สัญญา /ไม่ / เป็นสัญญา
เรื่อง : วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม
ก่อนอื่น ถ้าจะถามว่าสิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้ มุ่งตรงไปที่ใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ (ถ้ามี) บางทีคนคนนั้นอาจเป็นผู้เขียนเองนี่แหละ หรือไม่ ถ้าใครอ่านแล้วคิดว่ามันเหมือนเป็นเรื่องของตัวเอง บางทีอีกเหมือนกันที่เรื่องนั้นมันอาจเป็นเรื่องที่เราต่างก็เผชิญอยู่โดยทั่วหน้ากัน
ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ความคับข้องใจแห่งยุคสมัย’ เพราะคำมันใหญ่เหลือเกิน แต่หันไปทางไหน พวกเราก็ล้วนแต่มีริ้วรอยบาดแผลที่เกิดจากการ ‘สัญญาไม่เป็นสัญญา’ ฝากฝังเอาไว้ไม่ต่างกัน
เราเอ่ยปากทักถามสารทุกข์สุกดิบกันและกันผ่านช่องทางสื่อสารมากมาย เราคิดถึงกันและกัน เพราะไม่เคยเจอหน้าค่าตากันนานนับปี (หรือบางทีนานนับหลายๆ ปีจนน่าใจหาย) แล้วมักจะลงท้ายด้วย “ว่างเมื่อไหร่นัดกินข้าวกัน” ถ้าบ้ากาแฟหน่อยก็ “นัดกินกาแฟกัน” หรืออาจใช้สลับสับเปลี่ยนกันได้ตามอัธยาศัย
แต่วาระแห่งการพบกันนั้นไม่เคยมีมาถึง ไม่มีแม้แต่ความพยายามที่จะหาเวลาพบกัน เราจับมือกัน วาดหวังว่าจะสร้างสรรค์ผลงานอะไรสักอย่างด้วยกัน พูดคุย ประชุม ระดมสมอง เอาจริงเอาจังเหมือนกำลังจะสร้างรังรวงแห่งใหม่ให้เกิดขึ้นให้จงได้ แต่แล้วสายลมแห่งความไม่แน่นอน รวมทั้งความวุ่นวายในชีวิตสารพัด ก็พัดพารังรวงนั้นลอยหายไป และพลอยทำให้คำสัญญาที่เคยก้องดังในใจตัวเองและทุกคน ถูกพัดหายไปด้วย
เพื่อนบางคนเคยเล่าให้ฟังด้วยซ้ำไปว่า มีนักธุรกิจบางคนเดินมาจับมือเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะทำโครงการบางอย่างด้วยกัน ก่อไฟฝันให้ลุกโชนไม่ทันข้ามคืน อีกวันส่งคนมาบอกว่า ไม่ทำแล้ว ยังไม่สะดวกตอนนี้
ไม่รู้อะไรเจ็บกว่ากันระหว่าง เริ่มต้นแล้วแต่ไม่รอด กับ ไม่รอดตั้งแต่ตอนเริ่ม
หลายคนอาจจะบอกว่า การชวนกินข้าว กินกาแฟ มันไม่ได้เป็นการสัญญากับใครเป็นมั่น เป็นเหมาะนะ แค่พูดไปตามมารยาท เป็นคำชวนติดปาก ใครๆ ก็พูดกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า
จะต้องเจอกันจริงๆ ยกเว้นจะมีธุระถึงจะนัดเจอกันให้เป็นเรื่องเป็นราว อันนี้ก็ถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่ง ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะรับฟังได้หรือไม่ได้ก็แล้วกัน แต่ก็นั่นแหละ มันตั้งแต่เมื่อไหร่หรือที่เราสามารถพูดชวนใครต่อใครไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจคำพูดตัวเองก็ได้?
แต่มีอีกประเภท คือนัดแล้ว คุยกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว แต่พอถึงเวลาจะเจอกันจริงๆ อ้าว…เกิดไม่อยากไปขึ้นมากะทันหัน อาจจะด้วยธุระปะปังที่เกิดขึ้นแบบไม่เลือกเวลา หรือไม่มีอารมณ์อยากไปไหน ก็แล้วแต่เถอะ แต่สุดท้ายมันก็นำไปสู่การยกเลิกนัด (หรือเรียกอีกอย่างว่า เท ซึ่งเป็นคำที่ได้อารมณ์มาก คือเหมือนแบบไม่เอาแล้ว ทิ้งๆ ไปเถอะ) หรืออย่างดีที่สุดก็อาจไม่ยกเลิกด้วยความเกรงใจ แต่ก็ไปแบบฝืนๆ
เรามีเรื่องต้องทำมากเกินไป หรือ เราแยกแยะลำดับความสำคัญไม่เป็น หรือสุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า เรื่องบางเรื่อง หรือ คนบางคน ไม่ได้สำคัญมากพอที่เราจะทำตามสัญญา หรือ ต่อให้ลดระดับคำว่าสัญญา เป็นแค่การรับปากก็ตามที คือไม่ได้สำคัญมากจริงๆ เลยไม่จำเป็นต้องหาเวลาเจอนั่นเอง
ในทางกลับกัน เราก็มักจะพบเจอเพื่อนที่เราไม่เจอกันมานานด้วยความบังเอิญ โดยไม่ได้นัดหมาย หรือบ่อยครั้ง ไม่เคยนัดเจอกันได้สำเร็จที่เมืองไทย แต่ไปเดินสวนกันตามต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่คนไทยไปบ่อยๆ เพื่อจะทักทายกันด้วยความตื่นเต้นเสียงดังลั่น แล้วจบลงด้วยคำว่า “ว่างๆ นัดกินข้าวกัน” (ตามเคย)
จะแค่นัดกินข้าว นัดประชุมเพื่อทำงานด้วยกัน นัดไปเที่ยว หรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันก็น่าจะอยู่ที่ความสำคัญของเรื่องนั้นๆ ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ‘เมื่อเปรียบเทียบ’ กับเรื่องอื่นๆ และที่ตลกก็คือ บ่อยครั้งในกรณีที่ตกปากรับคำ หรือสัญญาเป็นมั่น เป็นเหมาะนั้น มันเป็นเรื่องสำคัญในเวลานั้นเพียงเรื่องเดียวจริงๆ ไม่มีตัวเปรียบเทียบใดๆ ทั้งสิ้น เราเลยตกลงรับปาก แต่พอเวลาผ่านไป เรื่องใหม่ๆ ผ่านเข้ามาให้เปรียบเทียบมากขึ้น เราก็พร้อมจะสลัดเรื่องที่สำคัญน้อยกว่าออกไป
นัดง่าย พอๆ กับเลิกนัด ว่าอย่างนั้นก็ได้ แน่นอน, อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้น ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นมาหมดแล้วทั้งคนสัญญาและคนไม่ทำตามสัญญา เป็นคนลงมือทำเรื่องบางเรื่อง และเป็นคนลงมือเทในอีกบางเรื่อง ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น จึงไม่ใช่คนที่จะมาเรียกร้องให้ใครทำตามที่พูด เพราะรู้ว่าตัวเองก็เคยไม่ทำ และยังไม่สามารถจะบอกได้ด้วยว่า จะแก้นิสัย การไม่ทำตามสัญญากับคนอื่น พอๆ กับการไม่ทำตามสัญญากับตัวเอง ในหลายๆ เรื่องได้หรือไม่ ถือโอกาสเปิดเปลือยกันตรงนี้เลย
ได้แค่บอกว่ากำลังอยู่ในช่วงทดลองระบบ (ฮา) เพราะเคยถูกคนผิดสัญญา เพราะเคยใช้แต่อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการเอ่ยปากเทคนอื่น เพราะเคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ เพราะเคยเลือกทำบางเรื่องและผัดผ่อนบางเรื่องไปบ่อยๆ เลยแค่รู้สึกว่า มันน่าจะต้องทดลองเปลี่ยนแปลงกันบ้าง พูดง่ายๆ ว่าก็คงต้องหาเวลาทำในสิ่งที่รับปากกับคนอื่นไว้ จัดเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ และสัญญากับตัวเองไว้ เอาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเมื่อไหร่ที่เริ่มมีความรู้สึกอยากเท ก็จะทำตรงกันข้าม คือลุกมาทำอย่างที่ต้องทำ มากกว่าลุกมาเทสิ่งที่ต้องทำ เพื่อไม่ทำให้ใครเสียความรู้สึกไปมากกว่านี้ แล้วค่อยๆ มองหาแง่ดีของการทำเรื่องนั้นแทน ซึ่งมันก็ต้องมีแง่ดีสักมุมละน่า
คงต้องบอกว่า จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนให้นานที่สุด แม้ว่ามันไม่ง่าย แต่ความสัมพันธ์มักจะจบไปได้ง่ายๆ เพราะไม่พยายามรักษาไว้ไม่ใช่หรือ?
แค่ต้องจำไว้ว่าในจักรวาลแห่งชีวิต มีคนหลายคน มีเรื่องหลายเรื่อง ที่ผ่านมา และผ่านไป ที่เคยสำคัญและค่อยๆ จางความสำคัญลงไป ถ้าระบายออกมาเป็นสี มันก็คงสวยดี เพราะมีทั้งเฉดเข้ม เฉดอ่อน เฉดจาง แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครอยากเป็นเฉดอ่อนจางของใครหรอก เราล้วนอยากเป็นเฉดเข้มของใครสักคนเสมอ เราไม่อยากให้ตัวเองจางหาย แต่เราก็ไปเจือจางความสำคัญของคนอื่นๆ จนกลายเป็นจืดจางห่างกันไป คบก็ได้ ไม่คบก็ไม่รู้สึกว่าหายไป
เราไม่ได้มีเวลามากพอที่จะทำทุกเรื่อง เจอทุกคนได้ นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ถ้ารับปาก หรือสัญญา หรือเลือกแล้วว่าจะคบหาสมาคมกันต่อไป ก็พยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการทำตามคำพูดเถอะ อย่างน้อย เราก็ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน ไม่มีคำว่าเสียดายที่ไม่ได้ทำ ไม่ทำร้ายความรู้สึกใครโดยไม่จำเป็น
ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถ้าอะไรเกิดขึ้นแบบสุดวิสัย เราก็ต้องยอมรับไปตามจังหวะชีวิต แต่การเป็นคนที่เอาแน่เอานอนกับใครไม่ได้เลย มันคลับคล้ายคลับคลาจะแปลว่า เราไม่หนักแน่น ไม่จริงจัง ไม่พยายาม
รอวันเป็นเฉดสีซีดจางของชีวิตคนอื่น และจากกันไปอย่างเงียบเชียบ ไร้ร่องรอย…เว้นแต่ว่า นั่นเป็นชีวิตที่เราเลือกแล้วจริงๆ และแน่ใจว่าจะไม่เสียใจ เพราะบางคน บางความสัมพันธ์ ที่เราปล่อยให้จางไปแล้ว ต่อให้ใช้สีเข้มมาระบายจนหมดโลก ก็ไม่ทำให้มันเห็นชัดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้อีกเลยจริงๆ