fbpx

เชิงชาย ชาลีรินทร์ : กับแนวทางการพัฒนาความเป็นอยู่ท้องถิ่นในฐานะคนรุ่นใหม่

ในสนามการเมืองไม่ว่าจะยุคหรือในสมัยใด ความเป็นไปของ ‘สนามภาคท้องถิ่น’ คือตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นั่นเพราะทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนกาเลือกในคูหา เขาคนนั้นจึงกลายเป็น ผู้แทน ที่จะต้องนำปัญหาไปสะท้อนยังเวทีระดับประเทศให้เกิดความตื่นตัว เกิดความใส่ใจ และเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

และจังหวัด ‘ชัยภูมิ’ ก็นับได้ว่าเป็นสนามใหญ่แห่งภาคอีสาน ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจังหวัดอื่นๆ เพราะเป็นจังหวัดที่มีจำนวนประชากร มีกำลังการผลิต และมีศักยภาพ จึงเป็นอีกหนึ่งเป็นพื้นที่่ซึ่งสามารถเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน และเขา  ‘เชิงชาย ชาลีรินทร์’ คนหนุ่มรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับจังหวัดชัยภูมิเป็นอย่างดี และมุ่งหวังที่จะมีส่วนร่วมพัฒนาบ้านเกิด นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินลงเล่นสนามการเมืองจนได้รับความไว้วางใจเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สังกัดพรรคพลังประชารัฐ 

การก้าวเข้าสู่ความเป็นนักการเมืองของเชิงชาย ไม่ใช่เพียงแค่ได้รับความไว้วางใจจากชาวชัยภูมิเท่านั้น แต่เพราะเขาเข้าใจถึงปัญหาในพื้นที่ได้ดี เพราะความเป็น ‘คนพื้นถิ่นชัยภูมิ’ ที่อยู่ เติบโตและเห็นปัญหาจากต้นทางอย่างรู้ลึก รู้จริง  เหนือสิ่งอื่นใด เขามาพร้อมกับความเป็น ‘คนหนุ่มรุ่นใหม่’ ที่มุ่งมั่น อยากเห็นชัยภูมิ รวมถึงจังหวัดในภูมิภาคอื่นๆ ก้าวไปสู่สิ่งที่ดีกว่า

ลูกชัยภูมิ ผู้ลงพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้น

การลงสมัครเป็นผู้แทนราษฏร ที่จะเข้าไปนั่งในสภา แน่นอนว่าไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็น ‘คนในพื้นที่’ แต่เพียงอย่างเดียว หากแต่คุณสมบัติของการเป็นคนในพื้นที่ จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือ และตอกย้ำในจุดยืนความตั้งใจที่จะเข้าไปพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนอย่างจริงจัง และ เชิงชาย ชาลีรินทร์ ก็เรียกได้ว่าเป็น ‘ลูกชัยภูมิ’ ที่ติดตามการทำงานด้านการเมืองและการพัฒนามาตั้งแต่เยาว์วัย

‘ในเบื้องต้นแรกๆ คุณพ่อเป็นสมาชิกสภาจังหวัด แล้วขยับขึ้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งส่วนตัว ได้เห็นการทำงานและกระบวนการมาตั้งแต่เด็กๆ และมีส่วนร่วมกับกลุ่มพัฒนา ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนรวมถึง แก้ไขความเดือดร้อนต่างๆ เรียกว่าตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ ก็ได้ร่วมกับกลุ่มนี้ ไปทำงานกับคุณพ่อมาโดยตลอด’

ด้วยการลงมือทำจริง เห็นปัญหาหน้างาน และทำความคุ้นเคยกับชาวบ้านประหนึ่งญาติมิตร ทำให้เชิงชายเห็นความเป็นไปได้ที่จะสร้างความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในจังหวัดให้ดียิ่งขึ้น อันนำไปสู่การตัดสินใจลงสนามการเมืองท้องถิ่น และสนามการเมืองระดับประเทศในเวลาต่อมา

‘ลงสมัครตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดตอนปี 2547 และดำรงตำแหน่งอยู่สองสมัย จากนั้น จึงตัดสินใจลงสนามใหญ่ตอนปี 2554 และได้รับเลือกเป็นตัวแทนของจังหวัดชัยภูมิ เขต 2 ครับ เพราะต้องการจะเป็นเสียงสะท้อนความต้องการและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในท้องถิ่น ในพื้นทีให้ได้ยินสู่ระดับประเทศ จนเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้นในภาพรวม อันจะเป็นผลดีต่อพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก’

ปัญหาเดียวกัน ความสำคัญไม่ต่างกัน

แม้จะเป็นตัวแทนเขต 2 ของจังหวัดชัยภูมิ แต่เชิงชาย ชาลีรินทร์ มีมุมมองที่เปิดกว้างเกี่ยวกับปัญหาที่พี่น้องประชาชนต้องประสบพบเจอ และไม่ได้จำกัดแต่เพียงจังหวัดชัยภูมิเท่านั้น เพราะเขาคิดว่าแม้จะเป็นพื้นที่อื่น แต่ก็อาจประสบปัญหาร่วมที่ไม่แตกต่างกัน

‘ในตอนดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัด ได้เห็นปัญหาจากในพื้นที่โดยตรง ทั้งในด้านการคมนาคมถนนหนทาง ทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งในด้านการเกษตร  ซึ่งผมมีแนวทางที่อยากจะแก้ปัญหานั้นๆ ซึ่งไม่เฉพาะแต่จังหวัดชัยภูมิเท่านั้นครับ’

นอกจากนั้น ปัญหาเรื่องที่ดินทับซ้อน และการรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวนโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และเป็นประเด็นที่เกิดในหลากหลายภูมิภาค

‘ในเรื่องนี้ เกิดขึ้น เพราะชาวบ้านไปตั้งถิ่นฐาน และทับซ้อนกับพื้นที่ในอุทยาน และกลายเป็นปัญหาเมื่อมีการประกาศเป็นพื้นที่หวงห้ามในภายหลัง นี่เป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วประเทศ อีกเรื่องหนึ่งคือปัญหาชลประทานเพื่อการเกษตร ซึ่งถ้านับเป็นตัวเลขแล้ว พบว่ามีการเข้าถึงแหล่งน้ำเพียงแค่ 22 เปอร์เซ็นต์ และมากระจุกรวมที่ภาคกลางที่มีระบบการจัดการที่ดี แต่ภูมิภาคอื่นๆ ยังคงติดขัด’

แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่เชิงชาย ชาลีรินทร์ ได้พบเจออย่างเป็นปกติ แต่มาในปีนี้ สถานการณ์บางอย่างกลับสร้างความซับซ้อนในแนวทางการแก้ปัญหา และการดำเนินนโยบายมากขึ้นไปอีกขั้น

มวลน้ำหลาก มากปัญหา

ปัจจุบัน การไหลบ่าของมวลน้ำที่มีจำนวนมาก จนเกิดปัญหาอุทกภัย ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ทวีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเชิงชาย ชาลีรินทร์ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และมองปัญหาเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไข และเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างดี

‘ต้องแบ่งต้นทางของปัญหานี้เป็นสองกรณีครับ อย่างแรก คือการถมที่กั้นน้ำของชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้แนวทางกั้นน้ำหดแคบลงการระบายของน้ำจึงไม่เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งในจุดนี้ได้นำเสนอการขุดลอกเชื่อมเส้นทางไหลเวียนทั้งหมด ซึ่งถ้าสามารถทำได้ก็จะช่วยให้เกิดการชะลอการไหลบ่าของธารน้ำ และการหมุนเวียนเป็นไปได้อย่างดี แต่ทั้งนี้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา คือ อาจจะเกิดการขยายไปยังส่วนของพื้นที่ซึ่งมีผู้ถือครองอยู่’

นอกเหนือจากนั้น การพัฒนาแนวทางกั้นน้ำที่ยังอาจไม่เชื่อมต่อถึงกัน ก็เป็นอีกจุดหนึ่งและเมื่อบวกรวมกับการมาถึงของพายุลูกต่างๆ  อย่างเช่น พายุเตี้ยนหมู่ ก็ทำให้เกิดปัญหาอุทกภัยขึ้น

‘อีกปัญหาหนึ่งที่ตามมาคือ พอทำลำกั้นน้ำ บริเวณปากน้ำชีแล้ว แต่อีกฝั่งไม่ได้ทำ การไหลเวียนก็เกิดปัญหา เพราะฝั่งที่ทำไม่เกิดการไหลบ่า แต่ฝั่งที่ไม่ได้ทำกลับได้รับผลกระทบเต็มๆ ก่อให้เกิดความเสียหาย เพราะกลายเป็นทางด่วนของน้ำไปแล้ว บวกกับการเข้ามาของพายุลูกต่าางๆ อย่างพายุเตี้ยนหมู่ ก็ยิ่งทำให้ปัญหาที่มีอยู่แล้ว หนักมากยิ่งขึ้น’

แต่อย่างน้อยที่สุด ในฐานะตัวแทนพี่น้องประชาชนจังหวัดชัยภูมิ และผู้ที่มองเห็นปัญหาในระดับท้องถิ่นกับภูมิภาค ก็ได้เริ่มลงมือ บรรเทาความเดือดร้อนในพื้นที่ ซึ่งเกิดผลดีอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในขณะนี้

คนหนุ่มรุ่นใหม่ และแนวทางการพัฒนาไปสู่อนาคต

ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ที่ไม่เพียงแต่สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังต้องคิดถึงแนวทางที่จะพัฒนา ต่อยอด ให้เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน เชิงชาย ชาลีรินทร์ ก็มีวิสัยทัศน์ และคิดอ่านถึงสิ่งที่ต้องการให้เกิดการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง

‘ ผมมีการคุยกับผู้เชี่ยวชาญของหลากหลายมหาวิทยาลัยในภาคส่วนต่างๆ เชิญชวนให้มาศึกษาในพื้นที่ เพื่อพิจารณาว่า จะดำเนินการปรับปรุง แก้ไข หรือเพิ่มจุดใดที่ส่งผลดียิ่งขึ้น ซึ่งในจุดนี้เป็นการลงลึกกันอย่างจริงจัง ไม่ได้เป็นเพียงแค่มองภาพกว้าง และส่งเสริมให้นักศึกษาที่มีองค์ความรู้ เพื่อนำไปพูดคุยกับคนในพื้นที่ เป็นการต่อ ยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งสองทาง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้องในพื้นที่ และทางสถาบันการศึกษาเองด้วยครับ’

อย่างไรก็ตาม เชิงชาย ก็ได้เน้นย้ำว่า ภาคส่วนราชการเองก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้แนวทางต่างๆ สามารถไดรับการนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ และบูรณาการอย่างยั่งยืน

‘เรื่องการสื่อสารแนวทางใหม่ๆ กับคนในพื้นที่ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ การที่หน่วยงานราชการภาคส่วนต่างๆ ควรที่จะต้องมีการลงพื้นที่ ใส่ใจปัญหาของพี่น้องประชาชนแบบรู้จริง และมีการทำงานในเชิงรุก รวมถึงให้การสนับสนุน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่บูรณาการครบถ้วน และยั่งยืน’

คงต้องจับตาดูกันว่าพื้นที่ของจังหวัดชัยภูมิ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ภายใต้วิสัยทัศน์ของ เชิงชาย         ชาลีรินทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร สังกัดพรรคพลังประชารัฐ ผู้เป็นคนในพื้นที่ และรู้จริงถึงปัญหา เพราะสำหรับเขาแล้ว ชัยภูมิไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘เขต’ การเลือกตั้ง หากแต่เป็น ‘บ้าน’ ที่เขาเติบโต และต้องการเห็นการพัฒนา และความเจริญอย่างงดงามสืบไป

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ