fbpx

ชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ส่งต่อแหล่งเอราวัณ ด้วยความภาคภูมิใจ และย่างก้าวต่อไปของเชฟรอนประเทศไทย

คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ‘อุตสาหกรรมพลังงาน’ คือปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ช่วยให้ภาคส่วนต่างๆ ดำเนินเติบโต ต่อไปได้ อย่างในสมัยก่อนมียุคที่เรียกว่า ‘โชติช่วงชัชวาล’ ที่เป็นผลมาจากการค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย เริ่มที่ ‘แหล่งเอราวัณ’ นำมาสู่การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ ปัจจุบัน แหล่งเอราวัณ ภายใต้การดูแลของ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ได้ผลิตก๊าซธรรมชาติให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 40 ปี และในเมษายนปีหน้า แหล่งเอราวัณจะเปลี่ยนผ่านจากเชฟรอนไปสู่ผู้ดูแลใหม่

GM ได้รับเกียรติจาก คุณชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งเข้ามารับไม้ต่อในช่วงเวลาอันสำคัญนี้ ร่วมพูดคุย แสดงวิสัยทัศน์ ถึงทิศทางที่เชฟรอนจะก้าวต่อไปในโลกที่ตลาดพลังงานได้เติบโต เปลี่ยนแปลง การแสวงหาความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศให้ยั่งยืนสืบไป  

จากจุดเริ่มต้น กับเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ ในเส้นทางสายพลังงาน

ในเบื้องแรกที่ได้พบเจอ อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า คุณชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด นั้นดูหนุ่มกว่าที่คิด เป็นความประทับใจแรกในการพูดคุยกัน  แต่คำตอบที่ได้รับกลับมานั้น ทำให้ต้องแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยประสบการณ์ทำงานที่เติบโตในเส้นทางสายพลังงานมาตลอด 27 ปี และจนถึงปัจจุบัน นับว่าคุณชาทิตย์ได้ร่วมงานกับกลุ่มเชฟรอนมาแล้วเกือบ 20 ปี

“ตั้งแต่ผมเรียนจบจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมปิโตรเลียม ก็ทำงานในสายพลังงานมาตลอดครับ” คุณชาทิตย์ กล่าว “ผมเริ่มงานครั้งแรกกับบริษัทชลัมเบอร์เจอร์ (Schlumberger)  โดยทำงานในต่างประเทศมาโดยตลอดทั้งไนจีเรีย อียิปต์ และอินเดีย ต่อมาได้เข้าร่วมงานกับบริษัทยูโนแคล หรือก็คือบริษัทเชฟรอนในปัจจุบัน ได้รับโอกาสให้รับผิดชอบงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และ สหราชอาณาจักร จนถึงตอนนี้ทำงานกับเชฟรอนมาเกือบ 20 ปีเต็มแล้ว” 

เป็นระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับคนหนึ่งคน ที่อยู่บนเส้นทางสายอาชีพนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการก้าวไปสู่จุดสูงสุดอย่างตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ซึ่งคุณชาทิตย์เป็นคนไทยคนที่ 3 ที่สามารถก้าวมาอยู่ในตำแหน่งนี้ จึงอดถามไม่ได้ว่า ภายใต้สภาวะการทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับต่างชาติโดยตลอดนั้น มีความลำบากใจหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อต้องมาอยู่ในตำแหน่งบริหารสูงสุด

“จากที่เคยร่วมงานกันมา ผมคิดว่าคนต่างชาติเขามองที่ผลลัพธ์จากสิ่งที่ทำนะครับ คือเราสื่อสารกับเขาเข้าใจ มีผลงานให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เราผ่านการพิสูจน์ตัวเองจากหน้างานมาแล้วว่าทำได้จริง มีความเข้าใจในเนื้องาน ผมเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอที่จะทำให้เขายอมรับ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตามครับ” 

แต่แน่นอน เมื่อยิ่งอยู่ในตำแหน่งที่สูง ความกดดันและภาระความรับผิดชอบก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณชาทิตย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ และอาจจะเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของเชฟรอนประเทศไทยเลยก็ว่าได้…

การส่งผ่าน ‘แหล่งเอราวัณ’ ด้วยความรับผิดชอบและปลอดภัย

เป็นที่รับรู้กันว่า ‘เอราวัณ’ เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติแห่งแรกในอ่าวไทยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งมี บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เป็นผู้ดำเนินการ ได้ทำหน้าที่ผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ให้กับคนไทยมาครบ 40 ปี นับเป็นบทบาทที่สำคัญยิ่ง

แต่ในเวลานี้ เหลืออีกเพียงไม่กี่เดือน แหล่งเอราวัณจะเปลี่ยนมือจาก เชฟรอน ไปอยู่ในความดูแลของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) – ปตท.สผ. ที่จะเข้ามากำกับดูแลในภาคการผลิต รับไม้ต่อจากสิ่งที่เชฟรอนได้ทำไว้ และนี่คือภารกิจสำคัญทั้งกับเชฟรอนรวมถึง คุณชาทิตย์ ในฐานะประธานกรรมการบริหารที่ต้องดูแล

“แหล่งเอราวัณ ถ้าเปรียบได้กับคนคนหนึ่งในวัย 40 ปี ก็ต้องถือว่าเป็นบุคคลที่มีความพร้อมในทุกๆ ด้านครับ” คุณชาทิตย์กล่าว “แหล่งเอราวัณเป็นผลงานความภาคภูมิใจของชาวเชฟรอน ที่ได้มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย รวมถึงได้บุกเบิกและสร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของประเทศ เราจึงมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะส่งมอบแหล่งเอราวัณ ที่เราภูมิใจให้กับผู้ดำเนินงานรายใหม่ด้วยความปลอดภัย นับเป็นความตั้งใจของเรา” 

อย่างไรก็ตาม การสิ้นสุดสัมปทานของแหล่งเอราวัณ ที่ยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ นั้น ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ ‘โอกาส’ ใหม่ๆ ที่เชฟรอนจะตอบสนองต่อความต้องการทางด้านพลังงานของประเทศ 

“การส่งมอบแหล่งเอราวัณให้กับทาง ปตท.สผ. นั้น อาจจะทำให้องค์กรของเรามีขนาดเล็กลง แต่ผมมองว่ามีข้อดีตรงที่ทำให้เชฟรอนถัดจากนี้ไป จะมีความคล่องตัว สามารถยืดหยุ่นต่อทุกความท้าทายและโอกาสที่เข้ามา ซึ่งคนที่จะไม่ได้อยู่กับเชฟรอนต่อ ทางบริษัทฯ ก็มีโครงการช่วยเหลือเรื่องโอกาสทางด้านงานและการฝึกอบรม แต่สำหรับคนที่อยู่ ผมเชื่อว่าจะเป็นคนที่พร้อมทั้งความสามารถ และพร้อมทั้งใจ ที่จะไปด้วยกันกับเชฟรอนจริงๆ”

และเมื่อถามถึง ‘โอกาสและความท้าทายใหม่ๆ’ ที่เชฟรอนได้มองเอาไว้  “ในส่วนนี้ทางเชฟรอนเองก็ได้มองหาโอกาสการเติบโตทั้งจากแหล่งสัมปทานที่เรามีอยู่ และในพื้นที่อื่น เช่น พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมและดำเนินการเพื่อรองรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมพลังงานที่จะเปลี่ยนไปสู่พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะด้วยแนวทางการลดความเข้มข้นในการปล่อยคาร์บอนจากการปฏิบัติงาน ที่เราก็ทำได้ตามเป้าหมาย รวมถึงการมองไปยังการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ที่มีโอกาสและความเป็นไปได้” 

เคียงข้างคนไทยฝ่าภาวะวิกฤติ

ประเทศไทยเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม จนถึงการใช้ชีวิต เชฟรอน ในฐานะที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนานมานานกว่า 59 ปี ได้มีส่วนช่วยเหลือสังคมในภาวะเช่นนี้อย่างไร

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เชฟรอนได้ให้การสนับสนุนโครงการทางด้านสังคมในหลายรูปแบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย อย่างเช่น ในวิกฤติการระบาดของ COVID-19 เราได้สนับสนุนหน่วยงานต่างๆ ในการรับมือกับวิกฤตินี้ รวมเป็นเงินแล้วกว่า 26 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ เงินทุน รวมถึงสนับสนุนการวิจัยที่จะนำไปสู่การสร้าง Know-how และ Innovation เช่น การมอบทุนให้กับคณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมดำเนินการวิจัยในโครงการสุนัขดมกลิ่นตรวจหาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่ไม่แสดงอาการ นอกจากนี้เรายังให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ ในภารกิจฉีดวัคซีนให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น”

ในจุดนี้คุณชาทิตย์ได้กล่าวย้ำสิ่งที่เชื่อมั่น และพันธกิจของเชฟรอนที่มีต่อภาคสังคมที่ชัดเจนอย่างยิ่งไว้ข้อหนึ่ง

“ผมเชื่อว่าการที่บริษัทหนึ่งจะยั่งยืนได้นั้น ไม่ใช่ทำแต่เพียงการแสวงหาผลกำไร แต่จะต้องคืนบางสิ่งกลับสู่สังคมด้วย เชฟรอนก็ได้ทำสิ่งเหล่านี้มาตลอด โดยจะเน้นที่ ‘4E’ คือ Education (การศึกษา), Environment & Energy Conservation (การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม), Economic Development (การพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต) และ Employee Engagement (การมีส่วนร่วมของคนในองค์กร) ซึ่งทั้ง 4E นี้ คือเสาหลักที่เชฟรอนยึดไว้ในการตอบแทนสังคม”

บาลานซ์ในทุกสิ่ง แต่เอาจริงอย่างเชฟรอน

มีประโยคที่จะได้ยินอยู่เสมอๆ เกี่ยวกับ ‘Work-life Balance’ หรือสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน แน่นอน เป็นสิ่งที่อาจจะได้มาไม่ง่ายนัก ท่ามกลางสภาวะที่เร่งรีบ การงานที่หนักหน่วง โดยเฉพาะกับตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร แต่คุณชาทิตย์เน้นย้ำว่าการเกลี่ยสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน คือ ‘หัวใจ’ หลักของเชฟรอน ไม่ใช่กับแค่ผู้บริหาร แต่รวมถึงทุกๆ คนในองค์กร  “ถึงแม้ผมจะทำงาน 12-14 ชั่วโมงต่อวัน แต่พอจบเวลาทำงาน ผมก็ตัดทิ้งเลยครับ” คุณชาทิตย์กล่าวถึงกิจวัตรประจำในแต่ละวัน “และผมจะให้เวลา กับตัวเองไปกับงานอดิเรกที่ชื่นชอบ ซึ่งก็คือการเข้ายิมออกกำลังกายและการวิ่ง ผมเข้ายิม 5 วันต่อสัปดาห์ พอวันที่ 6 ผมจะวิ่ง 10 กิโลเมตร และอีกวันที่เหลือคือพักเต็มที่ครับ ทำอย่างนี้มาโดยตลอด” 

ในจุดนี้คุณชาทิตย์ได้อธิบายเสริมว่า เมื่อผู้บริหารได้ทำเป็นตัวอย่างแล้ว บรรยากาศของคนในองค์กรก็ผ่อนคลาย และกลายเป็น ‘วัฒนธรรม’ ไปในที่สุด 

“ผมคิดว่าพอผู้บริหารได้ทำเป็นตัวอย่าง แล้วคนในองค์กรได้เห็น ก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ และผมเองก็แนะนำให้ทำด้วยครับ เพราะเราไม่สามารถทำงานต่อเนื่องแบบ 24 ชั่วโมง โดยไม่มีเวลาชีวิตส่วนตัว ไม่มีเวลาให้ครอบครัว แบบนั้นผมว่ามันไม่ดีกับทั้งชีวิตและการทำงานแน่ๆ”

ความประทับใจ และก้าวต่อไปของเชฟรอนในการนำของ ชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง

ในฐานะผู้ที่อยู่กับเชฟรอนมากว่า 20 ปี อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีในช่วงเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้

“สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีในทุกครั้ง คือการที่ผมสามารถช่วยเหลือการทำงานของคนในทีม ทำให้การทำงานของน้องๆ ในทีมไม่คั่งค้าง และ ‘ง่าย’ สำหรับพวกเขา ผมจะไม่ไปสาย ไม่ทำให้งานต้องล่าช้า ผมจะเคลียร์ทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนทำงานได้อย่างสะดวกราบรื่นที่สุด และผมจะดีใจมาก ถ้าสามารถเป็นแรงผลักดันให้คนในองค์กรได้ประสบความสำเร็จ เพราะนั่นคือความสำเร็จของทุกคน”

หากจะให้บอก ‘นิยาม’ ความเป็น บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด อย่างคร่าวๆ ในมุมมองของคุณชาทิตย์ว่าคือสิ่งใด คำตอบออกมาเป็น 3 คำที่เรียบง่ายได้ใจความ นั่นคือ People, Performance และ Partnership

“คำแรก People – บุคลากร ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของเชฟรอน, Performance – ผลการดำเนินงาน เชฟรอนร่วมมือกันทำงานเพื่อให้เกิดผลงานระดับแนวหน้าในอุตสาหกรรม ด้วยเทคโนโลยีและมาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมระดับโลก และ Partnership – การเป็นพันธมิตรกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทั้งคู่ค้า สังคม หน่วยงานภาครัฐ ฯลฯ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย นั่นคือหัวใจหลักของเชฟรอนประเทศไทยในมุมมองของผม” 

นี่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณชาทิตย์ ห้วยหงษ์ทอง ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ ตัดสินใจอยู่ร่วมกับเชฟรอนมากว่า 20 ปี นั่นเพราะไม่ใช่แค่เพียงประสิทธิภาพและความชำนาญในด้านพลังงานที่โดดเด่น เคียงคู่คนไทยมาเกือบ 6 ทศวรรษ แต่เชฟรอนยังเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยวัฒนธรรมที่พร้อมจะเดินหน้า ผลักดัน และส่งเสริมบุคลากรทุกคน ให้เอาชนะทุกความเปลี่ยนผ่าน ประสานกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อให้สามารถเดินไปสู่ฟ้าใหม่แห่งความมั่นคงทางพลังงานไปด้วยกัน 

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ