fbpx

10 หนัง-ซีรีส์ ที่ทำให้การกักตัวของคุณกลายเป็นเรื่องชิลล์ๆ

ในช่วงเวลาที่ทุกคนกักตัว เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิท-19  หลายคนอาจจะเกิดอาการเบื่อ เซ็ง แต่ขอให้ทุกคนอดทน 

เพราะหากนี่คือสถานการณ์ที่คุณคิดว่าเอือมกันสุดๆ แล้ว  ขอแนะนำภาพยนตร์-ซีรีส์ ที่จะทำให้รู้ซึ้งว่า พวกเรากักตัวในระดับไฮโซกันพอสมควร เมื่อเทียบกับหลายๆ ฉากกักตัวและความโดดเดี่ยวที่ตัวละครเหล่านี้ต้องเผชิญบนแผ่นฟิล์ม

งานนี้คัดลิสต์มาให้ดูแก้เซ็งกันหลากหลายรสชาติ เพื่อให้ได้ทั้งข้อคิดและความสนุกหรรษาไปพร้อมๆ กัน 

1.Cast Away (2000)

แนว : ดราม่า 

เรื่องแรกที่ต้องอยู่ลิสต์เลย คือ Cast Away หนังติดเกาะเบอร์ต้นๆ ที่ทำให้นักแสดงดังอย่าง ทอม แฮงค์ส ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 73 ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม กับบทพนักงาน FedEx ผู้ทุ่มเทที่ประสบเหตุเครื่องบินตก จนไปติดบนเกาะร้างเพียงลำพัง ในเรื่องจะได้เห็นฉากการเอาตัวรอด ที่ไหนจะต้องดิ้นรนหาอาหารมาประทังชีวิตอันแสนยากลำบาก ไปจนถึงการต่อสู้กับความโดดเดี่ยว เพราะต้องอยู่คนเดียวในเวลาหลายสิบปี จนต้องมโนเป็นเพื่อนกับลูกวอลเลย์บอล ตั้งชื่อว่า วิลสัน  

บอกเลยว่าเรื่องนี้ต้องดูเอง บรรยากาศไม่ได้หดหู่อย่างที่คิด มีประเด็นให้ติดตามที่มาพร้อมกับฝีมือการแสดงขั้นเทพของ ทอม แฮงค์ส ที่สามารถตรึงคนดูไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าทำเอาการกักตัวแบบคนเมืองอย่างเราๆ กลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลย

ภาพ : www.imdb.com/title/tt0162222

2.The Shawshank Redemption (1994)

แนว : ดราม่า

มาที่ภาพยนตร์น้ำดีอีกเรื่องที่ได้รับคำวิจารณ์จากหลายๆ สำนักว่าเป็นหนังที่ควรดูครั้งหนึ่งในชีวิต สร้างจากเรื่องสั้นของสตีเฟน คิง นักเขียนชื่อก้องชาวอเมริกัน ว่าด้วยเรื่องมิตรภาพเกือบ 2 ทศวรรษในคุก ชอว์แชงค์ของสองนักโทษอย่าง แอนดี้ นำแสดงโดย ทิม ร็อบบินส์ และเรด นักโทษที่ต้องจำคุกตลอดชีวิต  นำแสดงโดย มอร์แกน ฟรีแมน 

ในเรื่องจะเห็นสภาพชีวิตประจำวันของนักโทษ และการเริ่มผูกมิตรกับคนอื่นๆ ของแอนดี้  ไม่ว่าจะเป็นนักโทษ หรือผู้คุม ด้วยการใช้ความสามารถจากการเป็นนายธนาคารเก่าของแอนดี้ มาช่วยทําธุรกรรมลดหย่อนภาษีและฟอกเงินให้กับคนในคุก ก่อนจะนำไปสู่แผนการครั้งใหญ่ คือ ‘การแหกคุก’ นั่นเอง ซึ่งเนื้อหาจะสอดแทรกถึงความหมายของเสรีภาพ มิตรภาพ ความหวัง และความรู้สึกของคนที่ไร้อิสรภาพ เมื่อต้องถูกกักขังมาเป็นวลานาน

ภาพ : www.imdb.com/title/tt0111161/mediaindex

3. Moon (2009) 

แนว : ดราม่า-ไซไฟ

พาไปติดคุก-ติดเกาะกันมาแล้ว มาติดอวกาศกันบ้าง กับหนังฟอร์มเล็ก แต่โชว์ฝีมือการแสดงของ แซม ร็อคเวลล์ เต็มๆ ในเรื่อง Moon (2009) ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์อิสระยอดเยี่ยม และรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม ในงาน British Academy Film Awards ปี 2009

เรื่องราวของลูกจ้างบนสถานีอวกาศดวงจันทร์เพียงคนเดียว กับภารกิจหาแหล่งพลังงานใหม่ไปป้อนให้โลก ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นแซมสนทนาอย่างจำเจกับหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมาให้ช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ระหว่างที่เขาอยู่ในสถานีอวกาศแห่งนี้ มีเพียงวิดีโอของลูกและภรรยาไว้ดูเติมเต็มพลังใจ เพื่อรอคอยให้ชีวิตน่าเบื่อตลอด 3 ปีตามสัญญาการจ้างงานจบลงซะที

บรรยากาศของภาพยนตร์ให้ความรู้สึกเงียบๆ เหงาๆ และสะเทือนใจสุดๆ ผ่านกิจวัตรประจำวันของแซมเบล จนมาวันนี้เขาเห็นตัวเองอีกคน! และรู้สึกว่าหุ่นยนต์ของเขากำลังปิดบังบางอย่าง ตอนจบของเรื่องมีอึ้ง แต่ขอไม่สปอย ไปดูกันเอง

ภาพ : www.impawards.com

4.Gravity (2013)

แนว : ดราม่า-ไซไฟ

หนังอวกาศโชว์เดียวอีกเรื่อง แต่คนละอารมณ์ กับ Gravity ที่รวมทีมงานมือรางวัลตั้งแต่ผู้กำกับยันนักแสดงอย่างแซนดร้า บลูล็อค และจอร์จ คลูนี่ เรื่องราวของ ดร.ไรอัน สโตน และ แมท คลูวาสกี้ นักบินอวกาศที่ต้องไปซ่อมดาวเทียมนอกโลก แต่เกิดพายุสุริยะ ทำให้ทั้ง 2 ต้องลอยเคว้งอยู่ในอวกาศ และพยายามหาทางกลับเข้ายานอวกาศให้ได้ เพื่อหาทางกลับโลก 

อารมณ์ของหนังค่อนข้างอยู่ในภาวะกดดัน โดยหนังนำเงื่อนไขเรื่องแรงโน้มถ่วงและสภาพแวดล้อมในอวกาศที่สุดอันตรายในสภาวะสูญญากาศมาทำให้ผู้ชมลุ้นไปกับตัวละคร ผสมไปกับฉากของ ดร.ไรอัน ที่ต้องสู้กับจิตใจของตัวท่ามกลางอวกาศอวกาศอันเวิ้งว้าง

ภาพ : www.warnerbros.com/movies/gravity/

5.The Martian (2015)

แนว : ดราม่า-แอคชั่น-ไซไฟ

ยังวนเวียนอยู่ในอวกาศแต่คราวนี้มาแนวโดดเดี่ยวฉันต้องรอดกับ The Martian ที่กวาดรางวัลไปมากมายจากหลายสถาบัน เรื่องราวของ มาร์ แวทนีย์ รับบทโดย แมตต์ เดมอน นักบินอวกาศระหว่างภารกิจเดินทางสู่ดาวอังคาร ที่ถูกเข้าใจว่าเสียชีวิตหลังเกิดพายุรุนแรง แต่แวทนีย์กลับรอดมาได้และพบว่าตัวเองอยู่ลำพังบนดวงดาวที่โหดร้าย แวทนีย์ต้องขุดทุกศักยภาพในตัวและความมุ่งมั่น เพื่ออยู่รอดและหาทางส่งสัญญาณกลับมายังโลก 

ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้แง่คิดเป็นอย่างดี เรื่องการให้กำลังใจลุกขึ้นสู้กับฝันร้ายที่เผชิญอยู่ข้างหน้า แม้โอกาสรอดจะมีเพียงน้อยนิดก็ตามที

ภาพ : www.imdb.com/title/tt3659388/mediaindex?page=1&ref_=ttmi_mi_sm

6.Orange is a new black (TV Series 2013-2019)

แนว : ดราม่า-ตลก-เสียดสีสังคม

หนักๆ กันมาเยอะแล้ว มาแนวเบาสมองบ้าง กับ Orange Is the New Black ซีรีส์ออริจินอลคอนเทนต์รุ่นแรกๆ ของเน็ตฟลิกซ์ ที่กลายเป็นขวัญใจมหาชนและได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลเพียบ กับความยาวจนจบไฟนอลซีซั่นไปถึง 7 ซีซั่น ยาว 91 ตอน (ดูกันให้ย้วยไปเลย) ดัดแปลงมาจากหนังสือที่มาจากเรื่องจริง 

เรื่องราวในเรือนจําหญิงนอกกรุงนิวยอร์ก โดยมีตัวนำอย่าง ไพเพอร์ แชปแมน ตัวละครที่มีที่มาจากผู้เขียน หญิงสาวชนชั้นกลางที่ถูกจองจำในเรือนจำหญิงแบบตกกระไดพลอยโจน เพราะพัวพันคดียาเสพติด ต้องจำคุกเป็นเวลาปีกว่า การก้าวเข้ามาในคุกคือจุดพลิกผันของชีวิต ไหนต้องเข้ามาเจอกับนักโทษหญิงร่วมคุก ที่แต่ละนางมีเรื่องราวแสนแซ่บแตกต่างกันไป

หากคุณคาดหวังว่าจะเจอการวางแผนพลิกเกมแบบซีรีส์แนวแหกคุกอย่าง Prison Break คือ ไม่มี!

หรือเสื้อผ้าหน้าผมและฉากจัดเต็มอย่าง Game of Thrones คือ ไม่ใช่!

แต่เสน่ห์ที่จะตรึงให้คุณตกหลุมรักซีรีส์เรื่องนี้ คือ บทที่ดี ตีแผ่เรื่องราวเรือนจำผ่านการดำเนินเรื่องได้สนุก สดใหม่ โดยมีการเล่าปูมหลังของตัวละครทุกคนที่แตกต่างกันได้อย่างน่าติดตาม ที่สำคัญเสียดสีสังคมได้อย่างถึงพริกถึงขิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางสังคม การเหยียดชาติ ความบกพร่องในการบริหารงานของภาครัฐ ประเด็น LGBT และอีกเพียบ 

บอกเลยว่าดูซีรีส์เรื่องนี้แล้วได้ครบทุกรส ทั้งเสียงหัวเราะ ข้อคิด และจะพานให้คุณรู้สึกว่าอาหารช่วงชีวิตกักตัวของคุณอร่อยกว่าทุกวันเป็นไหนๆ

ภาพ : xdigitalnews.com/orange-is-the-new-black-season-8-release-date-cast-and-has-the-series-been-renewed-for-another-run/11076/

7.Lost (TV Series 2004–2010)

แนว : ผจญภัย-เหนือธรรมชาติ

อีกหนึ่งผลงานสร้างชื่อของ เจ.เจ. อับรามส์ ผู้กำกับสายไซไฟเหนือธรรมชาติ ในยุคที่เขายังสร้างซีรีส์กับเรื่อง Lost  เรื่องราวของกลุ่มผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกไปติดยังเกาะร้างลึกลับ ที่พวกเขานอกจากต้องร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอดแล้ว ยังต้องรับมือกับปริศนาสุดประหลาดที่ซ่อนอยู่บนเกาะแห่งนี้

แม้ซีรีส์เรื่องนี้จะออกฉายนานแล้ว แต่ความสนุกเร้าใจไม่มีวันเก่า แถมยังเป็นผลงานสุดฮิตในช่วงนั้น จนผลิตออกมาถึง 6 ซีซั่น 121 ตอน การันตีด้วย 10 รางวัลจากเวทีเอ็มมี่ อวอร์ด 

ถ้าใครชอบแนวลึกลับเหนือธรรมชาติไม่ควรพลาดเรื่องนี้ด้วยประการทั้งปวง และยิ่งถ้าใครเป็นแฟน เจ.เจ. อับรามส์ ยิ่งต้องจดเป็นหนึ่งในลิสต์ต้องดูเลยทีเดียว

ภาพ : www.imdb.com/title/tt0411008/

8.What Happened to Monday (2017)

แนว : แอคชั่น-ไซไฟ

หนังแนวดิสโทเปีย ว่าด้วยยุคที่ประชากรล้นโลก ทำให้รัฐออกนโยบายจัดสรรบุตรให้แต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียง 1 คน เท่านั้น หากครอบครัวไหนมีลูกมากกว่า 1 รัฐบาลจะนําตัวเข้าสู่ระบบจําศีล ให้พวกเขาได้ตื่นขึ้นตอนที่โลกสามารถแก้ปัญหานี้ได้แล้ว หนังดำเนินเรื่องผ่านตัวละครหลักเป็นครอบครัวเชตต์แมน ที่ให้กําเนิดแฝดหญิงถึง 7 คน โดยตั้งชื่อให้แฝดทั้งหมดตามวันทั้ง 7 ในสัปดาห์ โดยพวกเขาเลือกที่จะซ่อนตัวใช้ชีวิตแต่ในบ้าน และสลับกันออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านได้อาทิตย์ละ 1 คน ต่อ 1 วัน ภายใต้ตัวตนเดียวว่า คาเรน เชตต์แมน ทั้ง 7 สามารถรอดและเติบโตเป็นหญิงสาวที่มีอาชีพด้านการธนาคาร จนอยู่มาวันหนึ่ง ‘มันเดย์’ หายไป ทําให้แฝดที่เหลือ อีก 6 คนต้องออกตามหา

ตัวหนังมีกลิ่นของแนวสืบสวนเล็กๆ ผ่านตัวละครแฝดทั้ง 7 ที่แม้หน้าตาจะเหมือนกันแต่บุคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิง และหลายๆ ฉากเผยให้เห็นการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันไปในบ้านหลังเดียว โดยเหตุการณ์ที่มันเดย์หายไป ผลักดันให้แฝดแต่ละคนดึงเอาบุคลิกความสามารถมาใช้แก้ปัญหาต่างๆ

ตอนจบมีพลิกมุม แต่จะอย่างไร ไม่เล่าอีกละ ไปติดตามกันเอง

ภาพ : https://www.imdb.com/title/tt1536537/

9. Life of Pi (2012)

แนว : ดราม่า-แฟนตาซี

ผ่านแนวไซไฟหลายเรื่องละ กลับมาสู่ธรรมชาติกันบ้าง ใน Life of Pi หนังแนวติดเกาะที่ฉีกไปจากแนวติดเกาะเดิมๆ แต่แฝงไปด้วยปรัชญา สร้างมาจากนวนิยายแนวผจญภัยแฟนตาซีขายดีของ ยานน์ มาร์เทล ว่าด้วยเรื่องของ Pi (พาย) เด็กหนุ่มชาวอินเดีย ที่นับถือศาสนา 3 ศาสนา (คริสต์ อิสลาม และฮินดู) แต่ต้องไปเจอกับเหตุการณ์เรือล่มจมทะเล ซึ่งพายรอดมาได้โดยติดอยู่บนเรือชูชีพ พร้อมกับเสือโคร่งจากสวนสัตว์ที่มาพร้อมกับเรือที่โดยสารมาพร้อมกับพาย 

ตัวหนังจะพาเราไปเห็นวิธีเอาตัวรอดของพาย การอยู่ร่วมกับเสือบนเรือลำเล็กๆ และเผยให้เห็นภาพความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและพื้นมหาสมุทร โดยตอนจบหนังจะทิ้งคำถามไว้ผู้คนได้คิดถึงสิ่งที่พายผ่านมันมา

ภาพ :  www.imdb.com/title/tt0454876

10.The Blue Lagoon (1980)

แนว : โรแมนติก

พักจากเรื่องหนักมากับที่ภาพยนตร์ระดับตำนาน ดูสบายใจและสบายตาบ้าง กับ The Blue Lagoon หนังที่นำแสดงโดย คริสโตเฟอร์ แอทกินส์ และแจ้งเกิดให้กับ บรุก ชีลส์ 

ภาพยนตร์แนวพีเรียดว่าด้วยเรื่องราวหลังเรืออับปาง ทำให้สองเด็กน้อยชาย-หญิง พร้อมกับชายแก่คนหนึ่งต้องหลงมาติดเกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก เกาะที่มีความงดงามดุจแดนสวรรค์ จนไม่นานเมื่อชายแก่จากไป ทิ้งให้เด็กน้อยทั้งสองเติบโตขึ้นตามลำพัง จนพวกเขาได้ค้นพบความรักและความสัมพันธ์บนเกาะแห่งนี้ 

เป็นหนังเก่าดูสบาย เล่าเรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อน บรรยากาศของหนังจะพาให้คุณหลงไปกับความสวยงามของเกาะสวรรค์แห่งนี้ จนยากจะถอนตัว 

ภาพ :  www.imdb.com/title/tt0080453

เรียกว่าแต่ละเรื่องก็มีรสชาติแตกต่างกัน ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องไหนโดนใจคุณบ้าง แต่ถ้าไม่มีเรื่องในใจหยิบมาดูสักเรื่อง รับรองจะไม่ผิดหวัง

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ