fbpx

เมื่อชีวิตเฉียดลมหายใจสุดท้าย ของ เอ๊ะ พงศ์จักร พิษฐานพร

ใครที่เป็นแฟนคลับวงละอองฟองแล้วละก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่รู้จัก เอ๊ะ พงศ์จักร พิษฐานพร

นักร้อง นักดนตรีหนุ่ม ที่พ่วงตำแหน่งมิวสิกไดเร็กเตอร์ ให้กับวง BNK48  โดยสาวๆ วงนี้จะเรียกขานเขาว่า ครูเอ๊ะและเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เองเจ้าตัวประสบอุบัติเหตุจักรยานล้ม ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง กระดูกคอหัก แม้ว่าจะเซฟตัวเองด้วยการใส่อุปกรณ์ป้องกันครบชนิดจัดเต็มก็ตาม

แม้จะพ้นขีดอันตรายจนกลับมามีสภาพสภาพร่างกายเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และพร้อมลุยงานเต็มที่ตามประสาหนุ่มไฮเปอร์ แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดี เหมือนกับคุณเอ๊ะ และ ไม่ใช่คุณเอ๊ะเช่นนี้ไปทุกครั้ง เพราะเรียกได้ว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ ชีวิตของคุณเอ๊ะสัมผัสถึงลมหายใจสุดท้ายจริงๆ

และเรื่องราวถัดจากนี้ คือ เรื่องเล่าและความรู้สึกเมื่อชีวิตเฉียดลมหายใจสุดท้าย ของ เอ๊ะ พงศ์จักร พิษฐานพร ที่ได้ถ่ายทอดกับทาง GM Live Thought ถึงมุมมองและข้อคิดที่ได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้

“ผมมีความเชื่อว่า ช่วงชีวิตของคนเรา ไม่มีอะไรแน่นอนครับ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งดีและร้าย จะผ่านเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวเสมอ และไม่ว่าอย่างไรหากเข้าใจพร้อมกับยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เมื่อนั้นเราก็จะมีความสุข และสามารถใช้ชีวิตไปยังเป้าหมายได้

ผมเองก็เพิ่งผ่านพ้นกับช่วงเวลาที่เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่รู้ตัว หรือจะเรียกว่าไม่รู้อะไรเลยจะถูกว่า จนมารู้สึกตัวอีกทีก็นอนเจ็บอยู่ข้างถนนแล้วครับ ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ต้องบอกว่าผมโชคดี ยังมีแต้มบุญอยู่บ้าง ที่มีคนมาช่วยและพาส่งโรงพยาบาลทัน ในขณะเดียวกันช่วงที่หมดสติไปก็ไม่ได้มีเหตุอะไรมาผสมเพิ่มจนเรื่องบานปลายมากกว่านี้ และครั้งนี้คืออุทาหรณ์จริงๆ ผม แม้จะมั่นใจว่าร่างกายแข็งแรง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

ย้อนกลับไปช่วงสถานกาณ์การแพร่ระบาดของช่วงโควิด-19 ช่วงแรกที่ผ่านมา ผมได้เริ่มหันมาปั่นจักรยานในช่วง work from home ซึ่งถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และยังได้ความเพลิดเพลินตรงจริตกับผมมากๆ โดยผมเริ่มปั่นในระยะทาง 5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการปั่นในหมู่บ้านทุกๆ วัน จากนั้นก็เริ่มพัฒนาความไกลขึ้นเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร และ 20 กิโลเมตรจามลำดับ

จากเริ่มเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง กลายเป็นความรู้สึกหลงใหลและรักในการปั่นจักรยาน พ้นหนึ่งเดือนผมก็ไปซื้อจักรยานใหม่เป็นจักรยาน Road bike เสือหมอบ พร้อมเริ่มปั่นจักรยานอย่างจริงจัง  โดยเวลาปั่นจักรยาน ผมจะปไปคนเดียวใช้เวลาประมาณสองถึงสามชั่วโมงต่อวัน เฉลี่ยระยะทางก็ประมาณ 50 ถึง 70 กิโลเมตรต่อวัน ยิ่งได้เห็นไขมันในร่างการหายไปหมดเลยยิ่งทำให้ผมมีความสุขและตื่นเต้นกับการปั่นจักรยานมากขึ้นและมองเป็นเรื่องที่ท้าทาย

ครับ.. ผมหลงไหล และ รักการปั่นจักรยานมาก ๆ

จากนั้นก็เริ่มพัฒนาการปั่นจักรยานของตัวเองให้ไกลขึ้น และทุกครั้งที่ออกเดินทางไปต่างจังหวัดผมก็จะนำจักรยานไปด้วยเสมอ เพื่อปั่นไปตามเส้นทางต่างๆ เป็นเวลาเกือบ 10 เดือน ที่มุ่งมั่นกับการปั่นจักรยาน โดยรวมระยะทางได้เกือบ 10,000 กิโลเมตร

และจากที่ผมฝึกปั่นอย่างจริงจัง โดยปั่นเพียงคนเดียว ซึ่งด้วยอายุของผมก็ไม่น้อยแล้ว ถือว่าหักโหมมากเลยทีเดียว และนี่เองอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ครับ

จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้รู้ว่า ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิตครับ ถึงแม้ว่าผมไม่ประมาทแล้วก็ตาม เหตุการณ์วันนั้น…ผมก็ปั่นจักรยานเหมือนกับทุกๆวัน วันละประมาณ 50 กิโลเมตร เช้าวันเกิดเหตุผมตั้งใจจะปั่นจักรยานครอบกว๊านพะเยา ซึ่งระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตรซึ่งเป็นระยะทางที่ผมปั่นเป็นประจำ ก่อนออกเดินทางผมทานแซนด์วิชช่วงเช้า พอเวลา 8 โมงก็เริ่มออกไปปั่นโดยไม่มีอาการใดทั้งสิ้น ตลอดทางก็ดื่มดำและสัมผัสกับบรรยากาศยามเช้าที่เย็นสบาย เพราะช่วงนั้นเป็นปลายเดือนมกราคมอากาศกำลังสบายมากๆ ประมาณ 17 ถึง 18 องศา มีขึ้นเนินบ้างเล็กน้อยสลับกับลงเนิน แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นหรือมีอาการเตือนใดๆ จากร่างกาย  จนปั่นมาถึงรอบขากลับเกือบจะเข้ามาถึงในเมืองพะเยา โดยอีกประมาณสองกิโลเมตรก็จะถึงที่พักแล้ว

จำได้ว่าผมมองเห็นป้ายวัดศรีโคมคำ ซึ่งนั่นคือภาพสุดท้ายที่ผมเห็นจากนั้นภาพตัดไปเหมือนผมหลับ ตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่งเหมือนได้ยินเสียงคนพูดเสียงดัง ภาพแรกที่เห็นคือผมนอนอยู่บนพื้นเห็นกู้ภัยกำลังช่วยผมและพยุงผมล็อคคอ คำถามแรกที่ผมเห็นและพูดกับผู้ภัยนั้นคือ นี่ผมกำลังฝันไปใช่ไหมครับ แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือกู้ภัยบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงครับ คุณจักรยานล้ม หลังจากได้ยินคำตอบนี้ผมตกใจมากและพยายามตั้งสติหาโทรศัพท์ที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อจะโทรไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าจักรยานล้ม เมื่อได้โทรศัพท์ไปแจ้งคุณพ่อแล้ว ท่านถามว่าอาการเป็นยังไงบ้างหนักหรือไม่ ผมก็กดโทรศัพท์เพื่อดูหน้าตัวเอง ไม่อยากเชื่อว่าใบหน้าผมมีเลือดเต็มหน้าและมีแผล ซึ่งน่าจะเกิดจากหน้าผมไปกระแทกกับสันฟุตบาท จนทำให้หนังบนใบหน้าเปิดและใหญ่มาก  เลยบอกคุณพ่อไปว่าน่าจะหนักครับ จากนั้นให้คุณพ่อคุยกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยต่อ

สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นคือ อะไรจะเกิดก็ให้เกิด ตั้งสติให้ดีและอยู่กับปัจจุบันให้ได้ ผมปรับสายตาแล้วทิ้งตัวปล่อยให้เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ผมถูกพาเข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน ซึ่งจากการเอ็กซเรย์ร่างกายและสแกนสมอง พบว่าผม…กระดูกคอซีหกและซีเจ็ดเกิดการแตกหัก มีเลือดออกในเยื่อหุ้มสมอง ซี่โครงขวาหัก 1 ซี่ มีแผลฉีกขาดที่บริเวณคางด้านขวา และฟันหน้าร้าว ถือว่า อาการสาหัส แล้วคุณหมอก็ได้คุยกับพ่อคุณแม่ซึ่งผมได้ยินทุกอย่างว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดในหลายๆ เรื่อง เนื่องจากกระดูกคอแตก และอยู่ใกล้กับเส้นเลือดใหญ่และเส้นประสาทที่เชื่อมโยงร่างกาย

ผมนึกได้อย่างเดียวว่า….ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเถิด คุณหมอแจ้งว่าถ้าอาการดีจะไม่เป็นไรแต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตหรือเป็นเจ้าชายนิทราได้ ถ้ากระดูกคอไปโดนเส้นเลือดใหญ่ หลังจากนั้นผมก็ถูกล็อกคอเป็นเวลาหนึ่งวันผมภาวนาในใจเสมอว่าขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี คิดถึงพลังบวกทั้งหมดที่ทำไว้ ไม่โทษ ไม่โกรธ ไม่ไปนึกถึงว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อาจจะมีสงสัยบ้างว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์นี้แต่ผมไม่พยามไปหาคำตอบ ขอแค่ให้ผมผ่านจุดนี้ไปให้ได้เท่านั้น

และเมื่อผมเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพะเยาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ กระดูกเริ่มเข้าที่และกลับมาสมานได้ดังเดิม เมื่อทำการสแกนสมองและเอ็กซ์เรย์อีกครั้ง คุณหมอแจ้งข่าวดีกับผมว่า …ผมปลอดภัยพ้นขีดอันตราย แต่ต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำกายภาพ ปรับสภาพร่างกายให้ฟื้นฟูกลับมาดังเดิม ในระหว่างที่อยู่โรงพยาบาลผมก็ปฏิบัติตัวตามคุณหมอทุกอย่าง ใส่อุปกรณ์ที่เฝือกล็อคคอ ไม่ให้ขยับ นอนอยู่นิ่งๆ พยายามไม่เคลื่อนไหว เพื่อให้กระดูกกลับมาสมาน คนในครอบครัว พยาบาล และทุกคนที่ทราบข่าว คอยให้กำลังใจเสมอ และผมก็ไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวด ความกังวลหรือแสดงการเครียดอะไรทั้งสิ้น เพราะว่า..ผมยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องสู้ต่อไปครับ

หลังออกจากโรงพยาบาลสิ่งที่ผมนึกได้อย่างเดียวคือ…เราจะต้องหายเท่านั้น ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย ผมจะกลับมาใช้ชีวิตรักษาตัวเองให้หายดี จิตใจผ่องใสไม่ขุ่นมัว ค่อยๆ ปรับสภาพร่างกาย กล้ามเนื้อ ทำกายภาพบำบัด และแผลก็สมานหายดีขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ใหญ่หลวงมากสำหรับผมกับประสบการณ์เฉียดตาย เปรียบเสมือนการเกิดใหม่ครั้งหนึ่ง

จากนี้ไปผมจะพยายามระวังรักษาตัวให้มากขึ้น และจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ สิ่งสำคัญคือ ผมจะไม่จมอยู่กับเหตุการณ์ที่ผ่านมา อโหสิกรรมให้กับทุกสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ดำเนินชีวิตใหม่ พร้อมกับพลังบวกที่ยังนำพามาถึงวันนี้ และจากนี้ต่อไปผมเชื่อว่าถ้าเข้าใจทุกอย่างซึ่งเป็นธรรมชาติรอบตัว หรือแม้กระทั่งสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตว่านั่นคือธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะไม่ประมาทและจะผ่านพ้นทุกทุกเหตุการณ์ไปได้อย่างดีและเชื่อว่าจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและเข้าใจชีวิตในความเป็นธรรมชาติมากขึ้นครับ

เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเข้าใจและรู้ว่าไม่มีอะไรแน่นอนบนโลกใบนี้ สิ่งที่ทำได้คือ คิดบวกเข้าใจธรรมชาติ และทำในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข พร้อมส่งต่อความสุขให้คนรอบข้าง ที่สำคัญเราก็มีจะความสุขในการใช้ชีวิต และดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีสติครับ

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ