ดานัง กลิ่นอายฝรั่งเศสเคล้าเอเชีย
เรื่องโดย: ทีมงาน GM Live
ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพ แค่ชั่วโมงนิดๆ เวียดเจ็ตแอร์ ก็ร่อนลงยังสนามบินดานัง ท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 ของเวียดนาม
โชคดีทริปนี้ได้มากับอดีตนักบินหนุ่มรูปหล่อ ผู้มากประสบการณ์สะสมชั่วโมงบินมากว่า 8 พันชั่วโมง กัปตันทัวร์ หรือคุณมนต์สรรพ์ หาญวงศ์ ที่ผันตัวมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทนำเที่ยว The Prime Journey
ระหว่างการพูดคุยก็ได้รับเกร็ดความรู้การบินเล็กน้อยๆ เช่นความเร็วที่ยกตัวเครื่องบินให้ลอยขึ้นก็แค่ 2 ร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือในช่วงตอนนำเครื่องลง ถือเป็นความท้าทาย ที่ต้องใช้ทักษะ ความรู้ต่างๆ ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นักบินจะบังคับควบคุมเครื่องด้วยตัวเอง ต้องคำนวณความเร็ว และองศาการลงจอด ให้สมดุลลงตัวกัน ลงจอดได้อย่างปลอดภัย เพราะปัจจัยของแต่ละสนามบิน ทั้งความยาวรันเวย์ สภาพลม สภาพอากาศ มีความแตกต่าง เปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกันสักครั้ง การลงจอดจึงมีหลายแบบ ทั้งแบบนุ่มนวล ในสภาพอากาศปกติ และแบบกระแทกหรือเฟิร์ม ที่จะให้ความปลอดภัยมากกว่าในขณะที่ฝนตก รันเวย์ลื่น ช่วยลดการลื่นไถลเหินน้ำออกนอกรันเวย์ เป็นต้น
เป้าหมายการเดินทางเที่ยวเมืองดานังครั้งนี้ ค่อนข้างแตกต่างจากการจัดทริปทัวร์ทั่วไป เนื่องจากกัปตันทัวร์ เดินทางมาเยอะ เห็นข้อดีข้อเสียของเมืองต่างๆ มาแล้วทั่วโลก จึงมีแนวคิดในการจัดทริปที่ให้ความพรีเมี่ยม ประทับใจกับนักเดินทาง เติมเต็มสิ่งที่นักเดินทางมองหา นั่นคือเที่ยวครบ แต่ยังได้ความสะดวกเหนือระดับ อาหารอร่อย นอนหรูอยู่สบาย ไม่ใช่มาทรมานร่างกายจิ้มดูดทัวร์ มาเที่ยวแทนที่จะได้พักผ่อนเติมพลัง กลายเป็นเหนื่อยกว่าอยู่บ้าน
เวียดนามเป็นประเทศที่ผ่านการสู้รบมายาวนานมาก เพิ่งจะสงบเลิกรบกันแค่ 40 กว่าปีนี้เอง ย้อนเวลาไปนับพันปีต้องต่อสู้และเป็นเมืองขึ้นของจีน พอพ้นจากจีนก็ถูกฝรั่งเศสแผ่อำนาจเข้ามาตั้งแต่ปี 1858 จนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 กว่าจะหลุดพ้นจากฝรั่งเศสจริงๆ ต้องห้ำหั่นกันในสมรภูมิเดียนเบียนฟู ในปี 1954 จากนั้นต่อด้วยสงครามเวียดนามช่วงปี 1955 ถึง 1975
ช่วงปลอดสงครามแค่ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้ นับว่าประเทศเขาพัฒนาไปได้แบบก้าวกระโดด และเป็นที่จับตามองของนักลงทุน ฐานการผลิตต่างๆ มีการย้ายไปลงที่เวียดนามอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ และการก้าวไปสู่อนาคตแบบมั่นคง แข่งขันกับชาติอื่นในอาเซียนได้อย่างน่ากลัวทีเดียว
ดานังคือเมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลาง เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ที่ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 1 ช่วงเวลาห่างกันแค่ 4 ปีจากทริปที่แล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดตื่นตาตื่นใจมาก อาคารสนามบินใหม่สะอาดและทันสมัยดูดีมาก ดูดีกว่าสนามบินหลักของบางประเทศเสียอีก ในส่วนของ ตม. ตรวจหนังสือเดินทาง ทำเป็นโถงใหญ่เหมือนสิงคโปร์เป๊ะๆ เลย
ถนนหนทางมีการขยายเป็น 4 เลน เรียบมาก และที่สำคัญคือสะอาดเป็นระเบียบ ย่านธุรกิจ การค้า เขาเอาสายไฟลงใต้ดินเรียบร้อย มีต้นไม้ใหญ่ๆ เต็มเมืองไปหมด แทรกอยู่กับตึกสมัยใหม่ที่ผุดขึ้นมาเร็วมากๆ จากเดิมส่วนใหญ่เป็นตึกแถวเตี้ยๆ ไม่เกิน 5 ชั้น มาวันนี้มองไปที่เส้นขอบฟ้า นึกว่าอยู่เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง สิงคโปร์ ซะอีก
เก็บความสงสัยไว้ได้ไม่นาน ไกด์ประจำทริปก็เฉลยว่า ทั้งหมดเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารเมืองนี้ ที่ตั้งเป้าให้ดานัง เป็นสิงคโปร์แห่งที่ 2 ของเอเซีย ทำแบบไม่ต้องคิดมาก ให้ไปดูสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่น่าสนใจ แล้วก็เอามาทำให้สำเร็จ โดยนโยบายนี้เพิ่งจะเริ่มในปี 2005 ผ่านไปแค่ 17 ปี ก็เป็นรูปเป็นร่าง สิงคโปร์มีสิงโตพ่นน้ำ ดานังมีมังกร สิงคโปร์มีตึกทุเรียน ดานังก็มี Cong Vien APEC สิงคโปร์มีชิงช้าสวรรค์สิงคโปร์ฟลายเออร์ ดานังก็มีเหมือนกัน นั่งรถข้ามสะพานมังกรนี่มองเห็นชัดเจน
โดยมีนโยบายหลัก 5 ข้อ คือ ไม่มีคนจน ไม่มีขอทาน ไม่มียาเสพติด ไม่มีโจร และไม่มีคนที่ไม่รู้หนังสือ ไกด์ยืนยันว่าเขาทำได้จริง รัฐบาลพยายามส่งเสริมให้คนมีงานทำ มีรายได้ มีที่อยู่อาศัย โจรก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ตลอดทริปสั้นๆ รู้สึกได้ว่า ผู้คนมีมรรยาท บ้านเมืองร่มรื่น สะอาด ปลอดภัย ไม่เห็นตำรวจเลยสักคนเดียว
กลับมาที่ทริปของเรากันบ้างดีกว่า ทริป 4 วัน 3 คืน ด้วยงบแค่ 2 หมื่นต้นๆ เหมือนได้ไปเที่ยวยุโรป เที่ยวเมืองจีน เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวเวียดนาม ครบรวมทุกอย่าง ตั๋วเครื่องบิน อาหารเกือบทุกมื้อ อาหารเช้าหลากหลายมากตามมาตรฐานโรงแรม 5 ดาว กินดีอยู่ดี รถโค้ชส่วนตัวแอร์เย็นฉ่ำ เท่านั้นยังไม่พอถ้าจอดรถไกล มีรถกอล์ฟบริการรับส่งอีกต่างหาก หรือตอนขึ้นบานาฮิลล์ ก็มีบริการฟาสต์แทรค ขึ้นกระเช้าแบบวีไอพี ไม่ต้องรอต่อคิวเป็นชั่วโมงๆ
ดานังเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ยังเก็บความเป็นเมืองเก่าให้อยู่คู่กับความทันสมัย ความเป็นศูนย์กลางธุรกิจไว้ได้อย่างลงตัว ธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ หาดทรายสวยทอดยาวตลอดชายฝั่งขอบประเทศ สะอาดไม่มีขยะ ผู้คนยังใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ไปที่ไหนจะพบเจอผู้คนออกกำลังกาย เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รำไท้เก๊ก คุณภาพชีวิตดีมากๆ ใช้ชีวิตชิลล์ๆ ตอนเช้าตามร้านกาแฟผู้คนก็จะมานั่งจิบกาแฟเวียดนาม ตั้งเก้าอี้หันหน้าออกนอกร้าน เหมือนยุโรปไม่มีผิด จะต่างกันแค่ที่นี่ใช้เก้าอี้เตี้ยๆ แต่ก็ให้อารมณ์สบายไปอีกแบบ
ในขณะที่ฮอยอัน เมืองมรดกโลก ศูนย์กลางทางการค้าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 เหมือนเราหลุดเข้าไปในหมู่บ้านโบราณที่เจริญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเซีย แหล่งรวมทั้งจีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และอินเดีย ที่เข้ามาทำการค้าอย่างคึกคัก อาคารแนวชิโนโปรตุกีส ที่อนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ มีสะพานญี่ปุ่นเป็นตัวเชื่อม 2 ฝั่งคลองเข้าด้วยกัน เป็นจุดถ่ายรูปที่ฮิตมากๆ
แต่พอไปถึงบาน่าฮิลล์ มันกลายเป็นอีกโลกหนึ่งที่ตื่นตาตื่นใจมาก ด้านล่างก่อนขึ้นกระเช้าทำเป็นสไตล์จีน แต่ด้านบนเขา เกิดขึ้นในยุคที่ฝรั่งเศสปกครอง เขาต้องการหาสถานที่พักตากอากาศ ที่มีอากาศเย็นสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน จึงเกิดรีสอร์ตของชนชั้นสูงชาวฝรั่งเศสในเวียดนามถึง 3 แห่ง ภาคเหนืออยู่ที่ซาปา ภาคใต้อยู่ที่ดาลัด ส่วนภาคกลางก็อยู่ที่ดานัง บนยอดเขาสูงประมาณ 1,500 เมตร อุณหภูมิต่ำกว่าพื้นราบ 10 องศาเซลเซียส เย็นสบายมากๆ
กระเช้าเคเบิ้ลคาร์ที่ยาวที่สุดในโลกประมาณ 6 กิโลเมตร ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามแนวเขา วิวรอบตัวสวยมากๆ มองไปได้ไกลถึงอ่าวดานัง ทิวเขาที่ล้อมรอบตัว ป่าที่ยังสมบูรณ์ ฐานโครงสร้างเสาที่ตั้งสายสลิง กินพื้นที่ป่าน้อยมาก เสาแต่ละต้นใช้พื้นที่ไม่น่าเกิน 40 ตรม. ประมาณคอนโด 1 ห้องนอน พื้นที่รอบๆ เสา ต้นไม้ป่าก็ยังขึ้นแน่นเหมือนเดิม
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง สะพานมือ Golden Bridge สัญลักษณ์ของที่นี่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเน้นถ่ายรูป เดินผ่านแล้วก็ไปต่อ แต่ถ้ามีเวลายืนนิ่งๆ ดื่มด่ำกับวิวตรงนี้ ให้เวลากับมันสักหน่อย จะเหมือนได้ชาร์จแบตเติมพลังกันอีกครั้ง
ในส่วนอาคารหมู่บ้านฝรั่งเศส สถาปัตย์ย้อนไปยุคเรเนอซองส์ ตึกทุกหลังถูกเนรมิตขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เหมือนอยู่ในเมืองเทพนิยาย มีโบสถ์คริสต์เป็นอาคารหลักหลังแรกต้อนรับนักเดินทาง สิ่งปลูกสร้างในอดีตที่หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว คือถ้ำเก็บไวน์ Debay Vine Cellar สร้างขึ้นในช่วงปี 1923 ใช้แรงงานขุดทางเดินยาว 100 เมตร สูง 2.5 เมตร กว้าง 2 เมตร ให้ความชื้นที่เหมาะสม อุณหภูมิในถ้ำจะอยู่ระหว่าง 16-23 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี เก็บไวน์ได้คุณภาพไม่ต่างกับบ้านเกิด ใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน มีทั้งสวนดอกไม้ สวนสนุกในร่ม พระใหญ่ วัดจีนบนยอดเขาเป็นจุดชมวิวที่สวยมาก เห็นวิวครบทั้งหมด 360 องศา
ไฮไลต์เด่นๆ ที่แตกต่างจากทริปทั่วไปคือเน้นความพรีเมี่ยม ไปแต่ร้านอาหารดีๆ ทั้งอาหารท้องถิ่น อาหารทะเล อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น หลากหลายครบรส ที่เที่ยวที่พักอยู่ไม่ไกลกัน ทำให้มีเวลาอยู่ในแต่ละที่นานขึ้น
กัปตันทัวร์ พาไปสำรวจโรงแรมระดับ 5 ดาวหลายแห่งมาก เตรียมไว้รับกรุ๊ปทัวร์ที่ต้องการความแตกต่าง ต้องการพักผ่อนจริงๆ แค่เพิ่มเงินอีกนิดหน่อย แต่ได้ความเหนือระดับที่คุ้มค่า อาทิ โรงแรม Mikazuki บริหารโดยนักลงทุนชาวญี่ปุ่น ผ่านเข้าไปนึกว่ามาเที่ยวญี่ปุ่น มีภูเขาไฟฟูจิตั้งโดดเด่นตั้งแต่ทางเข้า บนชั้นล็อบบี้มีการจำลองศาลเจ้า เจดีย์ สวนหิน มีสวนน้ำในร่มขนาดใหญ่ ชั้นบนยังมีบ่อแช่ออนเซ็น ห้องพักโอ่โถง สุขภัณฑ์ออโต้เหมือนอยู่ญี่ปุ่นไม่มีผิด พร้อมอ่างอาบน้ำกลางแจ้งอยู่บริเวณระเบียง แช่ตัวไปชมวิวไป
โรงแรม Vinpearl บริหารงานโดย Vingroup กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเวียดนาม ทำตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ล่าสุดเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Vinfast ส่งไปตีตลาดในอเมริกา และยุโรป มีรถยนต์ของตัวเองแซงหน้าไทยไปเรียบร้อย ตัวโรงแรมหรูหราจัดเต็ม ทะเลหน้าโรงแรมคือดีงามมาก หาดส่วนตัวที่เป็นส่วนตัวจริง ไม่มีขายของ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ เข้ามารบกวนธรรมชาติ ใช้เวลาอยู่ที่นี่ได้ทั้งวัน
โรงแรม New World Hoiana ของกลุ่ม Rosewood จากฮ่องกง เป็นอีกโรงแรมที่น่าสนใจ ห้องพักแต่งได้เรียบหรู สิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ สนามกอล์ฟระดับแชมเปียนชิป สไตล์ลิงค์คอร์สไม่มีต้นไม้ ออกแบบโดยโรเบิร์ต เทรนต์ โจนส์ จูเนียร์ นักออกแบบชื่อก้องโลก หลุมที่เป็นซิกเนเจอร์คือหลุม 16 พาร์ 4 ตลอดแนวด้านขวาของหลุมนี้จะติดชายหาด เป็นแนวชายฝั่งทะเลทั้งหมด ลมทะเลที่พัดแรงท้าทายฝีมือนักกอล์ฟ ไปพร้อมกับความสวยงามโดดเด่นที่จะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมในการออกรอบที่สนามแห่งนี้
ถ้าอยากไปเที่ยวยุโรปแบบไม่ไกล สัมผัสเมืองมรดกโลกแบบใกล้ๆ ได้พักผ่อน และทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ไม่เร่งรีบเที่ยวแบบสบายๆ กัปตันทัวร์ยินดีให้คำปรึกษาที่ 02-196-2425-8 ถ้าเวลายังพอมีเหลือ กัปตันกระซิบว่า อาจจะพาไปชิมร้านลับ ร้านเก่าแก่ ที่ขึ้นชื่อของดานังแถมให้อีกด้วย
//ภาพสนามกอล์ฟโดย Hoiana Resort & Golf//