5 โรคอันตรายหน้าฝนที่เล่นงานเด็กไทยทุกปี
โรคที่พบบ่อย

ช่วงนี้ฝนตกบ่อย เพราะไทยเราเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ วันที่ 15 พฤษภาคม 2568ที่ผ่านมา จากการประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ประจวบเหมาะกับการกลับของโควิด-19 ที่ยอดการแพร่ระบาดเพิ่มสูงขึ้น และยังเป็นช่วงที่เด็กๆ เปิดเทอมกันแล้ว นั้นทำให้ความกังวลของผู้ปกครองยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เนื่องจากไม่ใช่มีแค่โรคไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่เท่านั้นที่ต้องค่อยระวังกัน
ซึ่งที่จริงแล้ว GM Live มีข้อมูลจากแพทย์หญิง สุธิดา ชินธเนศ กุมารแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบการหายใจในเด็ก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลวิมุต ว่า มีถึง5 โรคอันตรายหน้าฝนที่เล่นงานเด็กไทยทุกปี เพราะ
เข้าหน้าฝนทีไร จะได้ข่าวเด็กป่วยเพราะติดเชื้อมาจากโรงเรียนอยู่เสมอ
ทั้งนี้หน้าฝนมีอากาศชื้นแฉะ ส่งผลให้เชื้อโรคหลายชนิดเติบโตและแพร่ระบาดได้รวดเร็ว รวมทั้งระบบภูมิต้านทานของเด็กยังไม่แข็งแรงเต็มที่ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่กังวลใจ เพราะลูก ๆ หลานๆ ก็มีโอกาสเจ็บป่วยกันได้ง่ายขึ้น ยิ่งในช่วงเปิดเทอมที่เด็กมาเรียนมาเล่นด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงติดโรคระบาดมากกว่าเดิม ที่น่ากังวลไปกว่านั้นก็คือ โรคที่พบบ่อยอาจไม่ใช่แค่ไข้หวัดทั่วไป แต่รวมถึงโรคอันตรายที่หากไม่รับมือให้ดีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เจาะ 5 โรคที่พบบ่อยในหน้าฝน พร้อมอาการที่ไม่ควรมองข้าม

ช่วงหน้าฝน เด็กๆ มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ โรคติดต่อผ่านการสัมผัส รวมไปถึงกลุ่มโรคที่มียุงเป็นพาหะ
โดยโรคที่พบได้บ่อยในช่วงนี้ ได้แก่ โรคมือ เท้า ปาก ที่พบในเด็กเล็กวัยก่อนเข้าเรียนหรือในเด็กต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเกิดจากไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรง อาการเด่นชัดคือมีไข้สูง มีแผลในปาก และมีผื่นที่มือและเท้า ในเด็กบางคนถ้าติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรงอาจมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง กล้ามเนื้อ และหัวใจ
ต่อมาคือโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา เด็กจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และอาจมีอาการไอ น้ำมูก อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดบวมและสมองอักเสบ

โรคที่สามคือโรคปอดบวม เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งอาจพัฒนามาจากไข้หวัดธรรมดา โดยเด็กจะมีอาการไอและมีเสมหะมาก หายใจเร็วหรือหายใจหอบเหนื่อย เสียงหายใจผิดปกติ และในบางรายอาจมีริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีอาการรุนแรงแล้ว
โรคต่อมาคือตาแดงจากไวรัส ซึ่งแพร่กระจายได้ง่าย เด็กๆ จะมีอาการตาแดง เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก
สุดท้ายคือโรคไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะ ในระยะแรกเด็กจะมีไข้สูง ปวดเมื่อย มีจุดเลือดออกสีแดงตามร่างกาย ส่วนอีกระยะที่ต้องระวังคือช่วงที่ไข้ลดลง เพราะบางคนอาจเกิดภาวะช็อกได้ และอาจมีอาการเลือดออกร่วมด้วย เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรสังเกตอาการไว้ตลอด เมื่อมีอาการผิดปกติหรืออาการที่เข้าข่ายโรคเหล่านี้จะได้รับมือได้ทันที
ระวัง! ซื้อยาเอง เสี่ยงทั้งดื้อยาและผลข้างเคียง

เมื่อเด็กป่วย ผู้ปกครองบางคนร้อนใจและไปซื้อยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะมาให้เด็กกิน ซึ่งจริง ๆ แล้วโรคระบาดในเด็กส่วนใหญ่มากกว่า 80–90% มักเกิดจากไวรัสที่ไม่มียารักษาเฉพาะ ยกเว้นบางโรค เช่น โควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นนอกจากการใช้ยาปฏิชีวนะจะไม่ได้ช่วยให้อาการของโรคจากไวรัสดีขึ้น ยังอาจทำให้เกิดการดื้อยาในอนาคตหรือเกิดผลข้างเคียงจากยา
สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำเมื่อเด็กๆ ติดโรคเหล่านี้คือการดูแลตามอาการ เช่น หากมีไข้ก็หมั่นเช็ดตัวและกินยาลดไข้ และถ้าสังเกตเห็นอาการที่น่าเป็นห่วงก็รีบพาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที เพราะแต่ละโรคหากปล่อยไว้อาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เกินอันตรายได้
เสริมภูมิคุ้มกันก่อนโรคจะถามหา
อีกหนึ่งสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ติดโรคระบาดในช่วงนี้คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงตั้งแต่ต้น เริ่มจากให้เด็กรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติได้ดี ส่วนเรื่องการนอนก็สำคัญ เด็ก ๆ ควรเข้านอนไม่เกิน 3-4 ทุ่ม และนอนให้ได้อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งตอนนี้มีวัคซีนหลายชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคในเด็ก เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ควรฉีดทุกปี วัคซีนไข้เลือดออกที่ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อและอาการรุนแรงได้ และวัคซีนมือเท้าปากที่ป้องกันสายพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดได้ ซึ่งวัคซีนเหล่านี้จะช่วยให้ลูกหลานของเราปลอดภัยมากขึ้นในช่วงฤดูฝน
การรับประทานอาหารดี ๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และถ้าเป็นไปได้แนะนำให้พาไปรับวัคซีนให้ครบถ้วน ยิ่งช่วงหน้าฝนที่เชื้อโรคแพร่ระบาดง่ายแบบนี้ เวลาไปโรงเรียนหรือสถานที่ที่มีคนเยอะ แนะนำให้เด็กๆรักษาความสะอาด ใช้ช้อนกลาง ฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อย ๆ และสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งผู้ปกครองต้องคอยหมั่นสังเกตอาการของเด็กๆ ด้วย ถ้าหากพบอาการเจ็บป่วยหรืออาการผิดปกติที่น่าเป็นห่วงจะได้พาไปพบแพทย์และสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที

ที่มา : แพทย์หญิง สุธิดา ชินธเนศ กุมารแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบการหายใจในเด็ก ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลวิมุต
