ดีทมาร์ ฮ็อปป์เศรษฐีที่แฟนบอลเกลียดค่อนประเทศ แต่จะกลายเป็นฮีโร่ของโลก

เรื่อง: สันทัด โพธิสา
“จะต้องมีการทดสอบครั้งแรกกับสัตว์ทดลองก่อน ถึงจะมีการนำมาใช้กับมนุษย์ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ ที่จะสามารถนำมาใช้ได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง อาจจะเป็นช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดในอีกระดับหนึ่ง ถ้าเราทำสำเร็จ ในการหายาต้านโคโรนาไวรัส ก็จะนำไปช่วยเหลือคนทั่วโลก ไม่ได้ใช้แค่เพียงภูมิภาคเดียวแน่นอน”
นี่เป็นประโยคจากปากคำของ ดีทมาร์ ฮ็อปป์ ที่ให้สัมภาษณ์เรื่องการพยายามทดลองวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19
ถามว่า ดีทมาร์ ฮ็อปป์ เป็นใคร?
กล่าวสำหรับโลกธุรกิจ เขาคือเจ้าของอาณาจักรซอฟท์แวร์รายใหญ่ของโลก นามว่า SAP รวมทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ CureVac บริษัทยาสัญชาติเยอรมัน อันเป็นที่มาของการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 อยู่ในขณะนี้
ในความตึงเครียดที่แพร่กระจายไปพอๆ กับไวรัสร้าย ข่าวนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเอามากๆ เพราะอย่างน้อยในความมืดมนในชะตากรรมของชาวโลก ยังปรากฎแสงสว่างรำไรผุดขึ้นมา และเราหวังว่า แสงสว่างเหล่านี้ จะขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ

ย้อนกลับมาที่ ดีทมาร์ ฮ็อปป์ กันอีกที นอกจากจะเป็นต้นเรื่องของการคิดค้นวัคซีนต้านไวรัส ดูเหมือนว่าในเวลานี้ ชื่อของเขาก็กำลังเป็นไวรัลไปทั่วเช่นกัน โดยเฉพาะในโลกกีฬาฟุตบอล หากใครเป็นแฟนฟุตบอลตัวยง คงพอจะทราบว่า นักธุรกิจใหญ่รายนี้ เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลในเยอรมันที่ชื่อ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เพิ่งจะมีข่าวคราวให้ได้พูดถึงกันในวงกว้าง
เรื่องมันเกิดขึ้นในแมทซ์ที่ ‘ฮอฟเฟ่นไฮม์’ เปิดบ้านพบกับทีมยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลีกา ‘บาเยิร์น มิวนิค’ เมื่อจู่ๆ กองเชียร์ของทีมเสือใต้-บาเยิร์นฯ พากันชูป้ายด่าดีทมาร์ ฮ็อปป์ ด้วยภาษาเยอรมันที่รุนแรงว่า HOPP BLEIBT EIN HURENSOHN หรือแปลเป็นภาษาไทยที่ไม่สวยหรูว่า ‘ฮอปป์ แกมันลูกโสเภณี’
เดือดขนาดนี้ เป็นเหตุให้กรรมการต้องหยุดเกมการแข่งขันลงชั่วคราว ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต้องลงไปสั่งให้เอาป้ายผ้านั้นลง แต่แฟนบอลก็ยังดึงดัน จนสุดท้ายนักเตะของทั้งสองทีมจึงตัดสินใจเคาะบอลกันไปมา เพื่อให้เวลาในสนามหมดไปในที่สุด
ใครที่ได้ชมจากการถ่ายทอดสดทางทีวี จะเห็นว่า สถานการณ์ตอนนั้นตึงเครียดเอามากๆ ประธานสโมสรบาเยิร์น มิวนิค รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย ต้องออกมาขอโทษในการ กระทำของแฟนบอลทีมตัวเองกับตัวดีทมาร์ ฮ็อปป์ รวมไปถึงเจ้าตัวเอง ก็มีท่าทีโกรธเคืองอยู่ไม่น้อย
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เคยมีแฟนบอลของสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และสโมสรโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ทั้งสองเป็นทีมในบุนเดสลีกา เยอรมันเช่นกัน ได้นำป้ายมาด่าทอ รวมทั้งมีพฤติกรรมคุกคามเจ้าของสโมสรฮอฟเฟ่นไฮม์รายนี้มาแล้วในอดีต

น่าสนใจว่า การที่จู่ๆ จะมีผู้คนออกมาด่าทอ หรือมีพฤติกรรมจงเกลียดจงชังใครสักคนได้มากขนาดนี้ ต้องมีเหตุที่มา…
เรื่องมันย้อนกลับไปตรงที่ว่า เมื่อในอดีต ดีทมาร์ คล็อปป์ เคยเป็นนักเตะเยาวชนของทีมฮอฟเฟ่นไฮม์นั้นเอง และด้วยความรักในสโมสรที่เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดตัวเอง เมื่อเขาทำธุรกิจจนร่ำรวยขึ้น จึงได้นำเงินมาซื้อหุ้นของสโมสร ซึ่งจากการเข้ามาบริหารสโมสรของฮ็อปป์ ทำให้ทีมที่หลุดไปอยู่ถึงดิวิชั่นที่ 9 ก้าวขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดของประเทศจนได้
เรื่องดูราบรื่นและสวยหรู ทว่าที่เยอรมันมีประเพณีของการเข้าถือหุ้นสโมสรที่เรียกว่า ‘กฎ 50+1’ อันหมายถึง การกำหนดให้แฟนบอลเป็นเจ้าของสโมสร ด้วยการถือหุ้นอย่างน้อย 51 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้เพื่อเป็นการรับประกันว่า สโมสรจะไม่อยู่ในเงื้อมมือของนายทุนคนไหน
แต่ก็มีข้อยกเว้นนิดหน่อย ตรงที่หากนายทุนคนไหนสนับสนุนสโมสรมายาวนานเกิน 20 ปี ก็จะได้รับสิทธิ์ ‘ถือหุ้น’ มากกว่าแฟนบอลได้ แต่ทั้งหมดที่ว่ามา เจ้าของสโมสรฮอฟเฟ่นไฮม์อย่างดีทมาร์ คล็อปป์ ไม่เข้าข่ายสักกรณี
คล็อปป์เข้ามาบริหารสโมสรไม่ถึง 20 ปี และที่สำคัญ เขาถือหุ้นสโมสรอยู่ถึง 96%!!
นั่นเอง จึงเป็นที่มาของความไม่พอใจของเหล่าแฟนบอลทั่วประเทศ ซึ่งชาวเยอรมันค่อนข้าง ‘ซีเรียส’ กับเรื่องเหล่านี้เอามากๆ พวกเขามองว่า การสร้างลีกฟุตบอลขึ้นมานั้น ต้องทำเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม มิใช่เพื่อเป็นการหาผลประโยชน์ส่วนบุคคล หรือเพื่อธุรกิจใดๆ
ถึงตรงนี้ อาจมีข้อสงสัยว่า แล้วเหตุไฉนถึงยอมให้มหาเศรษฐีอย่างดีทมาร์ ฮ็อปป์ เข้าถือครองหุ้นมากมายอย่างนั้น

เรื่องของเรื่อง เพราะฮ็อปป์ก็เป็นแฟนบอลของสโมสรคนหนึ่ง นอกจากนี้ เขายังแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการเข้ามาบริหารสโมสร ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสนามใหม่ สร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ให้ทัดเทียมกับสโมสรใหญ่ๆ และอย่างที่บอกไป เขาพาทีมค่อยๆ เลื่อนชั้นขึ้นมา
จากทีมประจำเมือง ที่มีประชากรรวมกันไม่เกิน 4,000 คน สามารถก้าวขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดอย่าง บุนเดสลีกา หนำซ้ำยังเคยพาทีมไปเล่นในรายการฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้วอีกด้วย
ถามว่า พอไหมกับความตั้งใจ? เมื่อเทียบกับกฎที่ตั้งขึ้นมา…
เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ เรื่องแบบนี้อยู่ที่ใครจะเลือกมองแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ตามข่าวที่ออกมา คาดว่าไม่เกินเดือนกันยายนนี้ วัคซีนที่คิดค้นจากบริษัทของฮ็อปป์ จะถูกผลิตออกมา เพื่อ ‘ช่วยเหลือโลก’
คงเป็นตลกร้ายน่าดูชม หากว่าวัคซีนดังกล่าว อาจถูกนำไปใช้ เพื่อช่วยเหลือ ‘คนที่เกลียดเขา’
“ถ้าหากเราประสบความสำเร็จในการผลิตวัคซีนต้านเชื้อโคโรนา มันจะไม่ใช่สร้างมาเพื่อประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่มันจะถูกนำไปใช้เพื่อช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก” คล็อปป์บอกกับ ‘ทุกคน’ อย่างนั้น
จากประเทศเยอรมันมาสู่สุภาษิตไทยๆ ที่บอกเอาไว้ว่า ‘คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ’ สำหรับมหาเศรษฐีคนนี้ เขาอาจไม่ได้สนใจจำนวนคนที่รัก หรือจำนวนคนที่ชิงชังด้วยซ้ำไป
แค่สิ่งที่ทำ มันมาจาก ‘ใจ’ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ…In this article:ทีมฟุตบอล, บุนเดสลีกา, ฟุตบอล, โคโรนา
