จับชีพจรวงการเพลงไทย ผ่ากลยุทธ์ปลดล็อกศักยภาพศิลปินสู่ตลาดสากล

ในโลกที่มีการสื่อสารผ่านภาษากว่าร้อยภาษา ดนตรียังคงเป็นภาษาสากลที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันอย่างไร้พรมแดน เพราะสามารถถ่ายทอดความรู้สึกได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด จากอดีตที่การเข้าถึงดนตรีเป็นเรื่องยาก ปัจจุบันแพลตฟอร์มสตรีมมิงและโซเชียลมีเดียได้เปิดโอกาสให้ศิลปินไทยก้าวสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้หลายคนที่เคยเป็นแค่ผู้ฟังได้กลายเป็นหนึ่งในผู้สร้างสรรค์ผลงานเพลงเข้าสู่ตลาดด้วย ข้อมูลของสมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศ (IFPI) และสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจบันเทิงไทย (TECA) ตลาดเพลงของไทยอยู่ที่อันดับที่ 26 ของโลก และมีรายได้อยู่ที่ 107.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีขนาดตลาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ทำให้ไทยกลายเป็นผู้นำของตลาดเพลงในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตาม การก้าวไปสู่เวทีระดับโลกไม่ใช่เพียงการสร้างผลงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้น การได้ไปแสดงในเทศกาลดนตรีระดับสากล ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ศิลปินไทยได้โชว์ศักยภาพและสร้างชื่อเสียงบนเวทีโลก บทความนี้จะพาไปสำรวจทิศทางของวงการเพลงไทยในยุคดิจิทัล พร้อมเจาะลึกเส้นทางที่จะนำพาดนตรีของไทยไปสู่เวทีระดับโลกผ่านความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน รวมถึงโครงการสำคัญอย่าง Music Exchange ไปพร้อมกัน

อมตะเพลงเก่า ผสานการประยุกต์แนวดนตรีสมัยใหม่ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมดนตรีไทยในยุคดิจิทัลอุตสาหกรรมดนตรีของไทยกำลังอยู่ในคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงและการกลับมาของกระแสความนิยม เราเห็นการรีมิกซ์ การนำเพลงเก่ามาตีความใหม่ และการผสมผสานแนวดนตรีจากยุคต่าง ๆ เข้ากับสไตล์ร่วมสมัย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการเพลงไทยเติบโตอย่างโดดเด่น ทั้งในแง่ของศิลปิน ผลงานเพลง อีเวนต์ คอนเสิร์ต และตลาดสินค้า Merchandise ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งของการเติบโตนั้นมาจากการกลับมาของเมโลดี้จากยุค 2000 และกระแส Y2K ที่ศิลปินรุ่นใหม่ได้นำมาประยุกต์และตีความใหม่ให้เข้ากับยุคปัจจุบัน ผ่านการรีมาสเตอร์ รีเมก หรือคัฟเวอร์เพลงฮิตในอดีต ซึ่งช่วยให้ดนตรีไทยในปัจจุบันสามารถเชื่อมโยงผู้ฟังจากหลายเจเนอเรชันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ แนวเพลงอย่าง T-Pop, บอยแบนด์ และเกิร์ลกรุ๊ปในไทยที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ยังมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เนื้อหาที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟัง และการนำเสนอผ่านมิวสิกวิดีโอที่มีเรื่องราวและวิชวลที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยสร้างภาพจำและเพิ่มมูลค่าให้กับผลงานได้ อีกทั้งศิลปินไทยในยุคใหม่ยังมีความกล้าในการทดลองแนวเพลงใหม่ ๆ กล้าฉีกกรอบ และเปิดรับวัฒนธรรมดนตรีที่หลากหลาย ทำให้สามารถนำเสนอผลงานที่สดใหม่และตอบโจทย์ตลาดโลกได้อย่างน่าสนใจ ในขณะที่การเติบโตของแพลตฟอร์มสตรีมมิงและโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการขยายฐานผู้ฟังไปสู่ระดับนานาชาติ โดย 88% ของการเติบโตในอุตสาหกรรมดนตรีไทยมาจากแพลตฟอร์มสตรีมมิง แม้ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลกอย่าง Spotify และ Apple Music จะมีในประเทศไทย แต่ยังต้องเผชิญการแข่งขันจากแพลตฟอร์มท้องถิ่นอย่าง JOOX ที่ปรับปรุงสินค้าและบริการให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย โดยการสร้างพันธมิตรกับศิลปินและค่ายเพลงท้องถิ่น เพื่อนำเสนอเนื้อหาดนตรีไทยที่หลากหลาย

นอกจากนี้ AI กำลังมีบทบาทสำคัญในการอุตสาหกรรมเพลง โดยเฉพาะในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของผู้ฟังในแต่ละประเทศ โดยใช้ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการฟังของผู้ใช้และปรับแต่งเพลย์ลิสต์เฉพาะบุคคลที่ตรงกับรสนิยมและความชอบ ทำให้ผู้ฟังสามารถค้นพบเพลงใหม่ ๆ ที่ตรงกับความต้องการได้มากขึ้น และทำให้แพลตฟอร์มสตรีมมิงสามารถมอบประสบการณ์ที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานได้มากขึ้น โดยเฉพาะเพลงที่มีท่อนฮุกติดหู หรือสามารถเต้นตามได้ ซึ่งตอบสนองพฤติกรรมของผู้ฟังในยุคนี้ที่ให้ความสำคัญกับกระแสไวรัลและการมีส่วนร่วมของแฟนคลับ การสร้างประสบการณ์ทางดนตรีทั้งหมดนี้เป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้ศิลปินไทยสามารถสร้างฐานแฟนเพลงระดับโลก และก้าวขึ้นเป็นผู้นำเทรนด์ดนตรีในอนาคต
สั่งสมประสบการณ์ทางดนตรี จากภูมิภาค สู่เส้นทางโลดแล่นในเทศกาลดนตรีระดับโกลบอล

ขณะเดียวกันในการเติบโตของอุตสาหกรรมดนตรีไทยในยุคดิจิทัลไม่เพียงเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่เวทีดนตรีสดระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้ศิลปินไทยก้าวสู่เวทีระดับสากลได้ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่ตลาดดนตรีสดยังคงเติบโตและได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเทศกาลดนตรีที่มีชื่อเสียงในภูมิภาคนี้อย่างหลากหลาย เช่น HYPEFEST Hong Kong ที่ดึงดูดผู้ชมกว่า 28,000 คน เทศกาล Clockenflap ที่ประเทศฮ่องกงซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 60,000 คนต่อปี หรือจะเป็น Summer Sonic กับ Fuji Rock Festival ในประเทศญี่ปุ่นที่ดึงดูดผู้ชมเกือบ 100,000 คนในแต่ละปี เหล่านี้ล้วนเป็นสมรภูมิอย่างดีที่ศิลปินสามารถสะสมชื่อเสียงและเตรียมตัวสำหรับการก้าวสู่เวทีระดับโลก เช่น เทศกาลโคเชลลา (Coachella Valley Music and Arts Festival) หนึ่งในเทศกาลทางดนตรีที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ท้องถิ่นนับหมื่นล้านบาท พร้อมยกระดับชื่อเสียงและประสบการณ์ของศิลปินให้ก้าวไปสู่ระดับสูงสุดในวงการ นอกจากนี้ การแสดงเทศกาลดนตรีในเอเชียยังช่วยให้ศิลปินได้ขยายฐานแฟนเพลงและตลาดในเอเชีย ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่โอกาสทางธุรกิจในระดับสากล
Music Exchange กุญแจไขประตูสู่เวทีดนตรีสากล

เพื่อสนับสนุนศิลปินไทยให้ก้าวสู่เวทีระดับโลก สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) และอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี ได้จัดทำโครงการ Music Exchange ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยผลักดันศิลปินไทยผ่านกิจกรรม “PUSH” และ “PULL” โดยการเชิญผู้จัดเทศกาลดนตรีและผู้คัดเลือกศิลปินจากต่างประเทศมาชมการแสดงของศิลปินไทย พร้อมจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อเชื่อมโยงศิลปินกับผู้จัดงานระดับโลก โดยในปี 2567 โครงการ Music Exchange ได้สนับสนุนศิลปินไทยกว่า 48 ราย ให้แสดงใน 46 เทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ รวมกว่า 70 โชว์ สร้างโอกาสทางธุรกิจมากกว่า 300 ครั้ง และสร้างการมองเห็นมากกว่า 30 ล้านครั้ง ตัวอย่างศิลปินที่โดดเด่น คือ ดรีมแกลส์ (DREAMGALS) จากค่าย YUPP! ที่เพิ่งเดบิวต์ไม่นานก็ได้รับโอกาสแสดงใน HYPEFEST Hong Kong ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีที่ได้รับความสนใจจากผู้ชมจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีศิลปินจากโครงการ เช่น เกบ วัทคิ่นส์ (Gabe Watkins) ศิลปินลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียที่มีสไตล์เพลงแนวอินดี้ป๊อปสากล ดาวรุ่งมาแรงแห่งค่าย What The Duck รวมถึง ยลภา (YONLAPA) วงอินดี้ป๊อปร็อกเมดอินเชียงใหม่ และ น้ำชา (Numcha) ณัฐธชา ชูเกษ นักร้องและนักแต่งเพลงอิสระชาวไทย ที่สร้างสรรค์บทเพลงจากประสบการณ์ชีวิต ซึ่งได้รับโอกาสจากโครงการขึ้นแสดงในงานเทศกาลดนตรีระดับนานาชาติ สร้างโอกาสในการขยายฐานแฟนคลับ พร้อมทั้งได้รับการติดต่อจากผู้จัดงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งช่วยเปิดประตูสู่เส้นทางระดับสากลได้อย่างรวดเร็ว

ดร. ชาคริต พิชญางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวว่า “การผลักดันศิลปินไทยสู่เวทีระดับนานาชาติไม่ใช่เพียงความพยายามของตัวศิลปินเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยโครงสร้างสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ โครงการ Music Exchange จึงมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างโอกาสให้ศิลปินไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ผ่านการสร้างเครือข่ายและการเชื่อมโยงกับผู้จัดเทศกาลดนตรีระดับโลก”
ทั้งนี้ในปี 2568 โครงการ Music Exchange จะมุ่งเน้นการขยายโอกาสให้ศิลปินไทยก้าวสู่เวทีโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มจำนวนเทศกาลที่ศิลปินไทยเข้าร่วม และพัฒนากลยุทธ์สนับสนุนที่ตอบโจทย์ความต้องการของศิลปิน เพื่อให้ศิลปินไทยไม่เพียงมีพื้นที่บนเวทีระดับโลก แต่ยังสามารถสร้างอิทธิพลทางดนตรีและวัฒนธรรมที่สะท้อนเอกลักษณ์ของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง

ศิลปินที่สนใจเข้าร่วมโครงการและไม่อยากพลาดโอกาสทองในครั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ Music Exchange ได้ที่เว็บไซต์ www.cea.or.th และเฟซบุ๊ก Creative Economy Agency
