fbpx

A MAN CALLED HUGO

การต่อสู้ครั้งใหม่ของฮิวโก้บนโลกดนตรีในอเมริกากับอัลบั้ม ‘Old Tyme Religion’ เขาหายหน้าไป 5 ปี และกลับมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงทางความคิด แต่เข้มข้นขึ้นทางดนตรีเพลงของเขาเจ๋งเกินกว่าที่คุณจะมองข้าม แต่มันก็ต้องแลกมากับการไปอกหักที่อังกฤษแลกกับการคิดถึงครอบครัว เอาความรู้สึกเจ็บปวดในชีวิตมากลั่นเป็นเพลงให้คุณฟัง การเป็นร็อคสตาร์จนถึงวงอินดี้ การเมือง เฟซบุ๊ค และเรื่องของการเป็นพ่อ ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์ พร้อมแล้วที่จะนั่งคุยกับ GM

ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟ Gooseberry ที่ถนนอาร์ซีเอ ถนนที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นทางพระราม 9 กับเพชรบุรีที่มีชื่อเต็มว่า Royal City Avenue ในมือของผมก็เชื่อมต่อกับเอสเปรสโซเย็นแก้วหนึ่งผมเป็นคนเลือกสถานที่นี้เอง แต่เพราะความแรงของแดดหน้าหนาวนั้นทำให้มึนเส้นทางที่คุ้นเคยได้เหมือนกัน กว่าจะหาร้านกาแฟที่น่าจะติดอันดับร้านหายากที่น่านั่งที่สุดในโลกพบ ผมก็ใช้เวลาอย่างงมงายไป 20 นาที ไม่นับเวลาที่รอเหงื่อบนหลังเสื้อแห้งอีก 10 นาที โชคดีที่ผมเผื่อเวลาไว้เยอะและเหงื่อก็เริ่มแห้งแล้ว แต่ที่แย่กว่าอากาศก็คือใจร้อนรุ่มของผมซึ่งกำลังหาทางเชื่อมต่อทางจินตนาการถึงหญิงสาวแปลกหน้าในถนนแห่งนี้เมื่อราตรีมาเยือน แสงสีจากผับที่หรูที่สุดก็ไม่น่ามองเท่าเรียวขาคู่สวยที่ละลายได้แม้ชายใจแข็งที่สุดในโลก…ผมไม่ใกล้เคียงที่จะเป็นผู้ชายใจแข็งเลยด้วยซ้ำ

ปกติผมไม่ใช่คนเพ้อเจ้อแบบนี้หรอก แต่เพราะเสียงดนตรีในหูกำลังปลุกเร้าตัณหาที่ยังไม่ใช่เวลาของมัน มันเป็นเพลงที่ผมเอาลงไว้ในแท็บเล็ตยี่ห้อหนึ่ง เทคโนโลยีล่าสุดในตอนนี้ที่กำลังสมยอมแก่ความเก๋าของจังหวะร็อคแอนด์โรลร่วมสมัย ผมนั่งฟังเพลงนี้มาหลายวันแล้ว ‘Bread & Butter’ คือชื่อของเพลงที่กำลังบดเคี้ยวอารมณ์ราวกับว่าผมเป็นขนมปังของมัน เนื้อหาและท่วงทำนองของเพลงผลักดันให้ผมยอมรับความต้องการทางร่างกายอย่างตรงไปตรงมา เซ็กซี่ เย้ายวน แต่ก็ดูดิบเถื่อน เหมือนความรู้สึกที่ได้แอบจูบสาวสวยที่เพิ่งพบกันครั้งแรกในโรงหนัง เป็นเรื่องต้องห้ามที่ท้าทายความกระหายใคร่

Gonna run my fingers

Oh, down your spine

Just like a bad dream

Stay on my mind…

“ฮิวโก้มาก่อนเวลาเสมอค่ะ บางทีเขามาถึงแล้วแต่ไม่ได้บอก อาจจะเดินสูบบุหรี่อยู่แถวนี้” เสียงของใครสักคนปลุกผมก่อนจะถึงท่อนฮุคของเพลง ผมเอาหูฟังออกแล้วหันไปมอง เธอคือประชาสัมพันธ์ของค่ายโซนี่ มิวสิค ไทยแลนด์ ตัวแทนที่จัดจำหน่ายอัลบั้มชุดนี้ในประเทศไทย

ชายหนุ่มที่ผมกำลังรอคือเจ้าของเพลง ‘Bread & Butter’ ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม ‘Old Tyme Religion’ แต่ก่อนหน้านี้มีเพลงฮิตติดหูอย่าง ‘99 Problems’ ออกมาเขย่าโสตประสาทคนทั่วโลกรวมถึงแดนสยาม และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเสียงชื่นชมต่างๆ นานา ชมอย่างจริงใจบ้าง ชมตามกระแสบ้าง ชมเพราะบ้าชาตินิยมบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพลงสากลที่เขาทำนั้นมันเจ๋งจริงๆ

ผมเห็นเขาแล้ว กำลังนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่อยู่นอกร้าน เขาอยู่ในยูนิฟอร์มแนวเดียวกับที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในช่วงโปรโมตอัลบั้ม กางเกง

ยีนส์สีน้ำเงินเข้ม รองเท้าหนังแบบนักดนตรีคันทรี เสื้อยืดสกรีนชื่อวง The Ramones ตำนานพังค์ร็อคอเมริกัน แจ๊คเก็ตหนังสีน้ำตาลถอดวางอยู่ข้างตัว แว่นกันแดดที่สวมไว้บดบังสายตาอิดโรยแต่ก็คมกริบ ขาดไปไม่ได้กับหมวกทรง Trilby ที่ทำให้ใบหน้าเขาเหมือนผู้ชายจากอดีตกาลซึ่งชีวิตมีแต่การเดินทางเท่านั้น

“ผมจำคุณได้” ฮิวโก้บอกด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แต่ไม่หยาบกระด้าง แปลได้ว่าเขาพูดจริงไม่ได้หวังเอาใจ ผมนึกย้อนไปยังช่วงเวลาที่เคยได้เจอเขา มันก็เป็นอะไรที่วุ่นวายและอบอ้าวแบบนี้ล่ะ แต่ก็มีการพูดคุย การสัมภาษณ์ และผมก็ต้องมานั่งเขียนอะไรเก๋ๆ ให้เขาดูดีขึ้นแม้ว่าเขาจะดูดีอยู่แล้วก็ตาม ระหว่างที่ผมกำลังรำลึกวันวานยังหวานอยู่ให้ฟัง เขายิ้มและพยักหน้าเป็นการตอบรับอย่างใจเย็นและนั่นก็ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาก “Tyme เป็นคำสะกดในภาษาเก่าครับ เวลาถ้าใครจะอยากสื่อถึงเวลาในความหมายที่เก่าแก่ก็มักจะใช้คำว่า Tyme แบบนี้มากกว่า เป็นคำที่น่าจะใช้กันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5” ฮิวโก้เผยถึงสาเหตุที่ใช้คำว่า Tyme แทน Time ในชื่ออัลบั้ม ‘Old Tyme Religion’ ต้องยอมรับว่ามันเป็นชื่อที่ขลังและดูแก่เกินกว่าร็อคเกอร์วัยแค่นี้จะเอามาใช้เป็นชื่ออัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของตัวเอง แต่ถ้าคุณได้ฟังทุกเพลงในแผ่นซีดีนี้แล้วคุณจะไม่ข้องใจอะไรเลย เพราะว่ามันสมควรที่จะเป็นชื่อนี้จริงๆ เล็ก-จุลจักร จักรพงษ์ หรือ Hugo Chula Alexander หนุ่มลูกครึ่งเชื้อสายไทย-อังกฤษ-รัสเซีย พ่อลูกอ่อนที่กำลังเข้าสู่วัย 30 ปี เป็นทายาทของหม่อมราชวงศ์หญิงนริศรา จักรพงษ์ เป็นหลานตาของพระเจ้า

วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5ก่อนหน้านี้เขาเป็นมาหมดแล้วทุกอย่างที่วงการบันเทิงไทยจะมอบให้ นายแบบโฆษณา, พระเอกละครหลังข่าว, นักร้องร็อคเพื่อชีวิตกับวง ‘สิบล้อ’,

นักถูกสัมภาษณ์ อันนี้ไม่ได้มั่วนะ เพราะเหตุที่เขาเคยหล่นประโยคอมตะไว้ว่า “วัยรุ่นเดี๋ยวนี้เอากันเหมือนกระต่าย” ในนิตยสารสารคดีเมื่อสักสิบปีก่อนได้ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่สื่อมวลชนในสาขาต่างๆ ได้รู้จักฮิวโก้ในอีกแบบหนึ่ง และเป็นแบบที่ทุกคนจดจำเขามาจนถึงวันนี้ ถ้าไม่นับข่าวเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับการแต่งงานกับสาวสวยในวงการบันเทิงอย่าง ฮาน่า-ทัศนาวลัยองอาจอิทธิชัย และเพิ่งจะมีลูกชายวัยแบเบาะ ฮาร์เปอร์-ทัศนจักร จักรพงษ์ นอกนั้นฮิวโก้ก็ยังดูเป็นหนุ่มหน้าตาดีมีเชื้อเจ้าและคาแร็กเตอร์ขวางโลกคนเดิม แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเขาคงไม่สนใจแล้วละว่าวัยรุ่นไทยจะยังเอากันเหมือนกระต่ายอยู่ไหม เพราะเขามีเรื่องที่สำคัญมากกว่าสำหรับตัวเขาเองกับการออกไปพิชิตโลกใบนี้ด้วยร็อคแอนด์โรล

“ขอกาแฟแบบเดียวกับคุณสักแก้วนะครับ ผมคอแห้งมาก” ชายหนุ่มขอในสิ่งเดียวกับที่อยู่ในมือผม น่าปลื้มใจแทนรสนิยมตัวเองจริงๆ ยังไม่ทันที่ผมจะขยับตัว ฝ่ายดูแลศิลปินของเขาก็ลุกออกไปสั่งเครื่องดื่มมาให้ทันที ตอนนี้เหลือแค่ผมกับเขาสองต่อสองแล้ว อดสงสัยไม่ได้ว่า

ในอังกฤษและอเมริกา ความเป็นราชนิกูลได้ทำให้ชีวิตของเขาสะดวกสบายขึ้นไหม ฮิวโก้หัวเราะเป็นครั้งแรก “มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ ไม่เหมือนที่เมืองไทยแน่นอนอยู่แล้ว ที่โน่นพอมีใครรู้เขาก็เฉยๆ นะ มีแค่บางคนที่มาถามว่ายูมีเชื้อพระวงศ์จริงเหรอ แล้วก็ขำๆ กันไป…” เขาอัดบุหรี่ไปอีกอึดใจ ก่อนจะระบายควันชุดใหญ่ออกมา แววตาเหมือนคิดอะไรออก “เอาเข้าจริงแล้ว เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนที่โน่นมองว่าผมเป็นคนชาติไหน บางทีผมยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไม่มีสัญชาติ เหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาว เป็นตัวประหลาดในสายตาคนอื่น เรามีสามเชื้อชาติอยู่ในตัว ไปอยู่อังกฤษคนก็มองว่าเรามาจากเอเชีย หรือในเมืองไทยหน้าตาผมก็เป็นฝรั่ง แต่ในอเมริกาก็ยังดีกว่าที่อื่นสักหน่อยเพราะมันหลากเชื้อชาติมาก ถึงคุณจะเป็นตัวอะไร มันก็ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากนัก…

“แต่เล็กก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี” บางครั้งที่เขาเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นจริงๆ ว่า ‘เล็ก’ แต่ผมก็อดเรียกเขาว่าฮิวโก้ไม่ได้ ผมชอบชื่อนี้ เพราะมันทำให้เขาดูไม่เหมือนใคร บางทีเสน่ห์ของฮิวโก้อาจจะมาจากการที่เขาเป็นคนหลายเชื้อชาติแบบนี้นั่นแหละเรื่องที่ฮิวโก้เล่าให้ฟังกับสื่อมวลชนต่างๆ ไม่ต่ำกว่าสิบครั้งก็คือจุดเริ่มต้นที่เขาได้รับการติดต่อจาก Amanda Ghost นักแต่งเพลงสาวลูกครึ่งอินเดียจากอังกฤษที่กำลังรุ่งสุดๆ จากการแต่งเพลงฮิตให้กับศิลปินระดับโลกอย่าง James Blunt และ Beyonce Knowles เธอมาปิ๊งเขาในปี 2548เมื่อครั้งที่เขายังสนุกสนานอยู่กับการทำวงสิบล้อในเพลง ‘26/12/04’ ซึ่งอยู่ในอัลบั้ม ‘ซับน้ำตาอันดามัน’ ในการรำลึกถึงเหตุการณ์คลื่นสึนามิถล่ม

ภาคใต้ เพลงนั้นถ้าฮิวโก้ไม่ได้แต่งเป็นภาษาอังกฤษ นั่นก็คงไม่ได้ทำให้เธอเห็นแววการเป็นนักแต่งเพลงของเขา และการชักชวนไปแต่งเพลงและก้าวไปสู่การออกอัลบั้มเดี่ยวที่ประเทศอังกฤษแบบจริงจังก็คงไม่เกิดขึ้น “มันเป็นการตัดสินใจที่ยาก เพราะเราต้องบอกให้แฟนเราเข้าใจว่าเราต้องไปทำงานที่เมืองนอก เราต้องบอกเพื่อนๆ ในวงสิบล้อว่าเราต้องไปนะ มันก็น่าอายเหมือนกันที่เราต้องไปหาโอกาสที่ดีกว่าและต้องทิ้งวงที่สร้างกันมาไว้ข้างหลัง ซึ่งการไปอังกฤษมันอาจจะล้มเหลวเลยก็ได้ มันเป็นการพิสูจน์ในสิ่งที่เราตัดสินใจเหมือนกันว่าเราจะตัดสินใจถูกต้องไหม”

จากเส้นสายในวงการดนตรีที่อังกฤษของอะแมนด้า โกสต์ เขาจึงได้พบกับโปรดิวเซอร์จากค่ายเพลงใหญ่แห่งหนึ่งในอังกฤษ เกิดการเซ็นสัญญาได้เงินทุนในการทำอัลบั้มก้อนโต ฮิวโก้ทุ่มเทกับอัลบั้มนี้มากแม้จะต้องแต่งเพลงให้เข้าถึงคนฟังในกลุ่มกว้างมากขึ้น ต้องเทอุดมการณ์ทางดนตรีของตัวเองทิ้งลงไปอยู่บ้าง ไม่เท่ในแบบที่เขาชอบนัก แต่ผลงานที่ได้มาก็ยังไม่ถูกใจโปรดิวเซอร์และผู้บริหารค่ายเพลง จนในที่สุดหนุ่มห้าวจากเมืองเขตร้อนก็ถูกยกเลิกสัญญา วันเวลาที่หมดไปร่วมสามปีกำลังจะเท่ากับศูนย์ ถ้าจะให้เขาไปตระเวนเล่น

เพลงในผับแข่งกับวงเด็กไฟแรงหรือทำเพลงลงยูทูบเหมือนศิลปินหลายคน นั่นก็ไม่ใช่เส้นทางที่จิตวิญญาณของเขาจะยินดี และถึงเขาจะมีโอกาสในการเป็นนักแต่งเพลงที่อังกฤษได้ แต่มันจะมีความหมายอะไรหากไม่ได้ร้องเพลงที่ตัวเองสลักตัวอักษรไว้

“ตอนนั้นเราเก็บกระเป๋าแล้ว คิดว่าถ้ามันแย่ไปกว่านี้คงกลับเมืองไทย เพราะเราผิดหวังมาก ตอนทำเพลงเราก็ยอมทุกอย่างเพื่อจะให้มันดัง ทั้งที่ตอนอยู่วงสิบล้อ ผมค่อนข้างที่จะเป็นคนดื้อพอสมควร เราก็ยอมทุกอย่าง ยอมทิ้งเพื่อน ทิ้งทุกอย่างเพื่อไปอังกฤษ เงินที่เขาจ่ายมาให้เป็นทุน เราก็ใช้หมดแล้ว เพราะคิดว่าจะรุ่งแล้ว สบายแล้ว คือเราก็สมน้ำหน้าตัวเองอยู่เหมือนกัน เหมือนลงโทษตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองป่วยๆ ตื่นตอนเช้าก็ไม่มีอะไรจะทำ จิตใจเราจมดิ่ง เรามีเพื่อน มีแฟน มีคนที่เรารักอยู่ในเมืองไทย แต่เราทิ้งทุกอย่างมาเพราะเราเห็นโอกาสที่นี่ แต่มันกลับเป็นอย่างนี้ โกรธตัวเอง โกรธค่ายเพลงที่ทิ้งเรา จากที่เคยทำงานทุกวัน กลายเป็นคนว่างงาน ความฝันกับการงานมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” ฮิวโก้บอกว่านั่นจึงเป็นที่มาของเพลง ‘Wake Alone’ เพลงช้าที่ฟังแล้วชวนให้คิดถึงจอห์น เลนนอนในเวอร์ชั่นเหงาโคตรๆ

ขณะที่ฮิวโก้กำลังจะกลับเมืองไทยเหมือนจิ๊กโก๋อกหัก ก็เหมือนฉากพลิกผันในหนังฮอลลีวู้ดเมื่อ อะแมนด้า โกสต์ มาบอกว่าเพลง

‘Disappear’ ที่เขาทำไว้นั้นเดินทางไปถึงหูของบียองเซ่ และเธอก็ปลาบปลื้มมากจนขอเอาไปร้องในอัลบั้ม ‘I Am…Sasha Fierce’ ของเธอเองจนเพลงนี้โด่งดัง เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อแฟนของเธอก็คือ Jay-Z แร็พเปอร์ระดับโลกเจ้าของ Roc Nation ค่ายเพลงใหญ่ไฟแรงในอเมริกา รวมถึงโปรดิวเซอร์เพลงระดับหัวกะทิของค่ายอีกหลายคนที่มองเห็นว่าศักยภาพของฮิวโก้นั้นอาจจะใหญ่เกินกว่าเกาะอังกฤษเสียแล้ว เมื่อได้ศึกษาแนวทางของกันและกันจนแน่ใจดี ฮิวโก้จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่นิวยอร์กเพื่อเซ็นสัญญาฉบับใหม่

“เจย์-ซี ไม่เคยมาก้าวก่ายอะไรในงานของเราเลย มันเป็นการให้เกียรติกันด้วยนะ เล็กทำงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ระบบงานก็ไม่ต่างจากที่เมืองไทยนัก แต่ผมชอบทำงานกับคนเก่ง เพราะคนเก่งทำให้เราอยู่นิ่งไม่ได้ จะต้องงัดกึ๋นออกมาเพื่อเอาชนะกัน ผมทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้และพวกเราก็จูนความคิดกันได้ลงตัว” ฮิวโก้กำลังพูดถึง Dave McCracken โปรดิวเซอร์ของอัลบั้มชุดนี้ที่เขายอมรับในความสามารถ

“พูดถึงในส่วนของการทำงานที่ค่ายในอเมริกามันก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก เพราะลักษณะการทำงานหรือตัวบทสัญญาก็เหมือนกับที่อังกฤษ แต่ที่ต่างไปก็เป็นเพราะได้มาเจอกับร็อคเนชั่นมากกว่ามันทำให้รู้ว่าเราอยู่ในสังคมของคนทำงานแบบนี้ได้ และการไม่ได้เป็นศิลปินที่แจ้งเกิดในอังกฤษก็ไม่ได้ทำให้ผมเสียใจนะ เพราะตลาดเพลงสมัยนี้ศิลปินอังกฤษก็ไปดังที่อเมริกากันเยอะ อาจจะดีกว่าที่มีโอกาสมาแจ้งเกิดในอเมริกา ฐานตลาดคนฟังเพลงส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ประเทศนี้ทั้งนั้น ตอนที่อยู่อังกฤษเล็กเองก็ไม่อยากให้ตัวเรากลายเป็นบริตป๊อปแบบหน่อมแน้ม” ฮิวโก้เผยถึงความรู้สึกในการย้ายถิ่นฐานทางดนตรี หลังจากทำอัลบั้มเสร็จ เขาก็ออดิชั่นวงของตัวเองขึ้นมาเพื่อทัวร์คอนเสิร์ตทั่วอเมริกากับ The Script วงร็อคจากไอร์แลนด์ที่กำลังมาแรงสุดๆ แม้ฮิวโก้จะแค่ได้เล่นเป็นวงเปิด แต่นั่นก็มากพอแล้วสำหรับการได้เป็นนักดนตรี “คำว่าศิลปินระดับสากลมันเหมือนกับป้ายที่คนอื่นเอามาแขวนไว้บนคอผมมากกว่า แต่เราไม่ได้มองตัวเองในแง่นั้น เราเป็นนักดนตรี เราก็ทำหน้าที่ของนักดนตรีไป การได้ออกอัลบั้มหรือการได้ทัวร์คอนเสิร์ตมันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานตรงนี้อยู่แล้ว มันไม่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อที่จะเป็นนักดนตรีอีกรอบหนึ่งหรอกครับ” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘Old Tyme Religion’มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทักฮิวโก้ เป็นการทักทายแบบธรรมดาของคนที่รู้จักกันมาก่อน เขาดูผ่อนคลายและออกจะขี้เล่นกับเพื่อนคนนั้น อย่างไม่ทันสังเกต ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าโต๊ะกาแฟนอกร้านของผมกับเขากลายเป็นจุดเด่นสำหรับคนในละแวกนั้นไปเสียแล้ว ทุกคนเดินมาและหยุดมองด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป บางคนอาจจะรู้จักเขาจากการเป็นดารา และก็น่าจะมีอีกหลายคนที่มองเขาด้วยสายตาชื่นชมในฐานะศิลปินเดี่ยวจากอเมริกามากกว่าจะจดจำว่าเขาเคยเป็นร็อคเพื่อชีวิตกับวงสิบล้อ ถ้าเป็นเมื่อก่อน

ผมเชื่อว่าฮิวโก้จะมีความรู้สึกขัดแย้งที่รุนแรงกว่านี้ แต่นี่เขาได้แต่ยิ้มและพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ “เล็กคงต้องปล่อยวางเรื่องพวกนี้

แล้วครับ เพราะเราจะมามัวแต่คิดว่าเขาเข้ามาชื่นชมเราเพราะเราเป็นตระกูลจักรพงษ์ เพราะเราเล่นละครของค่ายกันตนา เพราะเราถ่ายแบบ หรือเพราะเราเป็นอะไรมาก่อนนั้นมันคงแบกไว้ไม่ไหว ใครที่เข้ามาฟังเพลงของผมแล้วชื่นชมไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ผมก็จะน้อมรับเสียงเหล่านี้ไว้” ฮิวโก้หยิบแว่นกันแดดออกมา เพื่อใช้นิ้วบีบนวดตรงดั้งจมูกก่อนที่จะสวมแว่นกลับเข้าไป ชั่วขณะหนึ่งที่ผมได้สบตากับเขา มันบ่งบอกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เกิดอะไรขึ้นกับฮิวโก้คนเดิมกันแน่ ผมจะกลับมาหาคำตอบเรื่องนี้อีกทีสิ่งที่น่าขุดคุ้ยก่อนก็คือค่ายร็อค

เนชั่นที่ฮิวโก้อยู่ในสังกัดนั้นเติบโตมาด้วยศิลปินแนวฮิพฮอพ ไม่ว่าจะเป็น Jay-Z ที่เป็นผู้บริหารเอง หรือคนอื่นๆ อย่าง J Cole, Range หรือไม่ก็ศิลปินเพลงป๊อปสนุกๆ เช่น Alexis Jordan และดาวรุ่งอย่าง Willow Smith ลูกสาวคนเก่งของนักแสดงชื่อดัง Will Smith ที่เป็นขุมกำลังของค่าย ดูเหมือนฮิวโก้จะเป็นศิลปินคนเดียวในค่ายที่ทำเพลงบลูส์ร็อคออกมา

“มันน่าจะเป็นเรื่องของความชอบทางดนตรีที่มาพ้องกันมากกว่าระหว่างเรากับค่ายเพลง ผมว่าเนื้อเพลงของผมมันพูดถึงชีวิตในแนวทางเดียวกับฮิพฮอพ เป็นเรื่องของคนธรรมดาบนท้องถนนที่ช่างสังเกตและอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่นเพลง Old Tyme Religion เป็นเพลงที่โปรดิวเซอร์ให้ไลน์กลองมา มันจะมีส่วนผสมของจังหวะแบบฮิพฮอพ ซึ่งพอฟังแล้วก็ชอบนะ บวกกับโจทย์ของเพลงที่เขาอยากจะทดสอบผมว่าจะแต่งเพลงแนวนี้ออกมาได้ไหม แต่พอผมทำได้และสนุกไปกับเพลงด้วย มันก็เป็นการตอบโจทย์ของกันและกันได้ดีว่าเราไปกันได้นะ”

I’m not an angry man, I’m just a lonely soulIf I coulda had a million, for every little hungry heart I stoleMotherfucker laid me out, cold as pavement stoneGuess he must’ve really loved her, left me here now I’m bleeding on my own

เนื้อเพลงของ ‘Old Tyme Religion’ พูดถึงชายคนหนึ่งที่ถูกยิงเพราะอดใจไปยุ่งกับผู้หญิงของคนอื่นไม่ได้ งานนี้เลือดจึงต้องนองพื้น มันเป็นเพลงที่ฉูดฉาดไปด้วยสำเนียงแบบนักเลงร็อคแอนด์โรลในยุค ’70s “เล็กอยากให้ดนตรีของเพลงสื่อถึงบรรยากาศแบบเมืองไทย เราพยายามทำให้เพลงมีกลิ่นอายพวกนี้อยู่ มันเป็นบรรยากาศที่ห้อมล้อมไปด้วยเสน่ห์ของความไม่แน่นอน ชีวิตของคนในสถานการณ์อันคาดเดาไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกของความเป็นเมืองไทยในตอนกลางคืน มันมีเสียงของผู้คน เสียงที่ให้ความรู้สึกอบอ้าว รุ่มร้อน เสียงของความมืด เล็กว่าเมืองไทยมีชีวิตชีวาในตอนกลางคืนมากกว่ากลางวันอีกนะ เราจึงพยายามทำเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกแบบนี้ออกมา” เสียงของเขาที่ออกมาแผ่วเบาเหมือนกำลังฮัมเพลงอยู่ในลำคอ ช่วงโปรโมตอัลบั้มในอเมริกา ฮิวโก้ได้ไปออกรายการวิทยุ GOOM Radio เขาดูขี้เล่น มีลูกล่อลูกชนในการตอบคำถามกับดีเจ และเขาได้พูดถึงภาพรวมของอัลบั้มชุดนี้ซึ่งน่าจะเป็นคำจำกัดความที่เข้าใจง่ายที่สุด

“ธีมหลักของอัลบั้มนี้ก็คือการนำเอาส่วนผสมแบบคลาสสิกร็อคอย่างอัลบั้ม Imagine ของ John Lennon, Harvest ของ Neil Young หรืออัลบั้มอื่นๆ ที่ผมชอบมาทำให้มันร่วมสมัยมากขึ้น ทำให้สำเนียงมันครอบคลุมไปในที่ที่คุณรู้สึกถึง” ฮิวโก้อธิบายต่อว่า Dave McCracken โปรดิวเซอร์ของเขาทำให้เพลงทันสมัยขึ้นด้วยการใส่เสียงอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเข้ามา แต่ก็ไม่เลือกที่จะใช้กีตาร์ไฟฟ้า ยังคงหาความลงตัวด้วยกีตาร์อะคูสติก สรุปแล้วอัลบั้มนี้ถูกเขียนขึ้นมาอย่างร็อคสมัยเก่า แต่ไม่ได้ผลิตออกมาด้วยรูปแบบเก่าเท่านั้นเอง ซึ่งก็ยากอยู่ที่จะหาจุดสมดุล แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ทำมันออกมาได้ และ ‘Bread & Butter’ ก็เป็นเพลงที่สามารถอธิบายอัลบั้มนี้ได้ทั้งหมด

“ความยากลำบากในการทำอัลบั้มมันก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่มันเป็นสิ่งที่ศิลปินทุกคนต้องเจอ ผมไม่อยากจะเอาขึ้นมาพูด พูดแล้วคนฟังจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ เพราะยังไงก็ตามแต่ สุดท้ายเราก็ต้องทำเพลงให้เสร็จ และทำออกมาให้ดีที่สุดอยู่ดี แค่ผมรู้สึกว่ามันกินเวลายาวนานกว่าที่ผมคิดเท่านั้นเอง” เวลาดังกล่าวก็คือ 5 ปีกว่าที่อัลบั้ม ‘Old Tyme Religion’ จะได้เดินทางถึงหูคนฟัง หากมันก็คุ้มค่าที่จะคอย เพราะตอนนี้เพลงของฮิวโก้เริ่มทำหน้าที่ของตัวมันเองแล้วในตลาดอเมริกา เหมือนคนที่อดทนเก็บเงินก้อนใหญ่ฝากธนาคารไว้เพื่อรอเวลากินดอกเบี้ย เริ่มจากที่เพลงเหล่านี้ถูกนำไปใช้ประกอบซีรีส์หลายเรื่อง เช่น Entourage, 90210 และ Castle รวมถึงการได้เข้าไปอยู่ในหนังของ แอชตัน คุชเชอร์ และ นาตาลี พอร์ตแมน เรื่อง ‘No Strings Attached’ ที่กำลังจะเข้าฉายในปีนี้ด้วย และเพลงของฮิวโก้ยังได้รับเลือกให้เป็นเพลงประจำร้านเสื้อผ้า American Eagle Outfitters หรือ ‘99 Problems’ เพลงฮิตจาก เจย์-ซี ที่เขาได้รับมอบให้นำมาคัฟเวอร์ใหม่จนกลายเป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้มของเขาอย่างโด่งดัง ร้านแมคโดนัลด์กว่า 800 แห่งทั่วอเมริกาก็เลือกเพลงนี้ไปเปิดเพื่อกล่อมเกลาอารมณ์ลูกค้าขาร็อค

ฮิวโก้ยังไม่ใช่ศิลปินดังที่ทำเพลงอะไรออกมาแล้วเหล่าสินค้าก็อยากได้มาใช้ มันจึงเหมือนการควานหาเพชรในตมของบรรดาบริษัทเอเยนซี่ที่ต้องตาถึงหูดีจริงๆ และนั่นก็ปรากฏชัดยิ่งขึ้นเมื่อ Victoria’s Secret เลือกเพลง ‘Bread & Butter’ ของเขาไปประกอบแคมเปญชุดว่ายน้ำ ผมอยากจะยืนยันว่าการฟังเพลงนี้เพียงอย่างเดียวก็รู้สึกวาบหวิวมากพอจนไม่ต้องพึ่งนางแบบกับชุดว่ายน้ำอะไรนั่นแล้ว

Gonna spread you like butter Give you all my bread Don’t want no other girl in my bed Gonna spread u like Gonna spread u like

“เล็กต้องการให้เนื้อเพลงมันดูดิบๆ นะ เพราะความดิบจะทำให้เกิดความกระหายบางอย่างอยู่ในนั้น” เขาบอกกับผมในเวลาที่เอสเปรสโซเย็นของเราทั้งคู่หมดแก้วไปแล้ว และผมก็กระหายมันเหลือเกิน ปฏิเสธไม่ได้ว่าฮิวโก้มีทักษะในการแต่งเพลงในภาษาอังกฤษที่โดดเด่น การเลือกใช้คำของเขาดูมีจินตนาการ สร้างความแปลกใหม่เวลาเอ่ยเอื้อน สวยงามคล้ายบทกวี แต่ก็ไม่ได้พร่ำรำพันมากมาย ออกจะตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ ผลลัพธ์ที่ได้จึงพิเศษมากสำหรับคนฟังเพลงไม่ว่าจะเป็นรุ่นเก่าหรือหน้าใหม่ก็ตาม สื่อในอเมริกาเองก็หลงเสน่ห์อดีตมนต์รักสิบล้อคนนี้อยู่ไม่น้อย Jimmy Kimmel Live รายการโทรทัศน์ชื่อดังจากช่อง abc ก็เชิญฮิวโก้ไปแสดงสดในรายการ ซึ่งไม่ใช่ใครก็ได้นะครับที่จะได้มาออกรายการในช่วงเวลานี้ ถ้าไม่ได้น่าสนใจหรือเจ๋งพอจริงๆ

“ผมกำลังพยายามสร้างงานร็อคแอนด์โรลในยุคฮิพฮอพครับ… การรวมแก่นความคิดทั้งหมดให้ได้ภายในสามนาทีสามสิบวินาทีนั้นเป็นความท้าทาย เพลงคือดาวเคราะห์ ชั้นบรรยากาศ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่อยู่บนนั้น ส่วนอัลบั้มทั้งอัลบั้มก็คือระบบสุริยะจักรวาล” เขาให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Lyrics Hall ในสำนวนที่คงไม่มีใครลอกเลียนได้ ผมนึกถึงท่าทางของเขาเวลาพูดประโยคนี้ได้ชัดเลย “ผมต้องการให้คนฟังรู้ชัดๆ ว่าเพลงของผมเกี่ยวกับอะไร ผมไม่ใช่กวี และเนื้อเพลงก็ต่างจากบทกวี… นอกเสียจากว่าคุณคือ จิม มอร์ริสัน หรือ บ็อบ ดีแลน”

ใน Inquiring Mind Magazine เขาก็แสดงตัวตนไว้อย่างชัดเจนว่าเขาเดินทางมาไกลเพื่อเป็นนักดนตรีที่ถูกยอมรับ ไม่ใช่ศิลปินดังที่ต้องห่วงเรื่องการตลาดจนไม่เป็นอันทำอะไร “ผมเป็นคนไม่มีกลยุทธ์อะไร ผมจึงปล่อยให้คนเก่งทำดีกว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกลายเป็นคนดังในยุคนี้แล้วก็มาคอยควบคุมทุกอย่าง ผมสนใจแค่เพลงและการแสดงสดของผมเท่านั้น สองสิ่งนี้ต่างหากที่สำคัญอย่างแท้จริง…

“ตราบเท่าที่ผู้คนได้มีโอกาสฟังเพลงและตัดสินใจว่าพวกเขาชอบเพลงเหล่านั้นหรือไม่ด้วยตัวเอง แค่นั้นผมก็มีความสุขแล้ว”

ผมไม่ได้ไปร่วมงาน วันเปิดตัวอัลบั้มของฮิวโก้ในบ้านเราอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 เพราะได้คิวนัดคุยกับเขาในวันต่อมา แต่ผมก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าเขาดีใจมากที่ได้กลับมาเล่นเพลงของเขาให้ชาวไทยฟัง อาจจะมากกว่าการได้ไปเล่นโชว์ในต่างประเทศด้วยซ้ำ ในอัลบั้มนี้มีเพลงภาษาไทยอยู่เพลงเดียว และก็เป็นเพลงที่เปรียบเสมือนจดหมายรักของเขาที่ส่งมาถึงคนรัก เพื่อนฝูง และคนในประเทศนี้ที่เขาคุ้นเคย “เพลง สายลม มันก็บอกชัดเจนว่าถึงผมจะอยู่ที่อื่น แต่ใจผมอยู่ที่นี่นะ สายลมแห่งเป้าหมายมันพัดพาให้ผมต้องเดินทางออกไป แต่ผมก็ยังคิดถึงที่ที่ผมจากมา ผู้คนที่ผมรักอยู่เหมือนเดิม” ฮิวโก้ย้ำอยู่เสมอว่าการได้เป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จในต่างแดนก็เป็นแค่ความฝันที่เขาอยากจะทำให้สำเร็จสักครั้ง แต่ใจจริงแล้วเขาอยากกลับบ้าน อยากอยู่เมืองไทยกับครอบครัวมากกว่า ฮิวโก้ยังคงไม่ถอดหมวกและแว่นตาออก เขาสวมมันไว้เหมือนเป็นเครื่องแบบทางราชการของสำนักงานร็อคแอนด์โรล ใบหน้าของเขายังดูไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย ออกจะดูสดใสขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ หรือนี่คือรัศมีของการเป็นศิลปินดัง ถ้าดูจากที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างแดนอยู่บ่อยๆ ว่ากำลังทำเพลงในกระแส ไม่ได้วางตัวเองเป็นศิลปินอัลเทอร์เนทีฟหรือพวกวงอินดี้อะไรเลย เขาอยากทำเพลงให้คนที่ชอบงานสไตล์นี้ฟังมากกว่าอย่างที่เขาเคยพูดไว้ใน GOOM Radio

“ถ้าคุณทำเพลงกับค่ายเพลงใหญ่ๆ คุณก็ต้องทำแบบหนึ่ง เพราะคุณได้เข้ามาสู่ระดับของความเป็นมืออาชีพ ถ้าคุณไม่พร้อมจะเป็นมืออาชีพ มันจะดีกว่าถ้าคุณจะไปทำเพลงในห้องนอนของคุณ ทำกับเพื่อน หรือร้องเพลงให้แม่คุณฟัง มันมีการทำเพลงหลายระดับครับ การได้สังกัดค่ายใหญ่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรอด เพลงของคุณต้องดีจนคนจำนวนมากชอบ คุณถึงจะเรียกตัวเองว่าป๊อปได้ แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่กลัวที่จะป๊อปหรอกครับ ป๊อปคือสิ่งที่ผมพยายามจะเป็น”ฮิวโก้จุดบุหรี่เป็นมวนที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ก่อนจะอธิบายประเด็นนี้เพิ่มเติม “โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ในยุคที่ทุกอย่างดูกันผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก เปิดยูทูบก็ดูได้ทุกอย่างแล้ว ผมมองว่าการพยายามจะเป็นอินดี้หรือเป็นวงดนตรีแนวๆ มันติ๋มไปแล้วนะสำหรับสมัยนี้ เพราะคนฟังเขาฉลาดขึ้น มีทางเลือกที่จะเข้าถึงเพลงมากขึ้น ถ้าอยากจะอินดี้จริงก็ทำเพลงเอง ขายเองเลย ไม่ต้องพึ่งค่ายใหญ่ให้มาช่วยทีหลัง ผมไม่ได้ยึดติดกับความเป็นอินดี้หรืออัลเทอร์เนทีฟสักเท่าไหร่ ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนทำเพลงใต้ดินไม่อยากจะให้คนเป็นล้านๆ ได้ฟังเพลงของตนเอง เราทำเพลงเราก็อยากให้มันประสบความสำเร็จ แต่มันก็ต้องเป็นความสำเร็จในแบบที่เราภูมิใจกับมันด้วยนะ ว่าเป็นฝีมือของเราเองจริงๆ” น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย แววตาเชือดเฉือนเริ่มมีให้เห็น แต่ก็ยังอยู่ในโทนที่สงบหากเทียบกับตัวเขาเองเมื่อหลายปีก่อน แล้วถ้าเป็นเรื่องการเมืองล่ะ? เมื่อการชุมนุมทางการเมืองในปี 2548-2550 เขาเคยพาวงสิบล้อขึ้นไปโชว์บนเวทีพันธมิตรมาแล้ว ผ่านมาหลายปีตอนนี้ความคิดของเขาต่อบ้านเมืองไทยยังเป็นอย่างไร ฮิวโก้นิ่งคิดไปชั่วขณะ ไม่ใช่ท่าทีของคนที่กลัวคำถามนี้ แต่เหมือนใจเขามันลอยไปที่ไหนสักแห่ง “พอผมออกจากเมืองไทยไป มันเหมือนกับว่าเราออกจากจุดศูนย์กลางของเหตุการณ์ทางบ้านเมืองไปแล้ว ผมได้ข้อมูลอะไรมา

ผมก็ไม่สามารถจะไปวิเคราะห์ วิจารณ์ หรือวิพากษ์สถานการณ์อะไรได้ง่ายๆ มันไม่เหมือนตอนที่เรายังอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ และผมมองว่าแต่ละฝ่ายก็มีกระบวนการที่ซับซ้อนมากขึ้นในการจะเข้าถึงชัยชนะของตัวเอง มันเหมือนกับผู้คนในเหตุการณ์เหล่านี้กำลังเล่นหมากรุกกัน…” เขาปิดคำตอบนี้ด้วยความเงียบคุณดูไม่แบกโลกไว้เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ? ฮิวโก้ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่แล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่มีเสียงหลุดออกมา เหลือแค่ควันบุหรี่และรอยยิ้ม มันไม่ใช่ยิ้มของไอ้ขี้แหย แต่เป็นยิ้มของคนที่ผ่านความเข้าใจชีวิตมาในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าการได้ลิ้มรสความผิดหวังขั้นรุนแรงที่อังกฤษ การมีครอบครัว การมีลูก สิ่งเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนแปลงมุมมองของเขาไปมาก

“เป้าหมายต่อไปคือผมจะไปตัดผมให้สั้นๆ เลย เพราะผมเริ่มรำคาญตัวเองแล้ว ที่ยังตัดไม่ได้เพราะยังไม่หมดช่วงโปรโมต ไม่ใช่ว่าผมเบื่อหรือไม่ชอบลุคนี้นะ แต่ผมรำคาญ และลูกผมก็เริ่มที่จะคว้าอะไรบนหัวผมได้แล้ว” เขาหัวเราะเสียงดังเมื่อพูดถึงลูกชาย

“ผมยอมรับว่ากังวลมากว่าจะทำหน้าที่พ่อที่ดีคู่ไปกับการเป็นนักดนตรีแบบนี้ได้ไหม เพราะมันก็มีอุทาหรณ์สอนใจเราหลายอย่าง ร็อคสตาร์เองก็บ้านแตกกันมาเยอะแยะ เมื่อก่อนเราก็ไม่ใช่คนที่มีสาระมากมายนัก เราก็หลงใหลไปกับร็อคแอนด์โรล ยึดติดรูปแบบชีวิตของความเป็นนักดนตรี พอมามีลูก มีภรรยา ผมก็ต้องตัดสินใจในสิ่งที่เหมาะกับพวกเขามากที่สุด… คุณรู้ไหมว่าวินาทีที่ได้เห็นหน้าลูก เรื่องไร้สาระที่ผ่านมามันหายไปจากชีวิตเลย ลูกทำให้เราคิดได้ว่าเราจะทำอะไรต่อไปในวันนี้และอนาคต ลูกทำให้เราเลิกที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอีกต่อไป”

หวังว่าผมจะได้เห็นหน้าลูกของเขาจากรูปในเฟซบุ๊ค แต่เขาจะรับผมเป็นเพื่อนไหมนะ? ก่อนหน้านี้ผมเข้าไปดูเฟซบุ๊คของเขา มีอยู่สองเพจด้วยกัน และเชื่อได้ว่าเป็นของแฟนคลับและค่ายเพลงที่ทำเอาไว้ให้เท่านั้น ผมเดาเอาว่าเขาคงไม่เล่นเฟซบุ๊ค ยิ่งในยุคที่เฟซบุ๊คสามารถสร้างกลุ่มที่ไม่พอใจในเรื่องต่างๆ กันได้ง่ายมาก

“ผมไม่ค่อยเชื่อในการแสดงออกทางสังคมในเฟซบุ๊ค ในความคิดของผมมองว่ามันไม่เจ๋งนะ คนเรามันต้องมาเจอกันจริงๆ ต้องมาคุยกัน ต้องมาเจอกันเพื่อสร้างสังคมขึ้นมา การไปด่าใครสักคนในเฟซบุ๊ค มันแตกต่างจากการด่าใครสักคนต่อหน้าจริงๆ เจอกันแล้วคุณจะกล้าด่าเขาแบบที่เขียนในอินเตอร์เน็ตไหม…”

“ด่า แต่คำที่ใช้ก็คงจะเบาลงมาก” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่แมนเอาเสียเลย

“ใช่, การที่รวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องอะไรสักอย่างในเรื่องที่เป็นส่วนรวมนั้นมันดี แต่การรวมตัวกันเพื่อด่าใครสักคนผมว่ามันไม่ใช่แล้วละ

ผมยังอยู่ในโลกยุคอนาล็อก ยังคุ้นเคยกับวิธีเดิมๆ…” เขานิ่งไปอึดใจ “เล็กยังหัวโบราณอยู่ ยังชอบความเป็นศตวรรษที่ 20 ความเป็นร็อคแอนด์โรล เล็กยังชอบวิธีการแบบเดิมๆ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจความเป็นโลกสมัยใหม่ เล็กยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้” น่าจะเป็นประโยคที่เขาเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นเยอะที่สุดแล้ววิธีแบบอนาล็อกที่ผมจะมอบให้เขาได้ ก็คือถือปกซีดี ‘Old Tyme Religion’ แล้วเดินเข้าไปขอลายเซ็น

เราทิ้งทุกอย่างมาเพราะเราเห็นโอกาสที่นี่ แต่มันกลับเป็นอย่างนี้ โกรธตัวเอง โกรธค่ายเพลงที่ทิ้งเรา จากที่เคยทำงานทุกวัน กลายเป็นคนว่างงาน ความฝันกับการงานมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ผมคงต้องปล่อยวางเรื่องพวกนี้แล้วครับ เพราะจะมามัวแต่คิดว่าเขาเข้ามาชื่นชมเรา เพราะเราเป็นตระกูลจักรพงษ์ เพราะเราเล่นละคร

เพราะเราถ่ายแบบ หรือเพราะเป็นอะไรมาก่อนมันคงแบกไว้ไม่ไหว

ความยากลำบากในการทำอัลบั้มมันก็ต้องมีอยู่แล้ว แต่มันเป็นสิ่งที่ศิลปินทุกคนต้องเจอ ผมไม่อยากจะเอาขึ้นมาพูด พูดแล้วคนฟังจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ เพราะยังไงก็ตามแต่ สุดท้ายก็ต้องทำเพลงให้เสร็จ และทำออกมาให้ดีที่สุดอยู่ดี

ข้อมูลประกอบการเขียน

• Lyrics Hall (www.lyricshall.com)

• Inquiring Mind Magazine (www.inqmnd.ca)

• GOOM Radio (http://bit.ly/hugogoomradio)

• http://th.wikipedia.org

ขอขอบคุณร้าน Gooseberry สำหรับสถานที่สัมภาษณ์และถ่ายภาพ

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ