ส่วนผสมทางธุรกิจและความคิดสร้างสรรค์ ของ LOVEIS
ไม่มีใครสงสัยในฝีมือการเป็นนักแต่งเพลงหรือนักสร้างสรรค์งานเพลงของ บอย โกสิยพงษ์ ตั้งแต่ เบเกอรี่มิวสิค มาสู่ เลิฟอิส (LOVEiS) ในปัจจุบัน เขายังคงทำผลงานคุณภาพที่มีอิมแพ็คสูงเสมอมา
แต่ในแง่ของการทำธุรกิจแล้ว เราก็คงไม่ต้องสงสัยในตัวเขาอีกเช่นกัน เพราะบอยยืนยันด้วยตัวเองว่า เขาทำไม่เป็นเอาเสียเลย มันเป็นอะไรที่เหมือนจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับธรรมชาติของเขาโดยสิ้นเชิง
แต่การทำงานสร้างสรรค์หรือการทำเพลงนั้น ก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยในเชิงธุรกิจ ไม่งั้นจะทำงานต่อไปได้อย่างไรถึงจุดหนึ่ง บอยจึงต้องมองหาผู้ที่จะมาเป็น หลังบ้าน คอยดูแลบริหารจัดการให้ธุรกิจสามารถหล่อเลี้ยงฝั่งความคิดสร้างสรรค์ให้เดินหน้าต่อไปได้
และคนคนนั้นที่เข้ามาก็คือ เทพอาจ กวินอนันต์ หรือ จี๊บ หลายคนคงร้องอ๋อ!ถ้าบอกว่าเขาเป็นนักธุรกิจเจ้าของร้าน HOBS (House of Beers)ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเบียร์ชั้นนำจากต่างประเทศ อาทิ Stella Artois, Hoegaarden, Leffe Brune และ ฟูลมูน ไวน์คูลเลอร์โดยเทพอาจได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ ค่ายเพลง เลิฟอิส เอ็นเตอร์เทนเมนท์
เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่มีความแตกต่าง แต่กลับกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างน่าประหลาดเพราะจี๊บ-เทพอาจ ไม่ใช่นักธุรกิจจ๋า แต่มีความเป็นศิลปิน อยากเข้าใจศิลปิน ถึงขั้นโดดลงมาจับไมค์ออกซิงเกิลเองด้วย!
ฟังดูแล้วน่าสนุก เมื่อฝั่งบอยก็ได้กลับไปสวมหมวกนักแต่งเพลงที่เขาถนัดเพียงอย่างเดียว ได้ทำเพลงอย่างสบายใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องธุรกิจขณะเดียวกันก็ได้หุ้นส่วนใหม่ที่ถนัดทำธุรกิจ แถมยังมีความเป็นศิลปินอย่างเทพอาจเข้ามาช่วยเลิฟอิสจึงเสมือนใส่เกียร์เดินหน้าเต็มตัว ไอเดียต่างๆ จึงแตกแขนงออกมาได้อย่างเต็มที่ พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ต่อไป เหมือนอย่างที่ค่ายเพลงแห่งนี้ได้ทำมาตลอด
GM : อยากให้เล่าที่มาที่ไปของการมาร่วมงานกัน
บอย : ต้องเรียนให้ทราบว่า ที่ผ่านมาผมเคยมีสุกี้ (กมล สุโกศล แคลปป์) เป็นคนที่ดูแลธุรกิจมาให้ตลอด จนกระทั่งสุกี้หยุดทำไป จากนั้นผมก็เลยต้องมีคนมาดูแลธุรกิจให้ เพราะผมทำธุรกิจเองไม่เป็น ก็จะมีภรรยามาคอยดูแลให้ ซึ่งเมื่อถึงกำหนดที่ภรรยาจะต้องไปดูแลลูกที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ ผมก็ลองทำอยู่สักปีหนึ่ง แล้วปรากฏว่า พบว่าตัวเองทำไม่ได้ล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าผมไม่ใช่นักทำธุรกิจ ทีแรกก็ท้อใจ แล้วคุณนภ (พรชำนิ) ก็ได้ชวนคุณจี๊บว่าสนใจเข้ามาดูมั้ย ถ้าเป็นไปได้ก็ให้คุณจี๊บช่วยบริหาร เป็นผู้บริหาร แล้วก็เป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งกับคุณจี๊บ เรารู้จักกันมานานแล้ว มันก็เลยเกิดขึ้น
GM : คุณจี๊บมองเห็นอะไรในการทำธุรกิจเพลง จากที่ปกติทำธุรกิจอีกแบบหนึ่ง
จี๊บ : อย่างที่เคยเรียนหลายๆ ท่าน แวบแรกที่พี่นภโทรฯ หา ผมก็ตกใจนิดหน่อยว่า พี่บอยไม่มีใครช่วยเหรอ พี่บอยจะเลิกเลยเหรอ แล้วเราจะฟังอะไรกัน จะปล่อยให้หายไปได้ยังไง แวบที่สองที่เข้ามาก็คือ โอ้โฮ! พี่บอยเป็นเหมือนเทพเจ้าของผม ในการสร้างเพลง ในการทำเพลง จะมีแฟนเพลงสักกี่คนในประเทศไทยที่มีโอกาสมาทำงานกับพี่บอย ผมเชื่อว่าหลายๆ คนอยากเข้ามาเรียนรู้ อยากเข้ามาทำงานกับพี่บอย แต่ว่ามันยากเหลือเกินที่จะได้เข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข้ามาทำงานแบบใกล้ชิดด้วย แล้วก็แบบเป็นทีมมากๆ ด้วย ผมรู้สึกว่าเป็นโอกาสดีที่สุดในชีวิตอย่างหนึ่ง ที่มีโอกาสได้เข้ามาทำงานร่วมกับพี่บอย
จริงๆ ผมเองเคยสงสัยว่า ทำไมคนในประเทศไทยรักพี่บอยจัง ด้วยสาเหตุอะไร เพราะว่าคนทำธุรกิจส่วนใหญ่ก็จะมีทั้งไบรท์ไซด์ ทั้งดาร์กไซด์ บางธุรกิจดาร์กไซด์ล้วนๆ บางธุรกิจก็จะค่อนข้างสว่างหน่อย แต่พี่บอยนี่ผมก็อยากรู้วิธีคิด อยากรู้ทัศนคติของพี่บอยมากๆ เหมือนสิ่งที่พี่บอยคิดที่พี่บอยครีเอทเอาไว้ มันตอบโจทย์คนอีกเป็นล้านๆ คน เพราะพี่บอยเขาทำให้คนอื่น
GM : บทบาทและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร
บอย : คือคุณจี๊บก็มาช่วยรับน้ำหนักพวกสิ่งที่เป็นธุรกิจทั้งหลาย เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นผมทำไม่ได้ ส่วนผมก็ได้มาเป็นตัวของตัวเอง คือได้มาเป็นนักแต่งเพลง ได้มาเป็นครีเอทีฟ ได้มาดูซิว่า เราควรจะทำอย่างไรกับอนาคตของทั้งบริษัทและก็ของสังคม
จี๊บ : ก็แยกกันชัดเจนครับ พี่บอยจะดูเรื่องเพลงเป็นหลัก เรื่องคอนเสิร์ต เรื่องครีเอทสิ่งดีๆ ขึ้นมา ผมก็เหมือนรับหน้าที่ว่าโอเค หลังจากตรงนั้น ทำอย่างไรให้โมเดลธุรกิจมันไปได้ ทำให้ทั้งมีเพลงด้วย ทั้งมีความสุขด้วย ทั้งยังมีรายได้เข้าบริษัท เลี้ยงดูบริษัทได้อยู่ ก็แบ่งงานกันง่ายมาก
GM : คุณจี๊บก็น่าจะทราบว่าธุรกิจเพลงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก คิดว่าหนทางในการทำธุรกิจเพลงจะไปอย่างไรต่อ
จี๊บ : ก่อนอื่นคุณต้องเชื่อก่อนว่าเพลงไม่มีวันตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงดีๆ เพราะว่ามนุษย์ใช้เพลงในการจรรโลงใจ ในการดำเนินชีวิต
บอย : ในการคุยกับพระเจ้าด้วยซ้ำ ทุกอย่างในชีวิต
จี๊บ : ก่อนอื่นคุณต้องเชื่อก่อนว่าเพลงไม่มีวันตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงดีๆ เพราะว่ามนุษย์ใช้เพลงในการจรรโลงใจ ในการดำเนินชีวิต
บอย : ในการคุยกับพระเจ้าด้วยซ้ำ ทุกอย่างในชีวิต
จี๊บ : ผมว่าสำคัญไม่แพ้ปัจจัยสี่ เพลงสามารถนำพาให้คนคนนั้นหรือคนกลุ่มนั้นไปในทิศทางไหนได้ด้วยซ้ำไป เพียงแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือรูปแบบของการขาย รูปแบบของการหารายได้ แต่หัวใจของเพลงก็ยังคงเป็นหัวใจของเพลงอยู่ ผมยังเชื่อมั่นอยู่
GM : คุณกลับมาสวมหมวกนักแต่งเพลงเต็มตัวอีกครั้ง ในยุคนี้ที่รูปแบบมันเปลี่ยนไปอย่างที่คุณจี๊บว่าตัวคอนเทนต์หรือการสร้างสรรค์ต้องเปลี่ยนตามมั้ย
บอย : คือเราก็เรียนรู้มากขึ้นนะครับ เรียนรู้จากคนรุ่นใหม่ๆ เรียนรู้จากลูก เรียนรู้จากการฟังเพลงใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกันแก่นของเรายังเป็นเหมือนเดิม ก็คือเลิฟอิสเราตั้งใจจะทำอาหารทางจิตวิญญาณ คือร่างกายก็ต้องการอาหาร จิตใจก็ต้องการอาหารเช่นกัน เรารัประทานอาหารที่ดีเข้าไป ร่างกายเราก็แข็งแรงจิตใจเรา เมื่อได้ดูหนังหรือได้ฟังเพลงที่สร้างสมให้สติปัญญา จรรโลงจิตใจ จิตวิญญาณเราก็แข็งแรง ดังนั้นหน้าที่ของเราก็คือ เราจะโฟกัสบนจุดยืนนี้ เพียงแต่ว่าเนื่องจากการที่เรามีหุ้นส่วนที่มาดูแลเรื่องระบบธุรกิจต่างๆ ให้ ก็สามารถทำให้เราขยายเพิ่มเติมในแง่ว่าเซกเมนต์นี้ๆ สามารถทำได้หลายเซกเมนต์มากขึ้น แล้วก็มีทีมเข้ามาช่วยดูแลให้เราไม่มัวแต่ทำแล้วไม่มีคนเก็บข้างหลัง
เลิฟอิสเราตั้งใจจะทำอาหารทางจิตวิญญาณ – ร่างกายต้องการอาหาร จิตใจก็ต้องการอาหารเช่นกัน – จิตใจเรา…เมื่อได้ดูหนังหรือได้ฟังเพลง ที่สร้างสมให้สติปัญญา จรรโลงจิตใจ จิตวิญญาณเราก็แข็งแรง – บอย โกสิยพงษ์ –
GM : ความเปลี่ยนแปลง การแตกแขนงบริษัทต่างๆ ค่ายต่างๆ ลงดีเทลนิดหนึ่งว่ามีอะไรบ้าง
บอย : เรื่องการเปลี่ยนแปลงในแง่ของธุรกิจอาจจะต้องให้คุณจี๊บเป็นคนเล่า ถ้าในแง่ของครีเอทีฟแล้ว เราก็เพิ่มเติมทีมทำงานเข้ามาอีกเยอะขึ้น แล้วก็แบ่งแขนงออกไปได้หลายแขนงมากขึ้น ก็จะมีเลิฟอิสที่เป็นเลิฟอิสปกติ เป็นเพลงเพื่อจรรโลงโลก จรรโลงจิตใจ ต่อมาก็จะมีค่ายลาวองท์การ์ด (L’ Avant-Garde) เป็นค่ายแจ๊สแบบบรมแจ๊ส คือแจ๊สแบบฟรีแจ๊สเลย เหมือนเวลาคุณฟังค่าย Blue Note อะไรพวกนั้น เรามีนักดนตรีที่ฝีมือดีขนาดนั้น เพราะว่าเรารู้ว่าดนตรีแจ๊สมันช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง ทำให้เซลล์สมองตื่นตัว พอมันตื่นตัวก็จะสูบฉีดเลือดเข้าไป ทำให้ปริมาตรของรอยหยักในสมองใหญ่ขึ้น นั่นหมายความว่า เราก็สามารถที่จะคิดอะไรเชื่อมโยงอะไรได้ดีขึ้น อันนี้คือสำหรับทุกคน ทุกวัย ไม่เฉพาะคนที่โตแล้ว เราอยากให้เด็กๆ ได้ฟังแจ๊ส เราอยากจะให้คนสูงวัยที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ฟังแจ๊ส แล้วโดยเฉพาะเรามีนักดนตรีที่มีฝีมือดีๆ ขนาดนี้อยู่ และเป็นคนไทยด้วยซ้ำ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ค่ายที่ 3 เราก็จะมีโฮลี่ ฟอกซ์ (Holy Fox) ซึ่งคุณโอ (โอฬาร ชูใจ) กับคุณมน (ชุติมน วิจิตรทฤษฎี) จาก Room39 เป็นผู้ดูแลอยู่ อันนี้ก็จะเป็นอินดี้นิดๆ ป็อปร็อค เป็นอีกสีสันหนึ่ง เพราะทั้ง
คุณโอกับคุณมนก็ถนัดที่จะทำเพลงให้คนทั้งประเทศร้องตามได้มากเลย ค่ายที่ 4 ชื่อ ‘พร้อมบวก’ ชื่อค่ายมาจากทัศนคติของการคิดบวก ดูแลโดย อุ๋ย (นที เอกวิจิตร) กับ โต้ง (สุรนันท์ ชุ่มธาราธร) วงบุดด้า เบลส มีศิลปินในค่าย เช่น นายนะ ทศกัณฐ์ และค่ายที่ 5 จะเป็นค่ายที่เราทำร่วมมือกันกับโยชิโมโต้ เอนเทอร์เทนเมนต์ เป็นค่ายไอดอล ซึ่งเราก็ไม่ได้ปิดอยู่แค่ว่าจะร่วมมือกับโยชิโมโต้ เราก็ร่วมกับสตาร์ฮันเตอร์ ร่วมกับทุกคน เป็นค่ายที่สามารถทำกับไอดอลได้ แต่แน่นอน ทุกอย่างมีความคิดเดียวกันคือว่า เรากำลังจะปลูกสิ่งที่เราเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อจิตใจมนุษย์ สำหรับอนาคต
พี่บอยทำเพลงนะ ผมดูหลังบ้านทำเรื่องธุรกิจให้ ผมถนัดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผมไม่ใช่นักธุรกิจจ๋า ผมอยากเป็นนักธุรกิจที่เข้าใจพี่บอย อยากเป็นนักธุรกิจที่เข้าใจศิลปิน– เทพอาจ กวินอนันต์ –
GM : แต่ก็เหมือนกับต้องปรับตัวไปตามยุคสมัยพอสมควร
บอย : การปรับตัวมันเป็นเรื่องของแนวดนตรี แล้วก็เรื่องการตลาด แนวดนตรีก็คือ หลายๆ ค่าย อย่างค่ายไอดอล มันก็ต้องไปกับตลาด อย่างแจ๊ส ฟรีแจ๊ส ก็มีตลาดของมันอยู่แล้ว แล้วเราก็พยายามสร้างตลาดใหม่โดยการเอาข้อดีของแจ๊สมาแนะนำให้กับกลุ่มที่เราคิดว่าเขาควรจะได้รับรู้ อย่างเช่นโรงเรียนต่างๆ นักเรียน พ่อแม่ ที่ควรจะรับรู้ว่ามันจะมีประโยชน์ต่อลูกเขาอย่างไร หรือว่าคนไม่สบายต่างๆ หรือว่าอย่าง โฮลี่ ฟอกซ์ เขาก็จะสร้างเหมือนสะพานให้คนทั่วไปเข้ามารู้จักเลิฟอิสมากขึ้นในแง่มุมต่างๆ แล้วในแง่ของการตลาดนั้น รายได้เราไม่ได้มาจากการขายเพลงอย่างเดียว เราก็จัดคอนเสิร์ต เราจัดกิจกรรมต่างๆ นานา เราทำหลายอย่าง เพื่อที่จะนำเพลงเข้าไปในทุกๆ ส่วน ซึ่งตรงนี้ทางผู้บริหารคือคุณจี๊บเป็นคนทำระบบให้
GM : คุณจี๊บเข้ามาเล็งเห็นอะไรบ้างที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องของธุรกิจ
จี๊บ : อันดับแรกคือทำให้พี่บอยรู้สึกสบาย เพราะว่าพี่บอยเป็นศิลปิน ผมเข้าใจเองนะว่า เมื่อไหร่ที่ศิลปินรู้สึกอึดอัด หรือรู้สึกขยับตัวลำบาก การครีเอทอะไรต่างๆ ก็จะถอยลง เพราะฉะนั้น ถ้าเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกอิสระ รู้สึกอบอุ่น มีความรัก รู้สึกว่าทำได้อย่างที่ตัวเองชอบ เขาก็จะสามารถครีเอทเยอะแยะเต็มไปหมด แล้วผมมาจากธุรกิจ พี่บอยก็บอกผมเข้ามาอย่างนี้ดีเลย พี่ทำเพลงนะ ผมดูหลังบ้านทำเรื่องธุรกิจให้ ผมถนัดอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผมไม่ใช่นักธุรกิจจ๋า ผมอยากเป็นนักธุรกิจที่เข้าใจพี่บอย อยากเป็นนักธุรกิจที่เข้าใจศิลปิน
บอย : ถึงขนาดที่ว่าคุณจี๊บลองมาออกเพลงเองเลย ลองไปฟังนะครับ ชื่อเพลง ‘โอกาส’ ล้านกว่าวิวแล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นอีกจุดหนึ่งนะที่ผมประทับใจมากๆ และดีใจมากๆ คือผมก็ไม่กล้าหรอกที่จะบอกว่า คุณจี๊บลองมาทำตรงนี้นะ แต่คุณจี๊บเขาเลือกที่จะมาทำเองเลย แล้วผมก็รู้สึกว่าจะมีหุ้นส่วนคนไหนที่เป็นนักธุรกิจเขาจะมาเป็นแบบนี้ ต้องไปสัมภาษณ์ ต้องไปร้องเพลง ต้องไปทำอะไรอย่างที่ศิลปินเขาทำกัน เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า ความรู้สึกเหล่านี้ ต้องผ่านอะไรบ้าง ผมถือว่านี่คือจุดเด่นของค่ายเราอีกหนึ่งอย่างคือบริษัทเราก็ตั้งอยู่หน้าบ้านซีอีโอแล้ว ไม่ใช่ธรรมดาแล้วนะครับ นอกจากนั้น ซีอีโอเรายังไปทำหน้าที่นี้เองด้วย ทำแบบจริงจังด้วย ไม่ใช่ทำเล่นๆ ผมเลยคิดว่า คุณจี๊บพยายามที่จะเข้าใจมันทั้งระบบ ไม่ใช่แค่จะมองในส่วนตัวเลขหรือธุรกิจให้มันเวิร์กเท่านั้น แต่พยายามจะเข้าใจคนทำงานด้านครีเอทีฟด้วย
จี๊บ : ซึ่งเข้าใจเลย (หัวเราะ) ตอนแรกไม่เข้าใจ ผมทำงานกับเครื่องจักร ผมทำงานกับอะไรที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มันจับต้องได้มาก่อน ขายอะไรที่จับต้องได้มาก่อน ทีนี้กับเพลง นอกจากจับต้องไม่ได้แล้ว มันอยู่ในอากาศ มันคือศิลปะ คือความรู้สึก แล้วแถมไม่ใช่เครื่องจักรอีกต่างหาก คือแปลว่ามันคาดเดายากมากว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ อารมณ์การเขียนเพลง อารมณ์ในการร้องเพลง มันจะออกมาได้เมื่อไหร่ มันกำหนดตายตัวค่อนข้างยาก ก่อนหน้านี้ก็เข้าใจประมาณนี้ แต่พอไปลองทำจริงๆ โอ้โฮ! เข้าใจแล้วพี่ (หัวเราะ) กว่าจะได้เพลงหนึ่งมันยากเย็นแสนเข็ญ เวลาที่เรารอแต่ละโมเมนต์เป็นอย่างไร เพลงพอออกมาแล้วความรู้สึกเป็นอย่างไร สำเร็จไม่สำเร็จอีก แล้วต่อไปจะอย่างไร เออ…เข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นศิลปินที่มานั่งคุยกับเรา เวลาเรามาตกลงร่วมกัน หรือว่าเวลามาเบรนสตอร์มร่วมกัน ผมเลยไม่ได้นั่งอยู่ฝั่งของคนบริหาร ผมนั่งตรงกลาง เพราะผมเข้าใจแล้ว เหมือนตอนผมทำร้านอาหาร ผมก็แอบไปเรียนทำอาหาร
บอย : นี่เขาไปร้องเพลงในผับอยู่ 2 ปีนะ ผมเพิ่งรู้ (หัวเราะ)
จี๊บ : ผับเล็กๆ ไม่มีใครรู้ เพราะอยากเข้าใจ เพราะว่าศิลปินในค่ายหลายๆ คนก็มาจากอย่างนั้น
GM : ถือว่ายากและท้าทายกว่าธุรกิจอื่นของคุณมั้ย
บอย : คือธุรกิจมันท้าทายหมดนะ มีความยากและมีความง่าย แต่อันนี้แตกต่างจากสิ่งที่ผมทำก็คือความ Emotional สูง มันเป็นศิลปะน่ะ จับต้องยาก ถ้าเราเอนไปทางธุรกิจมากๆ ผลงานก็ไม่สวย ภาพวาดมันก็ไม่สวย แต่ถ้าไปภาพสวยหมด บางทีไม่มีคนซื้อ กินไม่ได้ เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้มันวินๆ ทั้งคู่
GM : การเป็นคนทำธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคุณจี๊บ
จี๊บ : จะมีผลต่อภาพของค่ายและคุณบอยซึ่งเป็นคนไม่ดื่มมั้ยคุณจี๊บก็ไม่ได้บังคับให้ผมต้องมาดื่มนะครับ (หัวเราะ) คือจะบอกว่าคุณจี๊บมาในฐานะหุ้นส่วนที่มีความตั้งใจจะทำให้บริษัทเพลงมันไปได้โดยให้อิสระต่อทีมทำเพลงและครีเอทีฟ โดยยึดจุดมุ่งหมายเดียวคือ เพลงต้องจรรโลงสังคม ดังนั้นในด้านที่คุณจี๊บจะต้องทำงานอะไรต่างๆ นานา มันก็เป็นส่วนของคุณจี๊บ แต่ว่าเรามีแกนที่เราจะต้องไปด้วยกัน แล้วตรงนั้น สิ่งที่ผมสบายใจมากที่สุดก็คือว่า คุณจี๊บเลือกที่จะเอาบริษัทมาตั้งไว้หน้าบ้านตัวเอง แล้วมาทุกวันเลย แล้วก็ลองเป็นศิลปินเองด้วย ผมว่าอันนี้เป็นอะไรที่สำหรับศิลปินด้วยกันแล้วจะเชื่อใจ แล้วก็จะวางใจมากกว่า เพราะมันเป็นของจริง ไม่ใช่เป็นของเล่น
ผมลองทำอยู่สักปีหนึ่ง แล้วปรากฏพบว่าตัวเองทำไม่ได้ล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าผมไม่ใช่นักทำธุรกิจ – บอย โกสิยพงษ์ –
จี๊บ : ส่วนพาร์ทที่เป็นธุรกิจเครื่องดื่มอะไรก็ไม่ได้เกี่ยวกันเลยครับ ผมเพียงแต่ใช้ความรู้เบื้องต้น ความรู้พื้นฐานในการทำธุรกิจ แล้วก็ประยุกต์มาทำกับตรงนี้เท่านั้นเอง แต่ถามว่า สมมุติศิลปินเราต้องไปร้องเฉพาะในงานที่มีผลิตภัณฑ์ของเราเหรอ ไม่ๆ ไม่เกี่ยว เรามีแต่สนับสนุนด้วยซ้ำไป แล้วเราก็อาจจะสนับสนุนเลิฟอิสหรือค่ายที่เป็นพันธมิตร หรือค่ายอะไรก็แล้วแต่ที่เพลงดี ที่ตรงกับแกนของเรา อย่างพี่บอยก็รักพี่ตูน (บอดี้สแลม) เหลือเกิน ศรัทธา ทุกคนก็ศรัทธา อย่างนี้ถ้าเรา Provide อะไรได้ เราก็อยากทำหมด
บอย : แม้กระทั่งคอนเสิร์ตที่ผ่านมา Simplified ซึ่ง Hoe-gaarden เบียร์ในสังกัดที่คุณจี๊บเป็นเจ้าของ เขาเป็นสปอนเซอร์ให้ แต่ในขณะเดียวกัน พี่ตูนก็เป็นนักร้องที่สปอนเซอร์โดยเบียร์ช้าง ทางคุณจี๊บก็ไม่ติดขัดอะไรกับการที่เราจะมีศิลปินที่มาจากคนละการแข่งขัน เพราะมันคนละเรื่องกัน แล้วทางช้างก็อนุญาตให้พี่ตูนมา เพราะว่ามองเห็นเหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องดีมากกว่า
GM : มีอีกหนึ่งบริษัทที่แตกออกมาจากเลิฟอิส คือ ‘ไลฟ์อิส’
บอย : (LifeiS) อันนี้จะทำอะไรอย่างไรบ้าง ไลฟ์อิสคุณจี๊บก็อยู่ในนั้นด้วย คือสิ่งที่เราทำ อย่างที่ผมเล่าให้ฟังว่า พวกเราทุกวันนี้คือผลผลิตของอดีต
เราปลูกอะไรไว้ เราก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ตอนนี้เรากำลังเก็บเกี่ยวความโกรธแค้น ความชิงชัง ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ซึ่งเราอาจจะไม่เคยเห็นมันรุนแรงขนาดนี้เมื่อสัก 20-30 ปีที่แล้ว แต่ว่าตอนนี้เราเห็นได้ชัดเลย นั่นหมายถึงว่า เราจะต้องอยู่ในโลกนี้ และรับผลเหล่านี้ไปอีกนานแค่ไหน มันก็จะต้องออกผลต่อไปเรื่อยๆ ถูกมั้ย เพราะว่าสมมุติเราปลูกมะละกอ มะละกอมันหล่นลงมา เมล็ดมันก็หล่นลงไปในพื้น มันก็ขึ้นมาอีก ทีนี้ความเกลียดแค้นชิงชังมันจะขึ้นมาอีกเรื่อยๆ แต่ว่าไลฟ์อิส เราจะนำสะพานของเลิฟอิส ก็คือศิลปินต่างๆ ที่มีความคิดเดียวกัน ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมในอนาคต มาร่วมกันทำธุรกิจเพื่อสังคม หรือเรียกว่า Social Business ธุรกิจเพื่อสังคมของเราก็จะแบ่งออกเป็นหลายโปรดักต์ ตอนนี้มีทั้งหมด 8 โปรดักต์ คือครอบคลุมตั้งแต่อายุ 0 ขวบจนถึงแก่เลย แต่ละโปรดักต์เป็นโปรดักต์แนวเข้าไปแบ่งปันประสบการณ์ ไปแบ่งปันความรู้ ไปแบ่งปันความเข้าใจในชีวิต ซึ่งแต่ละโปรดักต์ก็จะมี ‘ฮีโร่’ ของแต่ละโปรดักต์ คือคนที่เป็นไอดอลของคนในแต่ละวัย ผู้ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเข้าไปเป็นผู้นำต้นแบบ สื่อสารกับกลุ่มคนแต่ละช่วงวัย ผ่านอีเวนต์และคอนเทนต์ โดยที่ทำเป็นรูปแบบธุรกิจ คือมีรายได้เข้ามา มีกำไร เพื่อที่ต้องการที่จะให้ทุกๆ ภาคเอกชนสามารถที่จะเห็นด้วยกับเราว่า ต่อไป เรามีอาชีพปลูกความหวังกันดีกว่า เรามีอาชีพปลูกความรักความเอื้ออาทรกันดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปทำสื่อที่มันเคียดแค้น ด่ากัน ทำอย่างนี้ก็มีรายได้ได้นะ
GM : คุณเองผ่านความสำเร็จอะไรต่างๆ มาหมด ตอนนี้ในมุมส่วนตัวถือว่าอยู่ในโหมดไหนของชีวิต และกำลังมุ่งไปสู่อะไร
บอย : ตอนนี้อยู่ในโหมดที่สบายที่สุดครับ รู้สึกว่าเบาใจ รู้สึกว่าเดี๋ยวเราจะได้ทำนี่ เดี๋ยวเราจะได้ทำนั่น โดยที่เราไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง รู้สึกถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (หัวเราะ) เป้าหมายของผมคืออยากให้สิ่งที่พวกเราทำทั้งหมด เพลง คอนเทนต์ทุกอย่าง มันปลูกความหวังให้กับสังคม ปลูกความรักความเอื้ออาทร ความให้กัน เพราะผมเชื่อเหลือเกิน เชื่ออย่างที่ไอน์สไตน์เชื่อว่า ความมืดไม่ได้มีอยู่จริง แต่เป็นเพราะความสว่างอยู่ห่างไกล เช่น ถ้าเราปิดไฟในห้องนี้เมื่อไหร่มันก็จะมืด หรือเราเปิดม่านเมื่อไหร่ห้องนี้ก็จะสว่าง ดังนั้น ความรักก็สามารถชนะความเกลียดชังความโกรธแค้นได้ เช่นกัน ซึ่งพวกเราก็จะตั้งใจทำผลงานที่มันจรรโลงโลกออกมา โดยที่จะปลูกกันไปเรื่อยๆ จะปลูกในทุกๆ หนทาง ขณะเดียวกันเราก็มีระบบธุรกิจที่ดีที่จะคอยช่วยเหลือให้เราสามารถทำหน้าที่ปลูกกันต่อไปเรื่อยๆ
GM : คุณจี๊บเอง การมาร่วมกับคุณบอยเหมือนเป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิตการทำธุรกิจ ตอนนี้มองสเต็ปการก้าวเดินของตัวเองอย่างไรบ้าง
จี๊บ : ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องในชีวิต ที่…ว้าว! อยู่ดีๆ ก็ได้มาทำงานกับพี่บอย ในฐานะแฟนเพลงน่ะนะ รู้สึกว่า โอ้โฮ! ดีใจจังเลย แล้วก็เริ่มรับรู้ความคิดของพี่บอยว่าพี่บอยคิดอะไร อย่างไร เพราะอะไร ฉะนั้นสเต็ปต่อไปของผมก็คือ ทำอย่างไรให้สิ่งเหล่านี้ที่พี่บอยคิด มันยังอยู่นะ มันรันได้นะ มันหล่อเลี้ยงทุกคนได้ และสร้างประโยชน์ต่อสังคมจริงๆ ดีลที่เราคุยกันเล่นๆ ก็คือ ทำอย่างไรให้พี่บอยไปอยู่เมืองนอกมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะพอดีครอบครัวพี่บอยอยู่ต่างประเทศ ถ้าพี่บอยไปได้เมื่อไหร่ แสดงว่าพี่บอยอิสระแล้ว จากที่ต้องทำอะไรทุกวัน แล้วเมื่อไหร่ที่พี่บอยไป นั่นแปลว่า ผมคาดหวังว่าเราจะได้เพลงดีๆ กลับมาเสมอ เพราะว่าพี่บอยจะมีความอบอุ่น ได้เจอลูก เจอภรรยาส่วนเราถนัดตรงนี้ เราก็ทำตรงนี้ไป เหมือนเปิดร้านอาหาร พี่บอยเป็นคนปรุง ผมก็อยู่หน้าร้าน วันนี้พอพี่บอยมีเวลา พี่บอยก็จะปรุง ครีเอทอาหารใหม่ๆ ได้มากขึ้นอีก ผมอยู่ข้างหน้า ผมก็หยิบตรงนี้มาเสิร์ฟ ทำอย่างไรให้เสิร์ฟแล้วมีลูกค้าเข้ามารับประทาน เราสองคนจะพยายามแค่ไหนก็ตาม มันจะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีคนเข้ามารับประทาน
GM : เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับตัวเองบ้างในแง่มุมมอง ความรู้สึก
จี๊บ : หนึ่งคือใจเย็นขึ้น คือจากที่ผมเคยทำมา ต้องยอมรับก่อนว่าผมไม่เคยเป็นหุ้นกับใคร ผมก็ทำของผม เพราะฉะนั้นการตัดสินใจมันเด็ดขาด จะหน้าจะหลัง จะซ้ายจะขวา ผมตัดสินใจและรับผิดชอบการตัดสินใจของผมได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจจะด้วยวัยด้วย ทำให้เราก็มีเรื่องใจร้อนบ้าง ไม่ใจร้อนบ้าง สลับกันไป แต่พอมาอยู่ตรงนี้ เราเริ่มตระหนักแล้วว่า เฮ้ย! มันไม่ใช่เราคนเดียวนะ เรามีพาร์ทเนอร์ เรามีพี่บอยอยู่นะ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจทุกอย่าง ต้องแปลว่าเมื่อทำไปแล้ว ต้องตอบทั้งคู่ได้ว่า ทำเพราะอะไร ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วเสียอะไร เดี๋ยวนี้ก่อนตอบก็จะใจเย็นลงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ คิดมากๆ ก่อน ถ้าเป็นสมัยก่อนของเราเอง เราจะทำอะไรก็ได้ ก็ทำให้มีประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง กลับกลายเป็นว่าผมนำสิ่งที่ทำกับเลิฟอิสกลับไปใช้ตรงโน้นด้วยซ้ำไป รอบคอบมากขึ้น
กว่าจะได้เพลงหนึ่งมันยากเย็นแสนเข็ญ เวลาที่เรารอแต่ละโมเมนต์เป็นอย่างไร เพลงพอออกมาแล้วความรู้สึกเป็นอย่างไร สำเร็จไม่สำเร็จอีก แล้วต่อไปจะอย่างไร เออ…เข้าใจแล้ว – เทพอาจ กวินอนันต์ –
GM : ปกติไลฟ์สไตล์ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
จี๊บ : เตะบอลครับ ชอบเตะบอล ชอบร้องเพลง แต่จริงๆ ชีวิตประจำวันบางทีอยู่บ้านมาก ตอนเย็นถึงหัวค่ำไม่เคยรับงาน อยู่กับครอบครัวเป็นหลัก ส่วนกลางวันก็ไปทำงานบ้าง แต่พอมีเลิฟอิส ทำงานทุกวันเลย (หัวเราะ) ไม่เคยขี้เกียจเลยครับคือนอกจากชอบอยู่กับทุกท่านแล้ว ผมโชคดีมาก อยู่ในบริษัทเลิฟอิส ศิลปินก็มาบ่อย คนโน้นคนนี้มา บางทีเรานั่งประชุมกันอยู่ เอ้า! เล่นเพลงนี้สิ แล้วเราก็นั่งประชุมต่อ ดีจังเลย ทำไมชีวิตดีขนาดนี้ (หัวเราะ) อยู่ดีๆ ก็มีเพลงแบบที่เล่นกันเก่งๆ แล้วทุกคนก็อยากเล่น เราก็อยากฟัง คนนี้เล่น เอานักร้องอีกวงหนึ่งมาร้องแทน ให้มันเปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ ทำไมบรรยากาศอย่างนี้มันดีจัง แล้วผมว่าถ้าบริษัทอื่นมาเห็นคงอิจฉา (หัวเราะ) พูดตรงๆ นะ เพราะว่ามัน Lively มาก และทำให้มีความเป็น Family สูง
บอย : แล้วมันเป็นอะไรที่เราภาคภูมิใจนะ เวลาที่ผมบอกกับศิลปิน ผมจะบอกว่า คุณดูเถอะ ว่าถ้าคุณจะทำงานกับค่ายไหน คุณต้องมองว่าประธานบริษัทค่ายนั้น เขาอยู่บริษัทหรือเปล่า หรือนี่คือของเล่นของเขา ซึ่งนี่เขาตั้งอยู่หน้าบ้านเลย มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าปลอดภัยมาก บ้านคุณจี๊บคืออยู่ตรงข้ามบริษัท เดินมาห้าก้าวสิบก้าว เพียงแค่ข้ามถนนก็ถึงบริษัทแล้ว อย่างนั้นเลย
จี๊บ : แล้วเหมือนเซเว่นเลย เปิด 24 ชั่วโมง ประตูไม่เคยปิด เดินไปกี่โมงก็มีคนอยู่ (หัวเราะ) ก็อยากให้ทุกคนติดตามนะครับ ว่าเลิฟอิส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จะขยับไปทางไหนต่อ บางอย่างเราก็พูดได้ บางอย่างก็ขอให้ทุกอย่างแน่นอนก่อน แล้วเราค่อยๆ เปิดออกมา แต่ผมเชื่อว่ายังมีอาหารหลายๆ จานรออยู่ เราก็จะครีเอทอะไรใหม่ๆ ออกมาให้คนไทย ให้แฟนๆ ได้รับประทาน ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะชอบไม่มากก็น้อย ซึ่งวันนี้เราดีใจมากเลยที่แฟนๆ ยังติดตามอย่างเหนียวแน่น และก็ให้การสนับสนุนอย่างดี ต้องขอบคุณแฟนๆ ด้วย แฟนๆ พี่บอยตั้งแต่สมัยเบเกอรี่จนมาถึงเลิฟอิส ทุกท่านให้เกียรติพี่บอย ให้เกียรติทางเรามากเหลือเกิน
นักเขียน : ณัฐพล ศรีเมือง
ช่างภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม
Update : 20 Nov 2018