รวมคอลเลคชัน นาฬิการับหน้าร้อนปี 2021

และหน้าร้อนของปี 2021 ก็ได้เดินทางมาถึงครึ่งเดือนเมษายนเป็นที่เรียบร้อย และบรรดาแบรนด์ ‘นาฬิกา’ ชั้นนำทั้งหลาย ก็ค่อยๆ ทยอยออกคอลเลคชันใหม่ เพื่อต้อนรับวาระแห่งความสดใสเหล่านี้ด้วยสีสัน คุณสมบัติ และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ซึ่ง GM ขออาสา พาคุณไปพบกับคอลเลคชันของแบรนด์ต่างๆ ที่คัดสรรมาแล้ว เผื่อว่าจะมีชิ้นใดที่ตรงใจคุณบ้าง
Intra-Matic ChronoGraph H จาก Hamilton
Hamilton นำนาฬิกาโครโนกราฟแบบไขลานกลับมาอีกครั้งในรูปแบบของนาฬิกาข้อมือ Intra-Matic Chronograph H ซึ่งถือเป็นนาฬิกาสำหรับผู้ที่หลงใหลนาฬิกาไขลานอย่างแท้จริง

นาฬิกา Intra-Matic Chronograph H รุ่นใหม่ในคอลเลคชั่นล่าสุดนี้ กลับมาเพื่อคืนชีพยุคทองแห่งนาฬิกาสปอร์ตอีกครั้ง ด้วยการนำโครโนกราฟแบบไขลานอันโดดเด่นกลับมาอีกครั้งเพื่อหวนคืนจิตวิญญาณของความเป็นอเมริกันคลาสสิค โดยนาฬิกา Intra-Matic Chronograph H รุ่นใหม่นี้ ไม่ได้สร้างขึ้นเพียงเพื่อบอกเวลาเท่านั้น แต่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อใช้งานแบบไขลาน เพื่อเป็นนาฬิกาจับเวลา เพื่อประสบการณ์การใช้งานที่จะทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสและรู้สึกถึงการออกแบบและประดิษฐ์นาฬิกาแบบอนาล็อกอย่างแท้จริง

นาฬิกา Intra-Matic Chronograph H ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาโครโนกราฟ A และ B ซึ่งเป็นที่นิยมในปี 1968 ตัวเรือนยังคงความเป็นเอกลักษณ์จากรุ่นดั้งเดิมและยังรวมดีไซน์ใหม่แบบร่วมสมัยไว้ด้วย ซึ่งถือเป็นการผสมผสานทั้งสองสไตล์อันละเอียดอ่อนเอาไว้ได้อย่างลงตัว นาฬิกาเรือนนี้จึงมีเสน่ห์ดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบความเรียบง่ายบริสุทธิ์และความซับซ้อนของกลไกโครโนกราฟแบบไขลานได้เป็นอย่างไร้ข้อกังขา

Hamilton ได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อพัฒนากลไกนาฬิกาโครโนกราฟไขลานแบบใหม่ออกมาเป็นเทคโนโลยีที่ชื่อ Hamilton caliber H-51 เนื่องในโอกาสพิเศษสำหรับการกลับมาของนาฬิกาในครั้งนี้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้มาพร้อมกับพลังงานสำรอง 60 ชั่วโมง และยังช่วยยกระดับความวินเทจดั้งเดิมให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้นไปพร้อมกัน

นอกจากเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดแล้ว Intra-Matic Chronograph H มาพร้อมกับดีไซน์ตัวเรือนทำจากสแตนเลสสตีลมาพร้อมสายหนังสีดำหรือสายสแตนเลสสตีลถักลายตาข่าย หน้าปัดขนาด 40 มม. เสริมความโดดเด่นบนหน้าปัดแพนด้าสีดำและสีขาวด้วย Super-LumiNova® ซึ่งชวนทำให้นึกถึงสีเก่า ๆ ของเรเดียม รวมไปถึงกระจกหน้าปัดคริสตัลแซฟไฟร์แบบนูน ที่สะท้อนลักษณะเฉพาะของนาฬิกาโครโนกราฟของ Hamilton ที่ไม่มีใครเทียบได้ในช่วงทศวรรษที่ 1960s และ 1970s
Ventura Elvis 80 Skeleton จาก Hamilton

นาฬิการุ่นตำนานอันล้ำยุคอย่าง Ventura กลับมาพร้อมดีไซน์ใหม่ล่าสุดในชื่อ Ventura Elvis80 Skeleton ภายใต้การตีความความคลาสสิกของ Ventura ในรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ทันสมัยอย่างรูปทรง Elvis80 ซึ่งเป็นรูปทรงที่ได้รับการตั้งชื่อตาม Elvis Presley ผู้ที่ถือเป็นแฟนตัวยงของนาฬิกา Ventura

Ventura Elvis80 Skeleton กลายมาเป็นนาฬิการะบบอัตโนมัติแทนระบบไฟฟ้า ซึ่งได้สร้างนิยามใหม่ให้กับการผลิตนาฬิกาในทุกมิติ ด้วยกลไกอันโดดเด่นที่ปรากฏบนหน้าปัด โดยหน้าปัดเปลือยของตัวเรือน Ventura Elvis80 Skeleton เผยให้เห็นกลไก H-10-S สุดล้ำ พร้อมการตกแต่งที่โฉบเฉี่ยวแบบ Côtes de Genève มาพร้อมการสำรองพลังงานถึง 80 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเราได้ผสานอดีต ปัจจุบันและอนาคตเข้าด้วยกัน โดยยังคงไม่ทิ้งรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Ventura ด้วยดีไซน์คลื่นไฟฟ้าที่ถูกนำเสนอผ่านลายซิกแซ็กบนโครงสร้างหน้าปัดแบบเปลือยหรือโครงกระดูก (skeleton)

Ventura Elvis80 Skeleton มีมาให้เลือกใน 2 แบบ 2 สไตล์ แบบแรกคือตัวเรือนสีดำเคลือบ PVD และหน้าปัดเปลือย ตัดกันอย่างโดดเด่นด้วยดีไซน์คลื่นไฟฟ้าสีแดง อีกแบบหนึ่งคือตัวเรือนสีโรสโกลด์เคลือบ PVD โดดเด่นด้วยดีไซน์คลื่นไฟฟ้าสีโรสโกลด์ โดยทั้งสองแบบจะมาพร้อมกับสายข้อมือยางสีดำ
Logines White Campaign เรือนขาวสะดุดตาจากแบรนด์ Logines
นาฬิกาสีขาวแต่ละเรือนมีความแตกต่างในเชิงสุนทรียศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นผิวสัมผัส เฉดสี และรูปทรง ทว่ามีสิ่งที่เหมือนกันคือการทำหน้าที่สะท้อนตัวตนของผู้สวมใส่ เส้นสายของดีไซน์ที่หรูหราสง่างาม สัดส่วนที่กลมกลืน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของหญิงสาวในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ “สีขาว” ยังเป็นหนึ่งในสีที่สะท้อนถึงจิตวิญญาณของแบรนด์ เนื่องด้วยลองจินส์ก่อตั้งขึ้นในแซงต์ อิมิเยร์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองแห่งขุนเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนในช่วงฤดูหนาว โดยที่สีขาวของหิมะจะมีเฉดสีที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและแสงที่สาดส่องของแต่ละวัน ดังนั้น White Campaign จึงเกิดจากการรวมตัวกันของนาฬิกาสีขาวจาก 4 คอลเลกชั่นที่ได้แรงบันดาลใจจากความน่าดึงดูดใจของธรรมชาติและผิวสัมผัสของนาฬิกาที่หลากหลาย

Longines DolceVita (ลองจินส์ โดลเชวิต้า) มีความโดดเด่นที่ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ได้แรงบันดาลใจจากนาฬิกาในยุค 1920 โดยเป็นการผสมผสานทรวดทรงเรขาคณิตเข้ากับเส้นสายที่อ่อนช้อย โมเดล L.5.512.4.71.2 ทำจากตัวเรือนสตีลขนาด 23.00 x 37.00 มม. หน้าปัดสีเงินแฟลงเก้ ตกแต่งเลขโรมันสี ทำงานด้วยกลไกควอทซ์ เข็มบอกชั่วโมงและนาทีทำจากสตีลชุบสีน้ำเงิน มาพร้อมสายรัดข้อมือหนังอัลลิเกเตอร์สีขาวที่มีอุปกรณ์การเปลี่ยนสายในตัว

La Grande Classique de Longines (ลา กรองด์ คลาสสิก เดอ ลองจินส์) มีบทบาทสำคัญที่ช่วยสั่งสมชื่อเสียงให้กับแบรนด์รูปนาฬิกาทรายติดปีกแบรนด์นี้เสมอมา และยังเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างามเหนือกาลเวลาของแบรนด์ลองจินส์ รวมถึงมีความโดดเด่นด้วยตัวเรือนที่บางเฉียบ ภายในตัวเรือนสตีลสีเทาขนาด 29 มม. ของโมเดล L4.512.4.87.0 ทำงานด้วยกลไกควอทซ์ หน้าปัดสีขาวมุกมาเธอร์ออฟเพิร์ล ตกแต่งอินเด็กซ์เพชร 12 เม็ด เสริมความงดงามด้วยสายรัดข้อมือหนังสีขาวที่กลมกลืนไปกับหน้าปัดนาฬิกา

The Longines Legend Diver Watch (เดอะ ลองจินส์ เลเจนด์ ไดเวอร์ วอทช์) นาฬิการุ่นไอคอนิกแห่งตระกูล Heritage คอลเลกชั่นที่เปรียบเสมือนการน้อมรำลึกถึงจิตวิญญาณในอดีตของลองจินส์ ในฐานะแบรนด์นาฬิกาที่อยู่เคียงข้างเหล่านักบุกเบิกที่ออกหาญผจญไปในโลกกว้าง ไม่ว่าจะเป็นทางอากาศ ทางบก หรือใต้ท้องทะเล ภายในตัวเรือนขนาด 36 มม.ของโมเดล L3.374.4.80.0 บรรจุกลไกไขลานอัตโนมัติ มีหน้าปัดสีขาวมุก เข็มนาฬิกาสีเงินขัดเงา ตกแต่งเลขอารบิก และเสริมด้วยเครื่องหมายสามเหลี่ยมเคลือบสาร Super-LumiNova® เพื่อช่วยการมองเห็นใต้น้ำได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติเด่นของนาฬิกาดำน้ำ และเพื่อรักษาเอกลักษณ์ของโมเดลต้นแบบไว้ ฝาหลังตัวเรือนจึงสลักสัญลักษณ์รูปนักดำน้ำ มาพร้อมสายรัดข้อมือหนังสีขาวบริสุทธิ์ เพื่อให้เข้ากับหน้าปัดที่มีความเรียบหรูอันเป็นเอกลักษณ์

Longines PrimaLuna (ลองจินส์ พริมาลูนา) คือตัวแทนอันสมบูรณ์แบบของความสง่างามของผู้หญิงที่ได้แรงบันดาลใจจากความงามวิจิตรและน่าพิศวงของท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าปัด ตัวเรือน และข้อต่อที่เชื่อมตัวเรือนกับสายรัดข้อมือ ต่างสะท้อนให้เห็นถึงความโค้งมนอันงดงามของดวงจันทร์ โมเดล L8.115.4.87.6 มาพร้อมตัวเรือนสแตนเลส สตีลขนาด 30.50 มม. ภายในบรรจุกลไกควอทซ์ มาพร้อมหน้าปัดมุกสีขาวมาเธอร์ออฟเพิร์ลตกแต่งอินเด็กซ์เพชร 12 เม็ดโดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นแสดงข้างขึ้นข้างแรม (Moon phase) และสายรัดข้อมือสตีลที่รังสรรค์ขึ้นมาอย่างไร้ที่ติ
Captain Cook นาฬิการุ่นใหม่สุดทนทานจาก Rado

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา Rado ได้วิจัยและพัฒนานาฬิการุ่น Captain Cook High-Tech Ceramic โดยยังคงให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์และรูปแบบดั้งเดิมของ Rado Captain Cook อยู่เช่นเคย

การพัฒนาต่อยอดจากคอลเล็กชั่น Captain Cook ในครั้งนี้มีการนำไฮเทคเซรามิกซึ่งถือเป็น DNA ที่แท้จริงของ Rado มาใช้ นอกจากนี้ Rado ยังประสบความสำเร็จในการนำนวัตกรรมไฮเทคเซรามิกมาหล่อเป็นตัวเรือนแบบชิ้นเดียว อีกทั้งคุณสมบัติป้องกันรอยขีดข่วนและไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ส่วนภายในมาพร้อมกลไกระดับพรีเมี่ยมของแบรนด์ นั่นคือ คาลิเบอร์ (Calibre) R734 และขดลวดขนาดเล็ก NivachronTM Hairspring ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรม อันยอดเยี่ยมของ Rado เพราะ NivachronTM มีคุณสมบัติช่วยปกป้องนาฬิกาจากสนามแม่เหล็กรอบๆ ตัว ในชีวิตประจำวันของเราได้อีกด้วย

สำหรับ Captain Cook ในตัวเรือนเซรามิก ได้นำมาเผยโฉมครั้งแรกในปีนี้ ในขนาด 43 มม. มีทั้งหมด 4 โมเดลด้วยกัน เริ่มจากโมเดลแรก ตัวเรือนและสายนาฬิกาทำจากไฮเทคเซรามิกสีดำ กรอบหน้าปัดแบบหมุนได้เป็นสแตนเลสชนิดที่มีความแข็งแรงคงทน ตัวอินเสิร์ตของนาฬิกาใช้ไฮเทคเซรามิกสีดำเช่นกัน โมเดลที่สองใช้ตัวเรือนและหน้าปัดเหมือนโมเดลแรก แต่สายนาฬิกาเป็นยาง สำหรับคนที่อยากใส่นาฬิกาแมตช์กับลุคสบายๆ ไม่ทางการมากนัก ส่วนโมเดล ที่สาม ตัวเรือนและสายทำจากไฮเทคเซรามิกสีดำ กรอบหน้าปัดแบบหมุนได้เคลือบ PVD สีโรสโกลด์ดูมีระดับ ตัวอินเสิร์ตใช้ไฮเทคเซรามิกสีดำ สำหรับโมเดลรุ่นสุดท้าย โดดเด่นด้วยตัวเรือนกับสายนาฬิกาที่เป็นพลาสม่าไฮเทคเซรามิกสีดำ กรอบหน้าปัดเป็นสแตนเลสชนิดแข็งแรงเป็นพิเศษ อินเสิร์ตนาฬิกาใช้ไฮเทคเซรามิกสีน้ำเงิน

Rado Captain Cook High-Tech Ceramic ไม่ได้มีเพียงความสวยงามและหรูหราเท่านั้น แต่รูปโฉมที่ดีนี้มาพร้อมประสิทธิภาพเหนือระดับ ด้วยกลไก Calibre R734 มีพลังงานสำรองให้สูงถึง 80 ชั่วโมง กันน้ำได้ในระดับ 30 บาร์ (300 เมตร) เมื่อมองลึกลงไปถึงพื้นหลังของหน้าปัดและตัวเรือนที่เป็นคริสตัลแซฟไฟล์สีดำ จะได้เห็นกลไกการทำงานข้างใน การขยับของฟันเฟืองต่างๆ โดยที่ขณะเดียวกันกลับไม่รบกวนสายตาในการดูเวลาบนหน้าปัดแต่อย่างใด เพราะทั้งสัญลักษณ์สามเหลี่ยมบนกรอบหน้าปัด เข็มนาฬิกา และลูกศรขนาดใหญ่บนเข็มนาฬิกาประจำรุ่น Captain Cook นั้นแต่งแต้มด้วยพรายน้ำ SuperLumiNova® สีขาวพิเศษ ทำให้เรามองเห็นได้อย่างชัดเจนในที่มืด ตัวหน้าปัดที่สวยสะดุดตานี้ยังมีสัญลักษณ์สำคัญของ Rado นั่นคือสมอเรือหมุนได้ อยู่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้เกราะป้องกันอย่างคริสตัลแซฟไฟร์

Captain Cook Ceramic รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีทั้งกลไกและวัสดุชั้นเลิศระดับมาสเตอร์พีซนี้ รอให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว เพื่ออิ่มเอมไปกับความสบายและน้ำหนักที่เบาเหลือเชื่อ สำหรับนาทีนี้ Captain Cook High-Tech Ceramic คือ DNA ของ Rado อย่างแท้จริง
Swatch Bioceramic เมื่อนวัตกรรมนาฬิกา ผสานเข้ากับวัสดุเพื่อสายรักษ์โลก

ครั้งแรกกับนวัตกรรมวัสดุ BIOCERAMIC ที่สายมินิมอล สายรักษ์โลก ต้องห้ามพลาดกับคอลเลคชั่น SWATCH BIOCERAMIC ที่มาแบบเรียบๆ แต่ไอเดีย และประสิทธิภาพบอกเลยว่าไม่เป็นรองใคร ใครที่เคยเป็นแฟนคลับของนาฬิกาสาย ECO อย่าง BIO-RELOADED จะต้องชอบรุ่นล่าสุดนี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นการพัฒนามาจากปี 2020 สู่นวัตกรรมวัสดุใหม่สุดปังอย่าง ไบโอเซรามิก (Bioceramic) เป็นการนำเอาวัสดุไบโอซอร์สพลาสติก (วัสดุชีวภาพ) มาบวกกับเซรามิกจนเกิดเป็นวัสดุกับคุณสมบัติใหม่ ที่ทนทาน มีความยืดหยุ่น ไม่แตกง่ายเหมือนเซรามิคทั่วไป

ด้วยส่วนผสมจากเซรามิก 2 ใน 3 ส่วน และไบโอซอร์สพลาสติก 1 ใน 3 ส่วน กับสองวัสดุที่มีทั้งความยืดหยุ่นและทนทาน บวกกับสัมผัสที่นุ่มลื่น เบาสบาย มาในโมเดลตระกูลสุดฮิตที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักอย่าง BIG BOLD กับหน้าปัดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 47 มม. ที่เราจะได้เห็นถึงเลเยอร์กลไกการทำงานของนาฬิกาที่ซ้อนกันได้อย่างสวยงาม และโครงสร้างที่น่าหลงใหลของหน้าปัดตัวนี้ได้อย่างชัดเจนกับหน้าปัดแบบซีทรูที่เป็นซิกเนเจอร์ของ SWATCH อีกด้วย เรียกได้ว่าใหญ่จุใจ และสัมผัสได้ถึงการผสมผสานอย่างลงตัว สวมใส่ง่าย และสบายสุดๆ นอกจากนี้ตัวสาย หน้าปัด loop ก็ยังทำมาจากไบโอซอร์สพลาสติกอีกด้วย

SWATCH BIOCERAMIC คอลเลคชั่นนี้มีมาให้เลือกถึง 5 สี สไตล์เรียบๆ คลีนๆ ที่ตั้งใจดีไซน์มาให้เป็นสีเดียวกันทั้งเรือนเพิ่มความกลมกลืนให้นาฬิกาดูเพอร์เฟคยิ่งกว่ารุ่นไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นสีคลาสิคตลอดการอย่างสีขาว หรือ สีดำ หรือจะเป็นสีมาแรงแห่งปี 2021 อย่างสีเทา และสดใสไปกับสีพาสเทลที่ให้ความรู้สึกเบาสบายอย่างสีชมพู และสีฟ้า ที่สายพาสเทลจะจับมามิกซ์แอนด์แมทช์ได้กับทุกลุคทุกสไตล์
