3 ทศวรรษบนเส้นทางดนตรีแห่งความสุขของ ‘ละอองฟอง’
สีสันของโลกแห่งเสียงเพลง

เมื่อกล่าวกันถึงโลกแห่งเสียงดนตรีแล้วนั้น แน่นอนว่า ไม่ว่าจะแนวหรือประเภทใด ต่างมุ่งหมายเป็นอย่างยิ่งที่จะมอบ ‘ความสุข’ และ ‘ความสบายใจ’ ให้กับผู้ฟัง เพราะดนตรีคือสื่อที่เป็นสากล สามารถส่งผ่านแนวคิด ทัศนคติ และความรู้สึกได้อย่างไร้กำแพงภาษาหรือวัฒนธรรมมาคั่นกลาง
ซึ่งนี่เป็นจุดมุ่งหมายหลักของวง ‘ละอองฟอง’ ที่เรียกได้ว่าเป็นสีสันของโลกแห่งเสียงเพลงซึ่งยืนหยัดบนเส้นทางดนตรีแห่งความสุขนี้ ยาวนานกว่าสามทศวรรษ
มาถึงวันนี้ หลังห่างหายจากแวดวงไปเกือบสิบปี ละอองฟอง ได้กลับมาอีกครั้ง เพื่อส่งมอบดนตรีแห่งความสุข ที่ผ่านการบ่มเพาะด้วยประสบการณ์ ให้กับโลกแห่งเสียงเพลงอีกครั้ง



GM Live มีโอกาสได้ร่วมสัมภาษณ์สมาชิกละอองฟองทั้งสามคนคือ เอ๊ะ-พงศ์จักร พิษฐานพร (เบส) ที่เปรียบดั่งเป็นพี่ใหญ่ของวง , แมน-ตนุภพ โนทยานนท์ (กีตาร์) พี่คนกลาง และออน-กรกมล วัชจิตพันธ์ (ร้องนำ) น้องสาวคนเล็ก ถึงเรื่องราวในช่วงสิบปีที่หายไป, การไปทำดนตรีที่ดินแดนอาทิตย์อุทัย, การร่วมงานกับ BNK 48ไปจนถึงมุมมองที่มีต่อแวดวงดนตรีในตลอดระยะเวลาสามสิบปีที่ผ่านมา และความคาดหวังกับอัลบั้มชุดใหม่ในนามละอองฟอง
เป็นบทสัมภาษณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข สนุกสนาน ที่ GM Live พร้อมจะนำมาเสนอให้ได้สัมผัสถึงมุมมอง แนวคิด การใช้ชีวิต ตลอด3 ทศวรรษบนเส้นทางดนตรีแห่งความสุขของ ‘ละอองฟอง’
อะไรที่ทำให้ทั้งสามคนรวมตัวกันได้อย่างยาวนาน

ออน ละอองฟอง : น่าจะเป็นเรื่องของ ‘ความสุข’ ที่ทำให้เราทั้ง 3 คน ยังอยู่ตรงนี้ ความสุขที่ได้ทำเพลง ซึ่งระหว่างทางจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ หากถ้ามีเป้าหมายเดียวกัน ก็สามารถก้าวต่อไปร่วมกันได้ โดยไม่ทะเลาะกันค่ะ
เอ๊ะ ละอองฟอง : ส่วนตัวผมที่ได้มีโอกาสร่วมโปรเจ็กต์ BNK48 ในพาร์ทงานเบื้องหลัง ได้เห็นเด็กๆ เติบโต โด่งดัง ผมก็มีความสุขนะ แต่พอคุยกับแมน (แมน ละอองฟอง) ก็มีบางอย่างที่ calling (สิ่งที่ใฝ่ฝันต้องทำให้ได้) ให้พวกเรากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หายไปเกือบ 10 ปี ไปทำอะไรอย่างไรบ้าง
ออน ละอองฟอง : ช่วงนั้นออนแต่งงานพอดี กับจังหวะที่พี่เอ๊ะได้งานจาก BNK48 ออนก็เลยได้ไปใช้ชีวิต ไปดูแลธุรกิจส่วนตัว และค้นพบความสนุกของงานศิลปะ
เอ๊ะ ละอองฟอง : ผมเองได้รับงานจาก BNK48 แล้วก็ร่วมงานกับแดน (วงบีทูบี) ไปทำอัลบั้มที่ประเทศญี่ปุ่น พอกลับมาก็ชวนแมนมาทำ BNK48 ด้วยกัน เราก็ทำๆ ไปจนกลายเป็นปรากฏการณ์ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปลายทาง เรารู้สึกภูมิใจที่สามารถปั้นจนมาถึงจุดนั้นได้
ละอองฟอง ได้ชื่อว่าเป็น ‘T-POP’ เมืองไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นฑูตทางวัฒนธรรมที่เมืองนางาซากิ ได้อะไรจากการไปทำงานที่ญี่ปุ่นบ้าง

เอ๊ะ ละอองฟอง : ถ้าแบบจับต้องได้ ก็คือได้บัตรสถานะของฑูตวัฒธรรมที่เมืองนางาซิ ในการเรียนรู้ขนบธรรมเนียม การใช้ชีวิตของผู้คน และยังไดใช้ Facility ของนางาซากิด้วยครับ
ออน ละอองฟอง : การที่ได้รับตำแหน่งฑูตวัฒนธรรมตลอดชีพมีทั้งข้อดีและสิ่งที่ต้องระวัง เพราะเราต้องดำรงตนให้เหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริงๆ ไม่ทำตัวเสื่อมเสีย ละอองฟองทำเพลงเชิงบวก มองโลกในแง่ดี เป็นสิ่งที่เราพยายามสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่า เราสามารถนำเสนอและเป็นสิ่งนั้นๆ ได้จริงหรือไม่ เป็นคำถามที่เราถามตัวเองในตลอดระยะสิบปีที่ผ่านไป
แมน ละอองฟอง : นอกเหนือจากที่เราได้ไปเห็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นแล้ว เรายังได้เรียนรู้การทำงานของคนญี่ปุ่น ที่ค่อนข้างจริงจัง ตั้งใจจริงๆ ทั้งวิธีการทำงาน แรงบันดาลใจ เรื่องเวลานี้เป๊ะมาก ทุกอย่างต้องตามที่นั้นหมด
เอ๊ะ ละอองฟอง : ผมคิดว่านั้นเป็นสิ่งที่ดี ที่เราได้มีฐานแฟนคลับที่ประเทศญี่ปุ่น ทุกครั้งที่มีงานที่เกี่ยวข้องกัน ก็จะมีแฟนๆ ของละอองฟองมาต่อคิวกันเต็มเลย เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจครับ
ละอองฟอง ในวันนี้ ยังเป็นวงดนตรีที่นิยมของคนญี่ปุ่นอยู่หรือไม่

เอ๊ะ ละอองฟอง : ยังเป็นอยู่นะครับ เพราะทั้งสไตล์เพลง สไตล์การทำงาน ซึ่งก็เป็น Signature ของวงอยู่แล้วเป็นไปในเชิงบวก ฟังแล้วสบายใจ ก็พ้องกับแนวเพลงของทางญี่ปุ่นด้วย
ออน ละอองฟอง : ล่าสุด สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจมากๆ คือการที่เราไปเล่นดนตรี แล้วมีคนขอเพลงที่เราไม่ค่อยได้เล่น เป็น Rare Track แต่ไปดังที่ญี่ปุ่นค่ะ
เอ๊ะ ละอองฟอง : นอกจากนั้น เรายังทำ Art Toy ของวงไปขายที่ญี่ปุ่น ก็ได้การตอบรับกลับมาเป็นอย่างดี คิดว่าที่ญี่ปุ่นคงชอบอะไรแบบนี้อยู่ด้วย
ถ้าเทียบความรู้สึกกับแวดวงเพลงไทย ที่ละอองฟองอาจจะไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากนัก
เอ๊ะ ละอองฟอง : ผมว่าไม่เกี่ยวกับว่าเป็นที่รู้จักหรือไม่รู้จักนะครับ เพราะละอองฟองก็เป็นวงนอกกระแสมาตั้งนานแล้ว เป็นดนตรีที่ Ageless กล่าวคือ ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยอายุ อย่างล่าสุดเด็กมัธยมรุ่นนี้ก็ยังฟังเพลงของเราอยู่เลย
ออน ละอองฟอง : ถ้าตอบคำถามกันจริงๆ ละอองฟองเป็นวงที่เป็น Niche Market มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งคนที่เข้าถึงพวกเราเขาก็จะรู้สึกว่าวงราส่งผ่านความรู้สึกดีๆ ไปให้เสมอ
เอ๊ะ ละอองฟอง: อย่างตอนนี้ล่าสุดละอองฟองมีไลฟ์ทาง TikTok ก็เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นครับ
อะไรที่ทำให้ละอองฟองเข้ามาสู่การเปลี่ยนผ่านสู่สื่อชนิดใหม่อย่าง TikTok

เอ๊ะ ละอองฟอง : ผมว่า เราเป็นวงความสุขที่รู้สึกได้ ถ้ามีคนที่รับรู้ ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆ ครับ การเปลี่ยนผ่านนี้เพื่อส่งผ่านความสุขให้คนที่เห็นมีรอยยิ้ม สามารถฮีลใจได้ เท่านี้เราก็มีความสุขแล้ว ซึ่ง TikTok เองก็ตอบโจทย์ตรงนั้น และไปได้ด้วยดีมากๆ มีศิลปินมากหน้าหลายตาที่ติดต่ออย่างมาร่วมไลฟ์กับวงเรา
อยู่ในแวดวงมา 30 ปี จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ปรับตัวยากหรือไม่
เอ๊ะ ละอองฟอง : สำหรับผมไม่ยากนะครับ เพราะเราอยู่กับ BNK 48 เราอยู่กับเด็ก ตอนนี้ผมทำงานกับเด็กอายุ 14-15 ปี คิดว่าสิ่งที่เรามีคือประสบการณ์ แต่ถ้าเราไม่ยึดติดกับแนวคิดแบบใดแบบหนึ่งก็สามารถเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ได้เรื่อยๆ
ออน ละอองฟอง : ส่วนตัวมองว่า การกลับมาของพวกเราครั้งนี้คืออะไร ต้องมาตั้งจุดประสงค์กันให้ชัดเจน คุยกันว่าจะทำให้เพลงของเราส่งต่อไปให้ไกลที่สุด เป็นประกายเล็กๆ ที่ส่งต่อถึงกันไป เพราะฉะนั้น อะไรที่ทำให้คนได้ยินเพลงของเรา เราพร้อมทำ และจะช่วยให้เราสามารถอยู่ในโลกที่เปลี่ยนผ่านไวขึ้นอย่างทุกวันนี้ได้
แมน ละอองฟอง : ผมว่าละอองฟองไม่มีกาลเวลา ย้อนกลับไปที่ชุดแรก เราทำเพลงในแบบที่เราอยากทำ เป็นดนตรีนอกกระแส แต่พอเราเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มมีการปรับตัว ให้สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งที่เป็นไปได้มากขึ้น พอมาถึงปัจจุบัน เราก็พร้อมทุกอย่าง เรายังคงเป็นละอองฟอง ที่ต้องการให้ทุกคน ไม่ว่าจะเด็กหรือรุ่นไหน รู้สึกว่าเรา Friendly กับทุกคน
อัลบั้มล่าสุด ตั้งชื่อไว้แล้วหรือยัง แล้วมีกำหนดปล่อยเมื่อใด
ออน ละอองฟอง : ยังไม่ได้ตั้งชื่อค่ะ แต่แต่งเพลงรอไว้แล้วนะคะ
เอ๊ะ ละอองฟอง : ล่าสุด เราเพิ่งปล่อยเพลงใหม่ไปเมื่อไม่นาน เพลง ‘อยู่ดีๆ ก็เหงาเฉย’ กับเพลงที่สอง ‘เธอยังเป็นคนเดิมที่ …’
คาดหวังกับอัลบั้มใหม่อย่างไร
เอ๊ะ ละอองฟอง : ก็ยังเหมือนเดิมกับที่เราทำอัลบั้มที่แล้วนะครับ คือตั้งใจทำให้เพลงไปสู่คนฟังให้มากที่สุด เป็นที่มาของการใช้สื่ออย่าง TikTok เพราะเป็นแพลทฟอร์มที่เร็วที่สุด รวมถึงการที่เราเป็นประชากรซึ่งเป็นศิลปินที่มา Live ผ่านสื่อนี้
สำหรับแมน การได้ร่วมงานกับ BNK 48 ได้อะไรกลับมาบ้าง

แมน ละอองฟอง: เป็นคำตอบที่คล้ายๆ กับข้อก่อนหน้านั้นที่ว่าทำงานที่ญี่ปุ่นแล้วได้อะไรกลับมา นั่นเพราะ BNK48 คือวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น ตั้งแต่เรื่องเพลง การทำงาน เรื่องภาษา หลายอย่าง สิ่งที่ได้มากๆ คือแนวคิดของการเขียนเพลง อย่างการแปลภาษาจากญี่ปุ่นเป็นไทย และการแต่งเพลง อย่างเช่น ถ้าเป็นการแต่งเพลงแบบไทย เราจะไม่ค่อยกล้าออกนอกลู่นอกทางมากนัก ไม่กล้าใช้คำนั้น เขียนเรื่องแบบนี้ พอทำงานกับญี่ปุ่น ทำให้เรากล้าใช้อะไรบางอย่างเข้ามาในเพลงมากขึ้นครับ
เป้าหมายของวงละอองฟองในอนาคต มองไว้ว่าอย่างไร
เอ๊ะ ละอองฟอง : ละอองฟองจะตายไปพร้อมกับเรา หมายความว่า ถ้าพวกเรายังอยู่ ละอองฟองไม่หายไปไหนแน่นอน เหมือนความสุขนะครับ ที่ไม่มีหมดอายุ เราก็ทำให้ความสุขมีมากขึ้น ใหญ่ขึ้น เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องสำเร็จมากน้อยแค่ไหน แต่คิดแค่ว่า ถ้าสามารถสัมผัสกับความสุขได้ และต้องการที่จะมอบความสุขนั้นออกไป นั่นก็ถือว่าใช่สำหรับพวกเราแล้ว
ละอองฟองเองก็เป็น ‘รุ่นใหญ่’ ในวงการ มองหรือมีความคิดเห็นอย่างไรกับศิลปินรุ่นใหม่
เอ๊ะ ละอองฟอง : ผมมองว่าเดี๋ยวนี้ ไม่มีผิดไม่มีถูกนะ สิ่งที่คิดเห็นเกี่ยวกับปัจจุบันคือ มีทางเลือกมากขึ้น มีกลุ่มแฟนคลับที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นก็สามารถอยู่ได้ เป็นทางเลือกหนึ่ง ไม่จำเป็นอีกแล้วที่จะต้องเป็นวงที่มีคนฟังเพลงพร้อมกันทั่วประเทศแบบสมัยก่อน ขึ้นกับว่าศิลปินเหล่านี้จะยืนอยู่ในวงการได้อย่างยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน และส่วนตัวที่ปั้นคน ปั้นเด็กมาค่อนข้างเยอะ คงต้องบอกว่า เราไปตัดสินผิดถูกอะไรไม่ได้หรอก เพราะแต่ละคนก็มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน มีแนวคิดแตกต่างกัน แต่หน้าที่ของเรา คือพาเขาไปสู่เป้าหมายที่ต้องการให้ได้ และทำให้เขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานที่สุด
ออน ละอองฟอง : เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้ย้อนกลับไปที่การถามตัวเองว่า ละอองฟองนั้นคืออะไร ? เราเป็นในสิ่งที่เราบอกทุกคนว่าเป็นจริงหรือไม่ ? ที่ว่าเรามองโลกในแง่ดี ทำเพลงในแง่บวก แล้วเราพบว่า หลายจุด เรายังไม่สามารถเป็นอย่างที่บอกออกไป เราก็ตั้งโจทย์สำคัญว่า จะต้องเอาแนวคิดที่มีอยู่ในเพลง แนวคิดในแง่บวก มาใช้กับชีวิตจริงให้มากที่สุด
เคยมีความคิดจะแยกวงกันบ้างหรือไม่

เอ๊ะ ละอองฟอง : ไม่มีนะครับ ไม่รู้จะมีประโยคนี้ขึ้นมาทำไมด้วยซ้ำ ถ้าเหนื่อยก็แค่หยุด พอหยุดหายเหนื่อยแล้วก็ทำต่อ แค่นั้นเอง ผมว่าวันนี้ เราไม่ได้มีแค่มิติเดียว ไม่ว่าจะในสื่อชนิดไหน เราก็คือตัวเอง เพราะฉะนั้น ในปัจจุบัน เราก็สามารถเป็นตัวเราเอง และสร้างสิ่งที่ดีๆ ส่งผ่านออกไปได้ ให้คนที่รับชมได้เห็นทุกด้านของเรา แล้วเขาจะหยิบด้านใดของเราไปใช้ ก็สามารถเป็นไปได้
ออน ละอองฟอง : คำพูดหนึ่งของพี่เอ๊ะที่โดนใจมากๆ คือ ทำไปก่อน ถ้าทำแค่หนึ่งหรือสองแล้วหวังว่าจะได้ นั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทำร้อย ทำพัน ทำหมื่น โอกาสก็เยอะขึ้น
30 ปีที่ทำงานร่วมกันมา คงไม่ได้เห็นพ้องต้องกันทุกครั้ง เวลามีปัญหาจัดการกับความคิดที่ไม่ตรงกันอย่างไร
ออน ละอองฟอง : เราเป็นคนก็ต้องมีกันบ้าง เวลาที่คิดเห็นไม่ตรงกัน แต่เรามีเป้าหมายเดียวกัน ถ้าเราพร้อมใจทำเพื่อเป้าหมายนั้นๆ ทุกอย่างก็เรียบร้อยลงเอยด้วยดี อีกทั้งความเป็นละอองฟอง นั้นคือก้อนความสุขของเรา เวลาเรามีเรื่องที่คิดมาก ไม่สบายใจ เรากลับมาหาสิ่งนี้ เราก็สบายใจ
เอ๊ะ ละอองฟอง : มีกันบ้างกับความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ก็พูดคุย ปรับความเข้าใจกัน ไม่ได้โมโหหรือโกรธเก็บมาเป็นอารมณ์อะไรมากมาย
แมน ละอองฟอง : ก็มีหงุดหงิด เหนื่อย ท้อบ้าง เรื่องปกติครับ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะอยู่กับเรานาน อาจจะเพราะว่าส่วนตัวเป็นคนที่วางอะไรได้ค่อนข้างเร็วด้วย เลยไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
ออน ละอองฟอง : ส่วนตัวเวลาอยู่หน้างาน แล้วรู้สึกว่าบางอย่างไม่ได้อย่างใจ ไม่เป็นไปในแบบที่ต้องการ พวกพี่ๆ ทั้งสองคนก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไรนะคะ ก็มีแต่ให้กำลังใจกัน ประคองกันไป ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ
‘ความสุข’ ของแต่ละคนในละอองฟอง เป็นอย่างไร
เอ๊ะ ละอองฟอง : ตื่นเช้ามา รู้สึกอยากลุกขึ้นไปทำอะไรต่อมิอะไร ไม่รู้สึกเหนื่อย มีความสนุก มีความสุขกับระหว่างทาง ซึ่งสำคัญมากนะ เพราะถ้ารู้สึกมีความสุขระหว่างทาง เราจะอยู่กับสิ่งหนึ่งๆ ที่ทำได้โดยตลอด
แมน ละอองฟอง : ความสุข ก็คือการได้ทำอะไรที่เป็นตัวเอง ออกมาจากตัวเองจริงๆ คิดว่าเป็นสิ่งที่เราพอใจกับสิ่งนั้น และทำอยู่ในทุกๆ วัน
ออน ละอองฟอง : ส่วนตัวมองว่าความสุขอยู่ที่เรากำหนดนะคะ เราต้องโฟกัสไปกับสิ่งที่ทำให้เรามีพลังที่จะเดินหน้าในวันถัดๆ ไป เคล็ดลับส่วนตัวที่ใช้ คือการมองว่านี่เป็นวันสุดท้ายของชีวิต มีโอกาสจะทำอะไร ทำให้เต็มที่
นอกจากการทำเพลงแล้ว แต่ละคนมีอาชีพอื่นรองรับเอาไว้บ้างหรือไม่
เอ๊ะ ละอองฟอง : เป็นโปรดิวเซอร์ในแวดวงครับ
แมน ละอองฟอง : ตอนนี้หลักๆ ก็พัก และโฟกัสกับสิ่งที่เราชอบ นั่นคือการทำดนตรี เช่น การทำงาน BNK48 ร่วมกับพี่เอ๊ะ ที่ผมได้ฝึกฝนการแต่งเพลง การทำดนตรีครับ
ออน ละอองฟอง : นอกเหนือจากดนตรี ก็ทำร้านขายยาค่ะ เพราะออนจบทางด้านเภสัชกร ทำงานที่ร้านของคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็ทำงานเกี่ยวกับด้านศิลปะ ในรอบสิบปีที่ผ่านมาเป็นอีกงานที่ออนมีความสุข เพราะเป็นสิ่งที่เคยคิดอยากจะทำมานานมาก และเคยเชื่อว่าน่าจะได้ทำตอนที่อายุมากๆ โชคดีที่คู่ชีวิตเข้าใจและสนับสนุน ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างลุล่วงค่ะ
ในมุมมองของทั้งสามคน มีศิลปินรุ่นใหม่ที่ดูเข้าท่า เข้าตาบ้างหรือไม่

เอ๊ะ ละอองฟอง : ถ้าที่เข้าตา ก็เป็นวง Proxie เพราะเห็นมาตั้งแต่เริ่มออดิชัน มีความตั้งใจ มีความยั่งยืนในฐานะศิลปิน เป็นสิ่งสำคัญมากในยุคสมัยใหม่ที่คนเก่งมีอยู่เต็มไปหมด และการที่มีความสุขกับสิ่งที่ทำก็สำคัญอย่างมาก นั่นคือสิ่งที่เราเองก็พยายามทำให้เห็น บอกกับทุกคนในทุกโอกาส
แมน ละอองฟอง : ถ้าให้นึกขึ้นมาทันทีเลยต้องยอมรับว่านึกไม่ออกจริงๆ เพราะเด็กๆ สมัยนี้เก่งกันมาก สามารถเข้าถึงโอกาสได้มากกว่ารุ่นก่อนๆ มีช่องทางที่มากกว่าเดิม สามารถโปรโมทและส่งผ่านความเป็นตัวเองได้ แต่ถ้าจะให้มอง ก็มองว่าคนๆ นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร
ออน ละอองฟอง : มีอยู่คนหนึ่งที่พี่เอ๊ะบอกกับเราไว้ว่าน้องคนนี้ มาแน่นอน ชื่ออะไรนะ …. ชาลา ดีน?

เอ๊ะ ละอองฟอง : ใช่ๆ ชาลา ดีน คือน้องคนนี้มีของนะ ไม่ใช่ธรรมดา ถ้ายืนหยัดอยู่บนเส้นทางได้ยาวนานพอ เขาจะมีแสงออกมาจากตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเอาแสงที่ไหนไปส่อง คนทั่วไปก็จะมองแล้วรู้ว่า คนๆ นี้คือศิลปิน
ออน ละอองฟอง : คือส่วนตัวก็มองว่า การที่จะเป็นศิลปินได้ ความสามารถก็สำคัญ แต่ทัศนคติบางอย่างก็สำคัญไม่แพ้กัน ว่าจะสามารถอยู่ในแวดวงได้อย่างยั่งยืนหรือไม่นะคะ
การทำงานเวลามีเรื่องที่กระทบจิตใจ รับมืออย่างไร
เอ๊ะ ละอองฟอง : จะว่ามีก็มีนะครับ แต่เป็นเรื่องที่เรา Concern กับมันมากกว่า คือ จะมากจะน้อย เราก็เป็นศิลปินมีสังกัดนะ สังกัด Spicy Disc Label มีคนลงทุนกับเรา เราก็พยายามทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้เขาอย่างน้อยได้กำไรกลับไป ละอองฟองไม่ใช่วงดนตรีที่เอาเงินของตัวเองมาลง จะเจ๊งจะพลาดยังไงก็ได้ไม่เป็นไร ไม่ใช่เลย และนี่คือเรื่องที่พวกเราเองก็ยังคงให้ความใส่ใจกันอยู่ครับ แต่สิ่งที่พวกเราพอจะทำได้ ก็คือทำ ทำและทำ ไม่ว่าจะแนวดนตรีที่ต่างออกไป หรือการลองไลฟ์บน TikTok
ออน ละอองฟอง: ส่วนตัวก็ปลดล็อคกับแนวคิดนี้ คือการไลฟ์บน TikTok พอสมควรนะคะ คือสินค้าของเราคือเสียงเพลง ต้องมีคนจ้างเราไปร้องไปเล่นที่งาน คนมาดูอย่างมากก็พันสองพัน แต่พอเราไลฟ์บน TikTok จำนวนคนดูมากขึ้นเป็นหลายเท่า
ถ้ามีโอกาสได้คุยกับตัวเองในช่วงแรกเริ่มของละอองฟอง อยากจะบอกสิ่งใด

เอ๊ะ ละอองฟอง : อยากจะขอบคุณตัวเองนะ ที่ยังคงพยายามมองสิ่งดีๆ และส่งมอบความสุขออกไป ไม่สำคัญหรอกว่าจะทำอาชีพอะไร ถ้ามีความสุขเป็นที่ตั้งแล้ว ดีหมด แต่นี่คือสิ่งที่เรารักที่จะทำ พอใจที่จะทำ และอยากส่งต่อออกไป รวมถึงส่งมอบสิ่งที่ดีให้กับศิลปินรุ่นถัดไปด้วย
แมน ละอองฟอง : ก็แค่อยากบอกกับเด็กหนุ่มคนนั้น ในวันนั้น ที่เคยวาดภาพของวงดนตรีวงหนึ่ง และตัวเองเล่นเบสเล่นคีย์บอร์ด อยากบอกว่า วันนี้ ทำสำเร็จแล้วนะ เป็นจริงแล้ว
ออน ละอองฟอง : ส่วนตัวอยากบอกว่า รู้ไว้นะว่าที่มีวันนี้ได้ เพราะเป็นผลจากการทำอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ดังนั้น ทำต่อไปเถอะ เดี๋ยวก็จะได้เห็นเองค่ะ
และนี่เป็นเพียงบทสนทนาเล็กๆ ของ เพียงเศษเสี้ยว ตลอด3 ทศวรรษบนเส้นทางดนตรีแห่งความสุขของ วงดนตรี ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘T-POP’ เมืองไทย ‘ละอองฟอง’
เรืื่อง : สุกฤษฏิ์ บูรณสรรค์
