fbpx

อบอุ่นไอรัก กับ 5 หนังดี ต้อนรับเทศกาลแห่งความรัก

เรื่อง: กัณต์ โภคาชัยพัฒน์

เดือนมกราคมก้าวผ่านมาถึงกลางทาง และสัญญาณแห่งเดือนกุมภาพันธ์แห่งความรักเริ่มใกล้เข้ามาทุกที ในวาระแห่งวันวาเลนไทน์นี้ นอกเหนือจากดินเนอร์สุดหรู ดอกไม้แทนใจที่ และของขวัญหลากหลายชนิดที่จะมอบให้แก่กันแล้ว การรับชมภาพยนตร์ ก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์อันดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนักรัก ที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบ หลากหลายสไตล์ ซึ่งทาง GM LIVE ขอนำเสนอ 5 หนังรักฉลองวาเลนไทน์ ที่จะทําให้หัวใจเต็มอิ่มไปด้วยความสุขและความรู้สึกดีๆ

City Lights Charlie Chaplin

เริ่มต้นที่ลิสต์แรกด้วยภาพยนตร์สุดซึ้งของชายผู้เปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะ Charlie Chaplin นักแสดงตลกผู้เป็นตำนาน และผู้กำกับยอดฝีมือ กับผลงานระดับ Masterpiece ขิ้นชื่อที่นักวิจารณ์ต่างชื่นชมของเขาอย่าง City Lights

City Lights บอกเล่าเรื่องราวของชายจรจัด (รับบทโดย Charlie Chaplin) ผู้ที่ตกหลุมรักกับหญิงสาวขายดอกไม้ตาบอดผู้มีจิตใจอันงดงาม (รับบทโดย Virginia Cherrill นักแสดงหญิงผู้โด่งดังแห่งยุค) หนุ่มจรจัดคนซื่อ จึงพร้อมทำทุกวิถีทาง เพื่อหาเงินมาซื้อแสงสว่างแห่งดวงตา มารักษาให้กับหญิงสาวที่เขามีใจให้

City Lights จัดได้ว่าเป็นผลงานที่แสดงความเป็นอัจฉริยะภาพทางด้านแผ่นฟิล์มของ Chaplin อย่างถึงที่สุด เพราะนอกจากจะเขียนบทแล้ว เขายังทำหน้าที่ประพันธ์ดนตรี แสดงนำ และกำกับการแสดงไปพร้อมกัน และผลสำเร็จโดยรวมก็คือความงดงามแห่งโลกภาพยนตร์เลยก็ว่าได้

ความพิเศษที่ทำให้ City Lights อยู่ในความจดจำของผู้รับชม อยู่ที่ศาสตร์การเล่าเรื่องด้วยภาพล้วนๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีเสียง ในฐานะหนังใบ้ (ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีในเวลานั้น) แต่ทุกอย่าง สามารถสื่อสารออกไปได้อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา และเข้าใจได้โดยง่าย ไม่ต้องขยายความเพิ่มเติมอันใด

อีกทั้งมุกตลกสไตล์เอาตัวเข้าแลก เล่นเองเจ็บเอง หรือที่เรียกกันว่า ‘Slapstick Comedy’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Chaplin นั้น ก็ยังมีอยู่ครบถ้วน แต่ในพาร์ทของดราม่าเรียกน้ำตา ก็ยังฝากความตื้นตัน และความประทับใจให้กับผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด เพราะลำพังแค่หญิงสาวที่เข้าใจว่าหนุ่มจรจัด คือเศรษฐี ที่จะมาช่วยให้ตัวเองมองเห็นได้อีกครั้ง กับความกลัวของเจ้าหนุ่มว่าหญิงสาวจะรู้ความจริง ก็ทำให้เราคนดูลุ้นกันแทบตายแล้ว

แต่บางที ความรู้สึกอันแสนบริสุทธิ์ของหญิงสาว ก็อาจจะเปรียบได้ดั่งแสงสว่างแห่งนครใหญ่ ที่ช่วยนำทางให้หนุ่มคนซื่อ ได้เดินหน้าต่อไปก็เป็นได้

Eternal Sunshine of the spotless Mind – Michel Gondry

เคยบ้างไหมกับการอยากลบความทรงจำบางอย่างออกไป ความทรงจำอันขมขื่นเลวร้ายที่ไม่อยากนึกถึง ถ้าหากว่าคุณเคยมีความรู้สึกเช่นนี้ บางทีการได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะสามารถเปลี่ยนความคิดนั้นก็เป็นได้

Eternal Sunshine of the spotless Mind บอกเล่าเรื่องราวของ Joel (นำแสดงโดย Jim Carrey) ผู้ที่พบว่า Clementine (นำแสดงโดย Kate Winslet) แฟนสาว ได้ใช้บริการ ‘ลบความทรงจำ’ เกี่ยวกับตัวเขาจากบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง และเขาเองก็ไม่อยากใช้ชีวิตในความเจ็บปวดนั้น และเข้าไปขอใช้บริการจากบริษัทดังกล่าว

แต่ในขณะที่กระบวนการลบความทรงจำกำลังดำเนินไป Joel ตั้งคำถามในใจ ว่าเขาต้องการจะลบทุกสิ่งออกไปจริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดก็ยังคงมีความหมาย และความงดงามที่ซ่อนอยู่ก็มีค่าเกินกว่าที่จะให้สูญสลายหายไป

เสน่ห์ของ Eternal Sunshine of the spotless Mind นั้น อยู่ที่การบอกเล่าเนื้อหาอย่างไม่เรียง Timeline แต่ตัดสลับไปมาระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบัน สะท้อนภาพความสัมพันธ์ตั้งแต่เริ่มต้น ความขัดแย้งของทั้ง Joel และ Clementine และการ ‘ลบความทรงจำ’ ของบริษัทเทคโนโลยี ประหนึ่งการต่อจิ๊กซอว์ให้คนดูปะติดปะต่อจนกลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ในตอนท้าย ซึ่ง Michel Gondry สามารถคุม Sequences ได้อย่างอยู่หมัด จากประสบการณ์การกำกับมิวสิควิดีโอมาหลายต่อหลายชิ้น

เหนือสิ่งอื่นใด เนื้อสารที่หนังเรื่องนี้สื่อออกมา นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะการ ‘ลบความทรงจำ’ ในเรื่อง เป็นภาพเปรียบเปรยประหนึ่งการที่คู่รักเลิกรากัน และไม่อยากจะมีความทรงจำใดๆ ของอีกฝั่งติดค้างอยู่อีกต่อไป และการกระทำของทั้ง Clementine กับ Joel ก็คือความใจร้อนจากสภาวะอารมณ์ชั่ววูบนั้นๆ

แต่เมื่อทำใจให้สงบ ทบทวนด้วยสติ ก็เป็นทั้งสองฝ่าย ที่พบว่า ต่างคน ต่างรักอีกฝั่งมากมายแค่ไหน และต่างให้คุณค่ากับ ‘ความทรงจำ’ ที่มีต่อกันมากมายเพียงใด และการที่ Joel พยายามยื้อความทรงจำที่กำลังถูกกระบวนลบออกไปอย่างสุดความสามารถ ก็เป็นภาพแทนของการยื้อ และยื่นมือเพื่อเรียนรู้ และประสานรอยร้าว เพื่อ ‘เริ่มต้นใหม่’ อีกครั้ง เราไม่อาจรู้ได้ว่า หากทั้งสองลบความทรงจำจนหมดสิ้น ไม่มีสิ่งใดตกค้าง แล้วกลับมาคบหากันอีก ความรักจะประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ แต่ Eternal Sunshine of the spotless Mind ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ ในการนำเสนอภาพของความสัมพันธ์ที่ผ่านการเรียนรู้ บทเรียนจากความเจ็บปวด และการเริ่มต้นใหม่อย่างมีวุฒิภาวะอีกครั้ง

As Good as It Gets – James L.Brooks

จะมีสักกี่เรื่องที่นักแสดงนําสองคนได้รับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนํายอดเยี่ยมพร้อมกันแต่ As Good as It Gets เป็นหนึ่งในนั้น

As Good as It Gets พูดถึงเรื่องราวของ Melvin Udall (นำแสดงโดย Jack Nicholson) นักเขียนนิยายแนวโรแมนติกขายดีชื่อดัง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder, OCD) ที่ทำให้เขาเจ้าระเบียบ เกลียดความสกปรก และเป็นคนที่ ‘ไม่น่าคบหา’ ต่างจากงานเขียนราวฟ้ากับเหว ที่มีเหตุให้ต้องไปตกบันไดพลอยโจนกับ Carol Connelly (นำแสดงโดย Helen Hunt) สาวเสิร์ฟจิตใจดีและ Simon (นำแสดงโดย Greg Kinnear) เพื่อนบ้านที่เป็นเกย์

ถ้าจะเรียกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนัง ‘Feel-Good’ แบบแท้จริงก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่ได้ชมเรื่องนี้ คุณไม่มีทางที่จะไม่ยิ้มหรือหัวเราะไปกับเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะมุกตลกจากอาการปากเปราะชวนทะเลาะอยู่ร่ำไปของตัวเอก การฟาดฟันประชันกันระหว่างตัวเอกและนางเอกที่นิสัยต่างกันสุดขั้ว จนถึงประเด็นที่ไม่เคยเก่าอย่างการบูลลีทางวาจาและการเหยียดเพศที่ทุกวันนี้ กลายเป็นวิวาทะที่ได้รับการถกเถียงอย่างกว้างขวาง แต่หนังเรื่องนี้ สามารถบอกเล่าได้อย่างละเมียดยิ่ง

และเหนือสิ่งอื่นใด การแสดงชั้นเทพของทั้ง Jack Nicholson และ Helen Hunt สองคู่พระนาง ที่เคมีรับลูกกันได้ดี ที่ส่งให้เกิดพัฒนาการของตัวละครอย่าง Melvin จากนักเขียนนิสัยเสียไม่มีใครอยากคบหา ถึงขั้นที่ว่า Carol ออกปากว่า ‘คุณมันไม่เคยรักใครเลย’ ไปสู่ชายผู้ที่ดีขึ้น รักผู้สัตว์ แคร์ผู้คน และมีจิตใจที่มั่นคง เป็น ‘คนที่ดีขึ้น’ สมกับประโยคที่เขาบอกกับ Carol ในตอนท้ายว่า ‘คุณทำให้ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น’

แล้วจะมีอะไรพิเศษไปกว่าการที่ชายคนหนึ่ง ได้พบกับหญิงสาวที่ทำให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น และอยากใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไปอีกล่ะ?

When Harry met Sally – Rob Reiner

คุณคิดว่า ชายกับหญิงไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้จริงหรือไม่? แล้วความผูกพันจากความเป็นเพื่อน จะก่อตัวเป็นความรักได้อย่างไร? หนังโรแมนติก-คอเมดี้เรื่องนี้จะพาคุณไปสำรวจในคำถามนั้น

When Harry met Sally เล่าเรื่องราวของหนุ่มสาวที่มีนามว่า Harry (นำแสดงโดย Billy Crystal) และ Sally (นำแสดงโดย Meg Ryan) ซึ่งเคยพบเจอกันครั้งแรก ด้วยเหตุจําเป็นจึงทําให้ทั้งสองต้องใช้เวลาร่วม 18 ชั่วโมงอยู่บนรถคันเดียวกัน และจากจุดนั้นเอง ที่ความสัมพันธ์อันยาวนานนับสิบปีของทั้งคู่ ได้เริ่มต้นขึ้น

เมื่อพูดถึงหนังรัก สิ่งที่ผู้ชมล้วนคาดหวังเป็นอย่างแรก คือเคมีของสองตัวหลัก ซึ่งเรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นสามารถสอบผ่านได้อย่างไร้ที่ติ นักแสดงนําอย่าง Billy Crystal สามารถถ่ายทอดบทบาทของ Harry ด้วยความเป็นยียวนกวนประสาท และเถรตรงเป็นไม้บรรทัด ที่จะเรียกเสียงฮาให้บรรดาผู้รับชม ด้านนักแสดงสาวสวยอย่าง Meg Ryan ก็สามารถถ่ายทอดความน่ารักของ Sally ที่เชื่อว่า น่าจะกลายเป็นนางในดวงใจของใครหลายคนในช่วงเวลาที่หนังได้ออกฉายเลยก็เป็นได้

หนังยังมีการสร้างฉากการสัมภาษณ์คู่รักสูงวัยหลากหลายคู่ซึ่งเป็นการตอกย้ำจากผู้กํากับถึงรักแท้ที่จะคอยช่วยดูแลกันจนแก่เฒ่า ถึงแม้ว่าคนที่ให้สัมภาษณ์ในฉากนี้จะเป็นนักแสดงแต่ด้วยการกำกับอย่างมีชั้นเชิงจึงทำให้คนดูรู้สึกราวกับว่ากําลังนั่งฟังสัมภาษณ์ของคนในชีวิตจริง

นอกเหนือจากนั้น หนังเรื่องนี้ยังประกอบด้วยฉากที่เป็นภาพจําของคนดูหนังอยู่มากมาย โดยเฉพาะฉากสุดคลาสสิคในร้านอาหารซึ่งหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ร้านอาหารที่ใช้ถ่ายทําฉากนี้มีการติดป้ายว่า “When Harry met Sally..hope you have what she had” บนโต๊ะที่นางเอกเคยนั่งอยู่ด้วย

 
และการที่หนังเรื่องนี้เล่าความสัมพันธ์ของสองตัวหลักในระยะเวลา12 ปี ทำให้ผู้ชมได้เห็นถึงการพัฒนาความสัมพันธ์จากการเป็นคนแปลกหน้าจนมาเป็นเพื่อนกัน จากเพื่อนมาสู่การเป็นเพื่อนสนิท และจากเพื่อนสนิทมาสู่การเป็นคู่รักกันในท้ายที่สุด

“ผมมาที่นี่ในคืนนี้เพราะเมื่อคุณตระหนักได้ว่าคุณอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกับคนๆ หนึ่งไปตลอดชีวิต คุณอยากให้ตลอดชีวิตของคุณเรื่มขึ้นให้เร็วที่สุด” ประโยคสารภาพรักของ Harry ที่มีต่อ Sally ที่ใช้เวลาเดินทางยาวนานกว่าทศวรรษ แม้ว่าจะไม่ใช่คำตอบของคำถามแรกเริ่มที่ว่า ชายกับหญิงจะเป็นเพื่อนกันได้หรือไม่โดยตรง แต่น่าจะเป็นคำตอบของคนที่พร้อมจะรักใครสักคน และอยากจะมีคนคนนั้นเคียงข้างอยู่ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเป็นแน่

Casablanca – Michael Curtiz

หากจะจบลิสต์นี้โดยการไม่เอ่ยถึงชื่อของ Casablanca นั้นคงจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายยิ่งนักเพราะภาพยนตร์คลาสสิคตลอดกาลเรื่องนี้ ไม่เพียงเป็นหนึ่งในหนังโรแมนติกที่ดีที่สุด แต่ยังเป็นหนึ่งในหนังที่เหล่านักวิจารณ์ต่างเห็นพ้องว่า เป็นหนังที่ดีที่สุดตลอดกาลเท่าที่เคยมีการสร้างมาเลยทีเดียว

Casablanca เป็นเรื่องราวในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฝรั่งเศสถูกคุกคามโดยกองทัพนาซี ทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องการที่จะย้ายถิ่นฐานไปยังสหรัฐอเมริกา หากแต่ว่าการขอวีซ่านั้น จะต้องทําที่เกาะ Casablanca ซึ่ง Rick Blaine (นำแสดงโดย Humphrey Bogart นักแสดงหนุ่มหล่อขวัญใจตลอดกาลผู้ล่วงลับ) ผู้เป็นเจ้าของไนท์คลับใน Casablanca นั้น มีวีซ่าติดตัวอยู่ จึงทําให้ Ilsa Lund (นำแสดงโดย Ingrid Bergman นักแสดงหญิงดาวรุ่ง) อดีตคนรัก ที่ได้ทิ้งเขาไปหาชายอื่นเมื่อนานมาแล้ว กลับมาหา Rick เพื่อขอวีซ่าในการเดินทางสู่ชีวิตใหม่ในอีกฟากของโพ้นทะเล

ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์แนว Film Noir ขาวดำถูกนำเสนอได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมด้วยเพลงประกอบอันโหยเศร้าร้าวลึก โดยเฉพาะเพลง As time goes By ที่ถือได้ว่าเป็นเพลงแจ๊สสุดคลาสสิคจึงทําให้บรรยากาศโดยรวมนั้นช่างดูเหงาไม่ต่างจากอารมณ์ตัวเอกของเรื่อง

ด้านนักแสดงนําอย่าง การจับคู่กันของสองนักแสดงใหญ่อย่าง Humphrey Bogart และ Ingrid Bergman นั้น ถือว่าเป็นเคมีที่สปาร์คกันได้อย่างชะงัด นางเอกสวยสง่าราวกับหลุดมาจากภาพวาด สะกดทุกสายตาทุกครั้งที่เข้าซีน พระเอกเท่สมาร์ท พร้อมแววตาแฝงความเศร้า ทำให้ทุกบทสนทนา ทุกฉากรัก ทุกการหยอดคำหวาน มันมีมิติที่ลากไปไกลกว่าการเกี้ยวกันอย่างผิวเผิน มันคือความรักที่ฝังลึก มันคือความโหยหาที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ  

‘Here’s looking at you kid…’ ประโยคที่ Rick กล่าวกับ Ilsa จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในการด้นสดที่ทำเอาสาวๆ ในยุคนั้นต้องหัวใจละลายในทันทีที่ได้ยิน มันคืออมตะวาจาแห่ง Casablanca ที่บอกปมที่ฝังร้าวในหัวใจของตัวเอกมาตลอดทั้งเรื่อง และพัฒนาการของตัวละครทั้งสอง ผ่านการผจญภัย ผ่านความยากลำบาก และผ่านอุปสรรคจนมาถึงตอนท้าย ที่ทั้งสองจะต้อง … จากกัน ‘We’ll always have Paris’ ประโยคสั่งลาของ Rick ที่มีต่อ Ilsa อาจจะเป็นข้อสรุปเหนือกาลเวลาใดๆ เพราะปารีสนั้น ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ที่ทั้งสองได้พบรักกันในวันวาน แต่มันคือความทรงจำที่ยังหวานล้ำ ไม่จางหายไปไหน และแม้จะไม่ได้อยู่ชิดใกล้ แต่ความรักที่มีต่อกัน ผ่านการเสียสละ อย่างเต็ม

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ