปยัง สตีเฟ่น เคอร์รี่ย์ นักบาสเก็ตบอลชื่อดัง หนึ่งในสมาชิกของทีมบาสเก็ตบอลโกลเด้น สเตท วอร์ริเออร์ส แชมป์ลีกเอ็นบีเอปีล่าสุด เหตุเนื่องจากเคอร์รี่ย์เองก็ประกาศตัวเช่นกันว่า จะไม่เดินทางมาฉลองแชมป์ที่ทำเนียบขาว (ตามธรรมเนียมปฏิบัติ) เพื่อต่อต้านความเห็นของทรัมป์ที่มีต่อชนกลุ่มน้อยในอเมริกานั่นเอง
“ประชาชนคือคนควบคุมประเทศนี้ ผมจะไม่ปล่อยให้คนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะมีอำนาจแค่ไหน ใช้กีฬาเป็นเวทีในการแบ่งแยกพวกเรา กีฬาคือสิ่งมหัศจรรย์ ที่สามารถเล่นได้ทุกคน ไม่ว่าจะมีรูปร่าง ขนาด น้ำหนัก เชื้อชาติ ศาสนาใด หรืออะไรก็ตาม ผู้คนมองแค่ทีม นักกีฬา และสีของกีฬา มันนำทุกคนมารวมกัน” เลอบรอน เจมส์ อดีตยอดนักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยออกมากล่าวถึงประเด็นร้อนระอุเหล่านี้
ทั้งหมดพอจะสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า ทัศนคติ ตลอดจนมุมมองของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนนี้ ดูจะส่งผลลัพธ์เชิงลบ ไปสู่ผู้คนที่มี ‘ความต่าง’ จากเขา
อันว่า ‘กีฬา’ คือการสร้างความรู้รักสามัคคี หรือจะเลยเถิดไปสู่บริบทของการสร้างความเป็นชาตินิยม ทั้งโดยทางตรง หรือทางอ้อม ทว่า ‘กีฬา’ กำลังจะกลายเป็น ‘ยาพิษ’ ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็น ‘ยาวิเศษ’ เชิดชูภาพลักษณ์ผู้นำคนนี้เสียมากกว่า…
อ้างอิงข้อมูล: theundefeated.com, www.huffpost.com, www.posttoday.com, www.voathai.com/, www.kapook.com/