ทุกความเคลื่อนไหวแห่งศิลปะและสไตล์ไตรมาสสุดท้ายปี 2022
และวันเวลาก็ผันผ่านมาจนถึงช่วงที่ฝนโปรยกับลมพัดเย็นพอให้รู้สึกผ่อนคลาย ในที่สุด ปี 2022 ก็เดินทางมาถึงไตรมาสสุดท้ายแล้ว แต่ความเคลื่อนไหวในงานออกแบบกับศิลปะที่น่าสนใจ ก็ยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วน และดูจะมากขึ้น ในขณะที่ปฏิทินเดินทางไปสู่ช่วงสุดท้ายของปี และ GM Live ขอนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจในโลกแห่งสีสัน แฟชั่น และงานออกแบบมาให้รับชมกันอีกเช่นเคย
**Jim Thompson เปิดบ้าน Heritage Quarter ให้เป็นศูนย์กลางแห่งสไตล์ใจกลางเมือง**
Jim Thompson แบรนด์ผ้าไหมระดับไอคอนิกของเมืองไทย เปิดบ้านกลางเมืองให้เป็น Jim Thompson Heritage and Creative Quarter ศูนย์กลางแห่งสไตล์ ซึ่งนอกจากพิพิธภัณฑ์บ้าน Jim Thompson House Museum อาณาจักรเรือนไทยอันงดงามที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นักท่องเที่ยวยังจะได้พบกับโซนกิจกรรมและพื้นที่จัดแสดงใหม่อีกมากมาย ได้แก่ Museum about the Man, Home Furnishing Exhibition, Silk Café และ Iconic Store โฉมใหม่ รวมถึง Jim Thompson Art Center ที่อยู่ใกล้เคียงกัน ตอบโจทย์ผู้มาเยือนและนักท่องเที่ยว ทั้งสายอาร์ต สายประวัติศาสตร์ และสายช็อปแบบครบจบในที่เดียว เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยคุณค่าแห่งศิลปวัฒนธรรมและความสวยงามทันสมัยอย่างสมบูรณ์แบบ
Jim Thompson Heritage Quarter พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการสัมผัสศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมอันงดงามของไทย ร่วมตื่นตาตื่นใจไปกับจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์นวัตกรรมอันโดดเด่น เพียงก้าวแรกที่เข้าสู่โครงการ ผู้มาเยือนจะได้ดื่มด่ำกับความวิจิตรงดงามของกลุ่มสถาปัตยกรรมเรือนไทยซึ่งเคยเป็นบ้านของจิม ทอมป์สัน และพื้นที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของราชาไหมไทย (The Thai Silk King) ตลอดจนได้แนวทางการสร้างบริษัทเพื่ออนุรักษ์วิถีการทอผ้าไหมแบบดั้งเดิมของไทย และการเปลี่ยนแปลงสู่อาณาจักรสมัยใหม่ในปัจจุบัน
**Onitsuka Tiger กับคอลเลคชัน Spring/Summer ในงาน Milan Fashion Week**
Onitsuka Tiger นำเสนอคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2023 ระหว่างงาน Milan Fashion Week ในวันพุธที่ 21 กันยายน 2022 ภายใต้การดูแลของครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ Andrea Pompilio (อันเดรีย ปอมปิลิโอ) นี่ถือเป็นครั้งที่สี่ที่แบรนด์ได้เข้าร่วมงาน Milan Fashion Week นับตั้งแต่เปิดตัวในฤดูกาล Autumn/Winter 2021
ธีมของคอลเล็กชั่นนี้คือความมินิมอลสไตล์ญี่ปุ่น คอลเล็กชั่นนี้แสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดของความงามผ่านสุนทรียศาสตร์ของการหักลบที่ขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป Pompilio ยกระดับจิตวิญญาณสปอร์ตตี้ของแบรนด์และก้าวข้ามขอบเขต โดยตีความใหม่ให้มีความเรดี้ทูแวร์เป็นหลัก: จิตวิญญาณของมหานครยังคงเหมือนเดิม แต่มีการเพิ่มการใช้ผ้าและเพิ่มโครงสร้างอันซับซ้อนเข้ามา
คอลเล็กชั่นนี้ได้ถูกนิยามด้วยรายละเอียดต่างๆที่เปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดาให้กลายเป็นงานดีไซน์ เสื้อผ้าทุกชิ้นผลิตในญี่ปุ่น ด้วยซิลูเอตที่พลิ้วไหวแต่ก็มีความกระฉับกระเฉงและความใส่ใจในรายละเอียด โดยเริ่มจากการปักโลโก้ด้วยตะเข็บซิกแซก ตลอดจนการตกแต่งกุ๊นชายผ้า รูปทรงของร่างกายเป็นจุดโฟกัสของการพัฒนาเชิงสร้างสรรค์และได้รับการออกแบบใหม่ด้วยโครงสร้างที่หยิบยืมมาจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น เชือกดึงแบบยาว การเปลี่ยนเสื้อยืดผ้าจอเจียร์แบบโอเวอร์ไซส์ให้กลายเป็นเสื้อปักลายนูน หรือกระโปรงที่ทำจากผ้าไนลอนญี่ปุ่นพร้อมการจับพลีทที่ชวนให้นึกถึงกางเกงฮากามะเครื่องแบบของนักธนูคิวโด ในส่วนของรูปทรงกิโมโนนั้นก็มีปรากฏให้เห็นตลอดทั้งคอลเล็กชั่นท่ามกลางรอยแยกของแขนเสื้อสตรีที่ยาวและกว้าง เหมือนกับกำลังกระพือปีกยามเคลื่อนไหว หรือที่เห็นได้อย่างชัดเจนในรูปแบบของการคลุมผ้าขนหนูชายหาดตกแต่งโลโก้ ที่คลุมอยู่บนเสื้อกล้าม
ในส่วนของนิตแวร์นั้นมีลายเส้นที่ดูสะอาดตา และชุดจั๊มสูทอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นั้นมาในเวอร์ชั่นทรงโค้งและมีความกว้างเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามองค์ประกอบของการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ก็ยังปรากฏอยู่ในรายละเอียดต่างๆของคอลเล็กชั่น เช่น เดรสผ้าไนลอนบางเบาทรงซาฟารีที่สามารถย่อให้สั้นลงได้ด้วยซิปที่ซ่อนอยู่ และมินิสเกิร์ตที่สั้นพอๆกับกางเกงเดินป่าก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนรูปทรงใหม่ด้วยกระเป๋าขนาดใหญ่ที่ปะอยู่ด้านข้าง
**ASICS กับสนีกเกอร์รุ่นใหม่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม**
ASICS (เอสิคซ์) เปิดตัวสนีกเกอร์โมเดล GEL-LYTE™ III CM 1.95 ใหม่ ที่ปล่อย CO2e ออกมาเพียงแค่ 1.95 กิโลกรัม ตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ โดยปล่อย CO2e น้อยยิ่งกว่าสนีกเกอร์ที่ปล่อย CO2e น้อยที่สุดในตลาด ณ ปัจจุบัน
ASICS ใช้ระยะเวลากว่า 10 ปีในการวิจัยและพัฒนาสนีกเกอร์ GEL-LYTE™ III CM 1.95 โดยจุดเริ่มต้นนั้นมาจากการที่ ASICS ได้ไปร่วมมือกับ Massachusetts Institute of Technology (MIT) ในช่วงปี 2010 เพื่อหาวิธีในการวัดค่าการปล่อย CO2e ตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ของสนีกเกอร์
เพื่อเป็นการพัฒนางานวิจัยและการนำมาประยุกต์ใช้ ASICS สามารถสร้างประโยชน์เพิ่มขึ้นมากมาย สำหรับ 4 ขั้นหลักของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (ทั้งในเรื่องวัสดุและการผลิต การขนส่ง อายุการใช้งาน และช่วงที่สินค้าหมดอายุการใช้งาน) โดยทั้งหมดทั้งมวลสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัยชิ้นนี้คือสนีกเกอร์ GEL-LYTE™ III CM 1.95 ที่สามารถยกระดับความยั่งยืนโดยยังคงไว้ซึ่งคุณภาพอันยอดเยี่ยม
โดยสนีกในซีรีส์นี้เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์แห่งสุดยอดนวัตกรรมที่มาพร้อมกับโฟมคาร์บอนติดลบตัวใหม่ (Carbon Negative Foam) ที่อยู่บริเวณพื้นรองเท้าชั้นกลางและแผ่นรองพื้นรองเท้าที่ทำจากพอลิเมอร์ที่มาจากธรรมชาติ3 โดยทำมาจากอ้อย เพื่อส่งมอบความสบายอย่างเหนือระดับและคุณภาพที่ยั่งยืน
รายละเอียดการดีไซน์อื่นๆ ในรองเท้านั้นยังมีการใช้โพลีเอสเตอร์ที่ผ่านการย้อมและยังผ่านกระบวนการรีไซเคิลเพื่อนำมาเป็นวัสดุในส่วนของอัปเปอร์ของรองเท้า อีกทั้งยังมีผ้าตาข่ายบริเวณแผ่นรองพื้นรองเท้า ซึ่งเป็นการสะท้อนในเป้าหมายของ ASICS ในการค้นหาแหล่งวัตถุดิบโพลีเอสเตอร์ที่ผ่านการรีไซเคิล 100% ภายในปี 2030 โดยรองเท้าคู่นี้ยังมากับโครงสร้างใหม่โดยการใช้เทปที่ทำให้ใช้วัสดุได้น้อยลงด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% รวมถึงยังใช้ตลอดขั้นตอนการผลิต
สนีกเกอร์โมเดลใหม่ล่าสุดอย่าง GEL-LYTE™ III CM 1.95 ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นความมุ่งมั่นที่สำคัญของ ASICS ที่มีเป้าหมายในการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero emissions) ภายในปี 2050 ที่จะช่วยให้คนรุ่นใหม่ในอนาคตสามารถสัมผัสประสบการณ์ของพลังแห่งความสุขจากการเล่นกีฬาที่มีต่อจิตใจ
**MUJI ปักธงแลนด์มาร์ค ขยายสาขาใหม่ที่ The EmQuartier**
MUJI แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติญี่ปุ่น ปักธงเปิดร้านสาขาใหม่ MUJI The EmQuartier ภายใต้แนวคิด “ความเรียบง่าย และเป็นธรรมชาติ” ส่งมอบประสบการณ์ความเป็น MUJI ครั้งใหม่ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจและย่านไลฟ์สไตล์คนเมือง ด้วยหลากหลายซิกเนเจอร์ประจำร้าน MUJI บนพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร เกือบทั้งชั้น 2 ของ ดิ เอ็มควอเทียร์ ที่พร้อมให้ช้อปปิ้ง รับประทานอาหาร ดื่มกาแฟ นั่งชิล และนัดพบปะทำกิจกรรมต่าง ๆ
สำหรับการออกแบบร้าน MUJI The EmQuartier ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด “ความเรียบง่าย และเป็นธรรมชาติ” ตกแต่งบรรยายกาศภายในร้าน ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบายตา มินิมัล ด้วยโทนสีและการจัดวางสินค้าในร้านที่เป็นสไตล์ MUJI แต่ยังคงผสมผสานเข้ากับเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่นในภูมิภาคนั้น ๆ ตามแนวคิดโลคอลไลซ์ (Localize) ของ MUJI โดยใช้ไม้เก่าที่คัดสรรจากในพื้นที่ทุกภูมิภาคของประเทศไทยมาเป็นวัสดุตกแต่งภายในร้าน พร้อมสี่โซนสุดพิเศษให้เลือกใช้เวลาได้อย่างน่าอภิรมย์ กับสินค้าในไลน์ของ MUJI ที่มีให้เลือกซื้ออย่างมากมาย