ชั่วคราวหรือยาวนาน
เรื่อง : วรพจน์ พันธุ์พงศ์
– อาจจะชั่วคราว หรือบางทีคงอีกยาวนาน ที่แน่ๆ วิกฤติโรคภัยรอบนี้เปลี่ยนโฉมหน้าโลกและสังคมไทยไปอย่างสิ้นเชิง
– ผมเห็นว่าแบบนั้น ใครๆ ก็เห็นว่าแบบนั้น แต่พอมาคิดดูอีกที โลกคงเปลี่ยนไปมากน่ะใช่ คนตายมหาศาลขนาดนี้ เศรษฐกิจพังพินาศขนาดนี้ กับความสูญเสียอันหาที่สิ้นสุดมิได้ มันก็ต้องตั้งคำถาม ปรับประยุกต์ ตั้งหลักตั้งตัวกันใหม่ว่าจะกินอยู่อย่างไร จะเอายังไงกับชีวิต ความฉิบหายยืนอยู่ตรงหน้าโจ่งแจ้งแบบนี้หากจะยังยืนยัน ดันทุรังทำแบบเดิม คิดแบบเดิม คงประหลาดไปหน่อย มากบ้างน้อยบ้าง โรคภัยรอบนี้เปลี่ยนโลกแน่ๆ แต่กับเมืองไทย พูดในฐานะคนอยู่กับข่าวสาร คนอายุย่างเข้าวัยห้าสิบที่เห็นความผิดเพี้ยนคลั่งบ้ามาหลายครั้ง เอาเข้าจริงมันยากเหมือนกันที่จะจินตนาการ
สิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น
แอร์เอเชีย สายการบินเดียวตอนนี้ที่ปกติบินไป-กลับกรุงเทพฯ-น่าน ประกาศหยุดให้บริการ ด้านหน้าแอร์พอร์ตที่เคยมีรถตู้ รถสองแถว มอเตอร์ไซค์รับจ้าง วิ่งเข้าวิ่งออก หายไปทันที
เช่นเดียวกับสถานีขนส่งจังหวัดน่าน ที่ร้างไร้คนสัญจร เมื่อรถโดยสารประจำทางหยุดเดินรถ โรงแรม ผับบาร์ สวนอาหาร ร้านกาแฟ ที่เคยมีชีวิตชีวา เป็นจุดพักผ่อน พบปะ กินดื่ม ท่องเที่ยว บันเทิง ทุกแห่งทุกที่แขวนป้ายหน้าร้าน–หยุดบริการ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
เมืองเล็กๆ ที่ค่อนข้างเงียบอยู่แล้วในฤดูโลว์ซีซัน เงียบงันกว่านั้นอีก ไม่มีภาพนักเดินทางที่คุ้นเคย ไม่มีเสียงหยอกล้อเซลฟี่ รถรางที่วิ่งเลียบเลาะชมเมืองหายไป แผงลอยริมแม่น้ำหายไป ลานลั่นทมหงอยเหงา ตลาดถนนคนเดินหน้าวัดภูมินทร์ยามราตรีว่างเปล่า ยิ่งเมื่อมีเคอร์ฟิวสี่ทุ่ม เพียงสักสองทุ่มกว่าๆ ทุกคนที่มีธุระยามพลบค่ำก็กุลีกุจอขับขี่รถกลับเข้าบ้าน
ขนส่งสาธารณะปิด เมืองปิด ถนนสายหลักระหว่างน่าน-แพร่ และน่าน-พะเยา ตำรวจตั้งด่านเข้มงวด บางสายงานอาชีพและผู้มีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้นจึงอนุญาตให้ผ่านเข้า-ออก
หน้ากากอนามัยกลายเป็นอวัยวะใหม่ ไม่มีไม่ได้ แพงเท่าไรก็ต้องกลั้นใจหาซื้อให้ได้ ทางเข้าตลาดสด ล้อมรั้ว ให้เข้า-ออกจุดเดียว พร้อมแปะป้ายชัดเจน–ไม่สวมหน้ากากอนามัย ห้ามเข้าตลาดโดยเด็ดขาด
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย อีกคนถือขวดแอลกอฮอล์ฉีดพ่น ล้างมือทุกคนก่อนปล่อยตัวให้เข้าไปจับจ่าย
หน้ากากปิดหน้า แต่แววกังวลในดวงตาฉายชัด ไม่มีภาพแห่งความละเลียดเรื่อยเรียบ ผู้คนส่วนใหญ่ดูเร่งรีบ ร้อนรน ทำๆ ซื้อๆ และพุ่งทะยานออกไป
ต่อให้เพิ่งมาจากดาวดวงอื่น ไม่รับรู้ประวัติศาสตร์หรือที่มาสาเหตุใดๆ เลย เพียงเปิดตามอง เราจะเห็นหรือสัมผัสได้ทันทีว่าเมืองนี้ไม่มีความสุข เมืองนี้กำลังเผชิญวิกฤติโรคภัยร้ายแรง โลกนี้กำลังเผชิญข้าศึกศัตรูสายพันธุ์ใหม่
ผมจำแววตาชายหนุ่มคนหนึ่งได้แม่นยำ
เขาขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด ถามหาห้องพัก เจ้าของโรงแรมที่เพิ่งเปิดมาไม่กี่เดือนบอกว่าช่วงนี้ปิด
“แบบชั่วคราวก็ไม่มีเหรอ”
เจ้าของยืนยันคำเดิม
ใบหน้าชายหนุ่มสิ้นหวัง มองห้องตาละห้อย ก่อนสตาร์ทรถขี่ออกไป
อาจไม่ใช่ที่แรกหรอกที่ปฏิเสธ อาจเป็นที่ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า…เขาเองก็ใช่ว่าไม่รู้ ยามนี้ใครจะเสี่ยง ใครจะกล้าอ้าแขนเปิดรับลูกค้า แม้ว่าอยากได้เงินใจจะขาด
ผมลองคิดอะไรเล่นๆ คนหนุ่มคนหนึ่งนัดหมายหญิงสาวคนรักเอาไว้ พยายามหาที่เงียบๆ หลับนอนพลอดรักกัน หญิงสาวตอบรับแล้ว หญิงสาวรอคอยอยู่แล้ว แต่จนแล้วจนเล่า เขาก็หาที่พักไม่ได้
ในห้วงยามสถานการณ์โรคภัยร้ายแรง คนตกงาน คนไม่มีจะกิน คนพลัดพรากสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เปรียบเทียบกันในทุกบัญญัติไตรยางค์แล้ว ปัญหาของไอ้หนุ่มคนนั้นเป็นเรื่องเล็กจ้อย โคตรกระจอก แต่นึกออกใช่ไหมว่านี่ก็เป็นปัญหา
เคยใช่ไหม คุณกับคนรักคงเคยอยู่บ้างใช่ไหม ที่เพียงจะหาที่หลับนอนสักคืนก็หาไม่ได้
เคยใช่ไหม ในยามที่เหนื่อยแสนเหนื่อย หิวแสนหิว ดั้นด้นเดินทางไกลจนในที่สุดก็ค้นพบ ห้องหอสะอาดสะอ้านเปิดอยู่เห็นๆ อาหารคาวหวานสดใหม่วางบริบูรณ์อยู่ต่อหน้า แต่ว่าคุณไม่มีสิทธิ์แตะต้อง
ความทุกข์ทรมานเช่นนี้ ผมคิดว่าผมเข้าใจ และต่อหน้าทุกปัญหา เราควรเมตตาต่อกัน ไม่เจอเองกับตัวบางทีนึกไม่ออก ว่าไอ้เรื่องกระจอกๆ นี่แหละที่หลายครั้งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
มีเสียงสาปแช่งก่นด่าสารพัด เกี่ยวกับการจัดการแก้ปัญหาของรัฐบาล
ป่วยการที่จะพูดอะไรอีก ผมเพียงแต่รู้สึกเสียดายว่าถ้าวิกฤติครั้งนี้เกิดขึ้นในยุคสมัยรัฐบาลประชาธิปไตย เราคงไม่สมเพชความเป็นผู้เป็นคนของตนเองและเพื่อนร่วมชาติแบบนี้ มันเหลือเชื่อจริงๆ ที่เราใช้ทหารปกครองประเทศมายาวนาน เหลือเชื่อว่าพวกเขาก็ไม่คิดจะเลิก และฝ่ายเราเองก็อ่อนแรงเหนื่อยหน่ายจนไม่รู้จะล้ม จะไล่ปรสิตอภิสิทธิ์ชนพวกนี้อย่างไร ‘ช่วยตัวเอง’ คล้ายยามนี้เราจะทำได้เท่านี้ พึ่งรัฐไม่ได้ เพราะความเป็นรัฐล้มละลายมานานมากแล้ว ใครมีแรงดุด่า มีแง่มุมวิพากษ์วิจารณ์ ก็ว่ากันไป ใครหมดแรง หมดหวัง คงต้องหันมาบริหารเงื่อนไขเท่าที่มี เท่าที่ทำได้
ย้อนมองตัวเอง ผมคิดว่าผลกระทบหลักคือการเดินทาง ปกติแทบทุกเดือนต้องมีนัดหมายสัมภาษณ์ มีแพลนไปศึกษาหาความรู้ ซึ่งราวครึ่งขวบปีที่ผ่านมากำลังสนุกกับเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา พอ COVID-19 มา ก็จำต้องเลิก ละ เลื่อน มันเหมือนเกมที่กำลังลื่นไหลต้องเบรกกะทันหัน
ยังไม่นับการเดินทางอันเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ส่วนตัว คนไกลกัน ยามคิดถึงย่อมปรารถนาการไปมาหาสู่ เน็ตมันไม่พอหรอก บางวาระเราต้องไปฟังเสียง สบตา ไปโอบกอดสัมผัสกันแบบตัวเป็นๆ
เมื่อเดินทางไม่ได้ ร้านกาแฟที่เคยไปนั่งใช้อินเทอร์เน็ตประจำก็ทำไม่สะดวก ผมนั่งรื้อกองหนังสือที่สะสมไว้มาพลิกๆ ดู บางเล่มซื้อมานมนานและหลงลืมไปแล้ว บางเล่มก็ไม่นึกฝันว่าจะอ่านออก เช่น The Autobiography ของ Eric Clapton และ Waging Heavy Peace ของ Neil Young ที่ซื้อจากร้านหนังสือเก่าแถวประตูท่าแพ เชียงใหม่ เผลอลูบๆ คลำๆ ไปมา สุดท้ายก็อ่านไปจนจบภายในเวลาราวสิบวัน อ่านด้วยความเมามันในอารมณ์
ผมคิดเอาเองว่าสองเล่มนี้ (เล่มหนึ่งหนาเกือบสี่ร้อยหน้าอีกเล่มห้าร้อย) เป็นใบเบิกทาง เป็นหมุดหมาย เป็นความฮึกเหิม ของการเดินทางสู่โลกหนังสือภาษาอังกฤษ คล้ายประตูที่ปิดตาย มันถูกทุบทำลาย คล้ายความกลัว ความไม่เชื่อมั่น ความกักกันตัวเอง มันเปลี่ยน เปิด จากเคยกลัวก็กล้า จากไม่เคยเชื่อเลยว่าจะอ่านออก ก็ชักเริ่มเชื่อว่าเราทำได้
สองสามปีมานี้ ความสนใจของผมอยู่ที่ภาษาฝรั่งเศส พยายามร่ำเรียน ฝึกฝน พัฒนาตัวเองมาโดยลำดับ (ทริป ‘เสียมเรียบ’ เป็นโรงเรียนภาคสนามที่กำลังหลงใหล) เตาะแตะ เชื่องช้า ทว่าคืบหน้าไปทีละน้อย ผมเป็นคนที่ไม่ประสีประสากับภาษาอังกฤษเลย (เรียนมัธยมฯ มาแบบทิ้งขว้าง ไม่สนใจ พอเข้ามหา’ลัยก็เรียนตอนอยู่ปีหนึ่งปีเดียว จากนั้นก็เลิกแล้วต่อกัน–โอ…เหตุการณ์มันสามสิบกว่าปีมาแล้ว) แต่ไหนแต่ไรมา ผมจัดตัวเองอยู่ในชมรม ‘ผู้ไม่รู้ภาษาอังกฤษ’ และไม่เคยคิดจะรื้อฟื้น หรือหันไปฝักใฝ่ ไยดี กระทั่งเจอปีศาจ COVID-19 เมื่อไปไหนไม่ได้ ก็ลองๆ ดู
มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เปิดตาเปิดใจอย่างแท้จริง เหมือนผมค้นพบถนนอีกสายหนึ่ง ค้นพบโลกอีกใบหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่ายังห่างไกลกับคำว่าคล่องแคล่ว เชี่ยวชาญ รอบรู้ แต่เริ่มมองเห็นแสง มีประกาย คล้ายในมุมมืดๆ นั้นมีเปลวเทียนรำไร มีแรงดึงดูดให้เดินเข้าไปอีก ขยับเข้าไปอีก
ผมตื่นเต้น เพลิดเพลิน และอยากเดินเข้าไป พยายามเดินต่อไปให้ลึกที่สุด ไกลที่สุด
ไม่ว่าชั่วคราวหรือยาวนาน
อาชีพที่ผมทำอยู่เรียกร้องการแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เสมอ กระทั่งไม่ว่าจะมีวิกฤติร้ายแรง หรือไม่มี อาชีพที่ผมทำอยู่ ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ ปัจจัยภายนอกจะเป็นอย่างไรล้วนเป็นเรื่องรองเรื่องหลัก–ตราบเท่าที่ผมยังคิดจะทำอาชีพนี้อยู่ ความรู้ต้องมาก่อน มันคล้ายเสาเข็มของอาคาร ไม่มีไม่ได้ ไม่มีแล้วรากจะหลุดลอยลมพัดก็ล้ม
น้อยแค่ไหนก็ตาม แต่ละวันความรู้ควรคืบหน้า สรรหาวิธีทำให้ก้าวหน้า
ทั้งภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ ผมเรียกตัวเองว่านักเรียนฝึกหัด เป็นพวกมือใหม่ ผู้มาใหม่ ยิ่งอย่างหลังนี่ถ้าไม่มี COVID-19 ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้เริ่ม ได้เรียน แต่ผมไม่ขอบคุณปีศาจ ไม่มองเห็นเป็นข้อดีว่า–นี่ไง ในท่ามกลางภัยพิบัติก็มีแง่งามเกิดขึ้นได้ ถ้าเราไม่ยอมจำนน
ปีศาจคือปีศาจ ผมไม่รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณปีศาจ ผมยืนอยู่คนละฝั่งกับมัน ผมสาปแช่งให้มันพังพินาศ เจ้าปีศาจจงดับสูญ และเอาใจช่วยให้มนุษย์กลับมามีเสรีภาพโดยเร็ว ไม่ว่าธุรกิจ การงาน เดินทาง การศึกษาเล่าเรียน อำนาจและการปกครอง กระทั่งความรัก เราต้องเดินอยู่ในลมหายใจของเสรีภาพเท่านั้น
ยามนี้ ถ้าจะมีความหวังอะไรสักอย่าง ผมอยากให้เราตระหนักในโครงสร้างการเมืองไทยชัดๆ ใครเป็นผู้เล่น ใครเป็นตัวละครที่รับบทไหน อ่านตัวระบอบให้ขาด แล้วเลือกว่าจะเดินไปกับมันอย่างไร นี่เป็นวันเวลาที่สังคมไทยเปลือยตัวเองล่อนจ้อนที่สุดแล้ว อ่อนแอกะปลกกะเปลี้ยที่สุดแล้ว
ในสถานการณ์เฉพาะหน้า ใครมีเงิน มีงาน หรือใครต้นทุนดี อาจดูได้เปรียบ ดูสุขสบาย แต่ไม่จริงหรอก ถ้าสังคมโดยรวมล่ม ที่สุดมันก็จะลามและล่มไปด้วยกัน
ไผ่ลำเดียวอยู่ไม่ได้ คนต้องระดมสมอง รวมพลัง
ถามว่าแล้วทำอย่างไรให้รอด ผมคิดว่าคำตอบคือต้องแก้การเมืองให้ถึงรากถึงโคน
แก้แล้ว ใครจะสวมเสื้อสีไหน ชอบกินอะไร ชอบทำอะไร นั่นเป็นสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล