รักปิด & รักเปิด
เรื่อง: The Last Dinosaur
ช่วงนี้มีแต่เรื่องชวนปวดหัวตึ้บจริงๆ นะครับ เรากำลังพูดถึงเจ้า ‘โควิด-19’ ที่กำลังปั่นป่วนกันไปทั้งโลก นอกจากประชาชนจะรำพึงกับตัวเองว่า ‘ติดยังวะ?’ ก็ยังมีอีกประเด็นที่สำคัญ…
ตกลงจะ…ปิดประเทศ? หรือเปิดประเทศ?
เริ่มต้นที่ประเทศจีน หลังจากที่เกิดการระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก นายกรัฐมนตรี ‘สี จิ้นผิง’ แห่งประเทศจีน ก็สั่งฟันโช๊ะ! ‘ปิดเมืองอู่ฮั่น’ และปิดการเข้าออกของประชาชนในประเทศทันที! หลังจากทนหนักๆ หน่วงๆ กันอยู่เกือบ 2 เดือน ล่าสุดประเทศจีนฟื้นตัวแล้วครับ! จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง บางวันไม่มีรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อด้วยซ้ำ งานนี้ปฏิบัติการ ‘รัก(จะ)ปิดประเทศ’ ของนายกฯ สี จิ้นผิง ได้ผล!
อีกประเทศที่ทีแรกก็มียอดผู้ติดเชื้อมาแรงพอๆ กับจีนและญี่ปุ่น นั่นคือ สิงคโปร์ แต่นายกรัฐมนตรี ‘ลี เซียนลุง’ เลือกวิธีการ ‘รัก(จะ)เปิดประเทศ’ เอาไว้ แต่ไปมุ่งเน้นการสื่อสารกับประชาชนอย่างจริงจัง จริงใจ และสื่อสารให้บ่อย ทำให้ประชาชนสบายใจที่สุด ดังจะสังเกตเห็นว่า นายกฯ สิงคโปร์แต่งกายออกทีวีแบบสบายๆ และเน้นสีชมพู ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ แต่มองในแง่จิตวิทยา สีชมพูหวานๆ ช่วยผ่อนคลาย และ ‘ความรัก’ ชนะทุกสิ่ง! ตอนนี้สถานการณ์ของสิงคโปร์จึงถือว่า…เอาอยู่!
มาถึงดินแดนที่มีอาณาเขตใกล้ๆ จีน และถูกจับตาว่าน่าจะต้องมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงอย่างแน่นอน แต่ผิดคาด! ไต้หวันมียอดผู้ติดเชื้อไม่ถึงหนึ่งร้อยราย (อัพเดตเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563) ซึ่งผู้นำ ‘ไช่ อิงเหวิน’ ประธานาธิบดีหญิงแห่งไต้หวัน เลือกใช้วิธี ‘รัก(จะ)ปิด’ เหมือนกับประเทศจีน
แต่ยังมีอาวุธเด็ด คือนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Big Data นำฐานข้อมูลใหญ่มาใช้ติดตามคนที่เดินทางเข้าประเทศภายใน 14 วัน หรือออกแบบโปรแกรมแผนที่จุดจำหน่ายหน้ากากอนามัยแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสทุกวิถีทาง ทันสมัยไฮเทคขนาดนี้ งานนี้เลยโนสปรีดเดอร์ (Spreader)
อีกหนึ่งผู้นำที่เลือกแบบ ‘รัก(จะ)เปิด’ นั่นคือ ‘บอริส จอห์นสัน’ นายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษผู้มีทรงผมอินดี้ไม่เหมือนใคร โดยอังกฤษในเวลานี้ยังไม่มีคำสั่งปิดประเทศ เหมือนประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงในยุโรป อาทิ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เยอรมัน ฯลฯ แม้จะมียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึงหลักพันไปแล้ว แต่โรงเรียนก็ยังเปิดทำการปกติ และยังไม่มีมาตรการคุมเข้มในเรื่องกิจกรรมการรวมตัวกันของประชาชนอย่างชัดเจนนัก
โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบอริส จอห์นสัน และคณะทำงาน ต้องการสร้าง Herd Immunity หรือผลภูมิคุ้มกันทางอ้อม หรือพูดให้ง่ายกว่านั้น คือผู้ที่เป็นแล้วก็จะมีภูมิต้านทานขึ้น ไม่เป็นซ้ำอีก จนกว่าจะมีระดับภูมิคุ้มกันกลุ่มของประชาชนสูงถึงระดับหนึ่ง (เป็นแล้วไปจำนวนหนึ่ง) โรคจึงหยุดระบาด
อืม…เรื่องนี้กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ถึงการจะปล่อยให้คนติดเชื้อมากมายขนาดนั้นเลยหรือ?
ปิดท้ายด้วยประเทศที่เลือกแบบ ‘รัก(จะ)เปิด’ เช่นกัน ไม่ใช่ประเทศไหน ประเทศไทยนี่เอง ถึงตอนนี้ ยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน จนเป็นที่วิตกกังวลเรื่องการระบาดในวงกว้าง
แต่นายกลุงตู่ก็สื่อสารออกทีวีแทบทุกวันเช่นกัน เพื่อรายงานถึงสถานการณ์การระบาดที่ยังไง๊ก็ยังอยู่แค่ ‘เฟส 2’ พร้อมชูกำปั้นสองมือ ‘ประเทศไทยต้องชนะ!’
อ่ะ! ชนะก็ชนะครับท่าน! อย่างไรก็ขอเป็นกำลังใจให้ท่านนายกฯ และคณะทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ขอให้สู้อย่าถอย และสู้ไปด้วยกันครับ!
เอาเป็นว่า ช่วงนี้มีคำแนะนำให้ประชาชนอยู่กับบ้าน ฉะนั้น ก่อนนอนคืนนี้ เรามาสวดมนต์ร่วมกันครับ สวดไล่ไวรัส ขจัดสิ่งเลวร้าย และเพื่อความสบายใจ…สไตล์ไทยแล๊นด์!