เรื่อง : อรรถ บุนนาค
ข่าวหนึ่งที่เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างในระยะนี้นั่นก็คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช แถลงเรื่องรื้อฟื้นการคิดเลขในใจ ท่องอาขยานและสูตรคูณ ในการเรียนการสอนของโรงเรียน โดยกล่าวไว้ว่า
“บางคนอาจจะมองว่าดิฉันหัวโบราณไปบ้าง แต่การทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการท่องบทอาขยาน สูตรคูณ หรือหน้าที่พลเมือง หากให้นักเรียนท่องหลังเลิกเรียน ถือเป็นวิธีการทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้นักเรียนผ่อนคลายหลังเลิกเรียน เพราะนักเรียนได้ส่งเสียงออกมา สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนคลายเครียด และสนุกกับการเรียนมากขึ้น”
เมื่ออ่านผ่านตาในตอนแรกก็คิดในใจว่า “แหม่…ช่างเป็นแนวนโยบายเรียกดราม่าจากโลกโซเชียลเสียจริง” และเป็นดังคาด ประชากรโลกโซเชียลต่างแห่ออกมาถล่มนโยบายนี้ว่าคร่ำครึ ไดโนเสาร์เต่าล้านปี ย้อนแย้งว่าไหนก่อนหน้านี้ให้เลิกการสอนแบบท่องจำแต่นี่คืออะไรกลับย้อนเอาวิธีการโบราณกลับมาใช้ใหม่ บลาบลาบลา…แล้วก็บลาบลาบลา
สรุปเท่าที่อ่านผ่านตา ไม่ได้ทำโพลหรือระเบียบวิธีวิจัยจริงจังอะไร ก็เห็นว่าคนส่วนมากไม่เห็นด้วยและก่นด่ากับแนวนโยบายนี้ อืม…เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ในกระแสสังคมที่ดูจะก้าวไปสู่วิถีลิเบอรัล-เสรีนิยม กันมากขึ้น….หรือเปล่า? เอาเป็นว่าเมื่อเทียบกับสักห้าปีที่แล้ว ดูกระแสสังคมไทยจะเปลี่ยนไป จากแนวคิดแบบคอนเซอร์เวทีฟ-อนุรักษ์นิยมเคยยึดครองเป็นกระแสหลัก ใครมีความคิดแปลกแตกแยกก็จะถูกคนกระแสหลักไล่ชิ้ว ๆ ให้ออกนอกประเทศไป จนมาวันนี้เมื่อกระแสเสรีนิยมมาครองพื้นที่กระแสหลักของสังคม ใครที่มีความคิดแปลกแตกแยกก็จะกลายเป็นคนที่อยู่ใน “กะลาแลนด์”
แต่ดูเหมือนว่าสังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หัวเลี้ยวหัวต่อ จึงเห็นความลักลั่นประดักประเดิดเกิดขึ้น ดูเป็นเสรีนิยมปลอม ๆ ที่สลัดอนุรักษ์นิยมไปไม่หมด หรือพวกที่เป็นอนุรักษ์นิยมก็พยายามจะส่งเสียงให้ความคิดตัวเองดูมีน้ำหนักโดยการทำตัวให้ดูก้าวทันยุคทันสมัย…แต่จิตวิญญาณก็เหมือนเดิม หรือทั้งสองฝ่ายที่พูดอะไรออกมาไม่ได้อยู่ในตรรกะย้อนแย้งกับอุดมการณ์ของตัวเอง เลยดูหัวมังกุท้ายมังกรกันไปหมด
โดยส่วนตัวแล้วสนับสนุนความคิดของคุณหญิงกัลยา ในเรื่องการท่องอาขยานนี้ และยอมรับว่าตัวเองเป็นอนุรักษ์นิยม แม้ที่ผ่านมาผู้คนจะยัดเยียดว่าข้าพเจ้าเป็นเสรีนิยมแล้วไล่ข้าพเจ้าชิ้ว ๆ เป็นหมูเป็นหมา จนต้องออกมาพ่นบ่อย ๆ ว่า แฮลโหลววววว กูเป็นอนุรักษ์นิยม แต่การเป็นอนุรักษ์นิยมไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนโง่นะจ๊ะ มันไม่เหมือนกัน
กลับเข้าเรื่องต่อเรื่องท่องอาขยาน คือเห็นด้วยกับการท่องอาขยาน แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการแถลงข่าวของกระทรวงศึกษาธิการ และแอบสมน้ำหน้าคุณหญิงกัลยากับกระทรวงศึกษาธิการที่โดนดราม่านี้ (อ้อ…ประกาศตัวตรงนี้ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนนิสัยดี ยอมรับว่าเป็นคนนิสัยไม่ดี จึงไม่แอฟ-ทักษอรให้สวย ๆ เป็นนางเอกนะ) คือฉงนฉงายว่าการจะแถลงนโยบายอะไรที่จะนำมาใช้ควรมีอ้างอิงงานวิชาการหรือการศึกษาวิจัยอะไรไหม….(เอ๊ะ! หรือว่ามีแต่ข่าวโฟกัสเฉพาะจุดนี้…อุ๊ย! กูจะปล่อยโง่ตั้งแต่บทความชิ้นแรกเลยหรือเปล่าวะ???…เอาเถอะช่างมันฉันไม่แคร์….อุ๊ยมุกเก่าไป…เอาใหม่ ๆ …แล้วไงใครแคร์—-)
ที่เห็นด้วยกับการท่องอาขยานนั้นก็เพราะว่า มีนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้าเป็นติ่งแฟนคลับตัวยงคือ อ.ไซโต ทากาชิ เป็นนักวิชาการด้านการศึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการทางสมอง ได้พูดถึงการท่องอาขยานหรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โสะโดะขุ” (ไม่ใช่สุโดะขุเกมหยอดเลขนะจ๊ะ) หรือการอ่านออกเสียงไว้ว่า เป็นวัฒนธรรมของวิถีแห่งจิตวิญญาณของญี่ปุ่น (เคลมใหญ่มากนะจ๊ะ…แต่ฟังแล้วดูไม่มีน้ำเสียงชาตินิยมแบบของไทยเวลาพูดอะไรแบบนี้นา) สิ่งนี้จะช่วยการพัฒนาสมอง ทำให้พัฒนาเรื่องความสามารถในการสื่อสาร การคิดแบบตรรกะ ความฉับไวในการคิด และพัฒนาจินตนาการ โดยมีการวิจัยออกมาเป็นเรื่องเป็นราว… ข้ามการวิจัยในเรื่องสมองไปนะเพราะดูจะเกินความสามารถทางสติปัญญาของข้าพเจ้า
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันใกล้ตัวแล้วเข้าใจได้ในเรื่องการท่องอาขยานตามทฤษฎีของอ.ไซโตก็คือ เป็นการช่วยฝึกการออกเสียง เพราะอย่าลืมว่าอวัยวะในช่องปากที่ใช้ในการออกเสียงนั้น โดยการเปล่งเสียงธรรมชาติแล้วไม่ได้ใช้อวัยวะทุกส่วนในช่องปากในการออกเสียง ร้องไห้แง ๆ ๆ เป็นเด็กทารกก็คงไม่ได้เอาปลายลิ้นไปแตะปุ่มเหงือก หรือคงไม่มีเด็กคนไหนจะร้อง ว่าแงร——กระดกลิ้นรัวรอ เรืออย่างชัดเจนเป็นตัวอักษรควบแท้ เข้าใจก่อนนะจ๊ะว่าการพูดภาษาได้นั้นมันไม่ได้เป็นธรรมชาติมันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นการประดิษฐ์สร้างขึ้นมา ดังนั้นมันก็เป็นการฝืนที่ต้องใช้อวัยวะในช่องปากที่ไม่เคยใช้เพื่อการออกเสียงตามวัฒนธรรมของภาษา การท่องอาขยานมันเปรียบได้กับการยืดหยุ่นร่างกายวอร์มอัพก่อนการเล่นกีฬา เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้เริ่มตื่นตัว มีความยืดหยุ่น เล่นกีฬาต่าง ๆ ได้ มันก็เหมือนการเล่นฟิตเนส-โยคะที่บริหารกล้ามเนื้อร่างกายให้ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นการรื้อฟื้นการท่องอาขยานกลับมาก็ควรมีนักวิจัยด้านสัทศาสตร์เข้ามาร่วมด้วยเพื่อทำการศึกษาว่าการออกเสียงในภาษาไทยคำไหนที่ใช้อวัยวะในช่องปากที่ปกติแล้วไม่ใช้กันมาใช้ หรือคำไหนที่เป็นคำที่เด็ก ๆ มีปัญหาในการออกเสียง ก็ต้องคัดสรรคำเหล่านั้นมาใช้แต่งเป็นบทอาขยาน รวมถึงคอนเทนต์ในการท่องอาขยานก็ควรจะร่วมสมัยเหมาะสมกับยุค จะให้มานั่งท่อง “ซักส้าวเอย มะนาวโตงเตง ขุนนางมาเอง มาเล่นซักส้าวววว” มันก็คงไม่ไหวมั้ง ข้าพเจ้าท่องมาแต่เด็ก…จนบัดนี้กูยังไม่รู้เลยว่าซักส้าวมันคืออะไร…เด็กเดี๋ยวนี้จะรู้ไหมว่าขุนนางคืออะไร รูปประกอบที่ยังติดตาข้าพเจ้าในหนังสือก็คือเป็นผู้ชายนุ่งโจงกระเบนใส่ชุดราชปะแตน ก็ยังงง ๆ ว่าอีตาลุงนี่คือใครวะ ขุนนางกับพนักงานเสิร์ฟร้านตำหนักไทนี่คืออาชีพเดียวกันเปล่าวะ (ต้องใส่เชิงอรรถไหมว่าตำหนักไทคืออะไร….อธิบายหน่อยแล้วกัน สมัยก่อนตรงประมาณหัวถนนรัชดาที่เป็นห้าง…เดี๋ยวนี้เขาเรียกอะไรวะ ห้างฟอร์จูนอ้ะ เคยมีสวนอาหารชื่อดังชื่อว่า ตำหนักไท อยู่ขายอาหารไทย พนักงานใส่ชุดไทยเสิร์ฟอาหารบนเสก็ตล้อ เก๋กู้ดรูดม่านที่สุดสำหรับเด็ก ๆ ในยุคทศวรรษ 1980)
คนที่เป็นอนุรักษ์นิยมที่มักโดนเสรีนิยมด่าว่าโง่นั้น ส่วนใหญ่มักจะยังอยู่ในโลกอำนาจเก่า ๆ ….ก็แบบที่ตัวเองเคยด่าผู้ใหญ่รุ่นก่อนตัวเองว่าคร่ำครึและตัวเองก็โดนผู้ใหญ่รุ่นก่อนด่าว่า…เด็กสมัยนี้มัน…เหมือนที่ตัวเองด่าเด็กยุคนี้นั่นแหละ มันหมดยุคการสื่อสารหรือทำอะไรโดยการใช้อำนาจจากข้างบนสั่งลงมาเบื้องล่างแล้วทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้งสงสัยไปแล้ว ต้องเข้าใจนะ ผู้มีอำนาจของรัฐ ผู้ปกครอง ตลอดจนผู้มีอำนาจในสังคมอย่างพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้บังคับบัญชา จะกดให้ผู้ใต้อำนาจของตนทำอะไรโดยไม่อธิบายและคิดว่าคนเหล่านั้นโง่กว่าตัวเองไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นก็จะโดนถอนหงอกแบบที่โดนกันทุกเมื่อเชื่อวันแบบที่โดนกันอยู่…นะจ๊ะ
เมืองไทยใหญ่อุดม
ดินดีสมเป็นนาสวน
เพื่อนรักเราชักชวน
ร่วมช่วยกันมุ่งหมั่นทำ
วิชาต้องหาไว้
เป็นหลักได้ใช้ช่วยนำ
ให้รู้ลู่ทางจำ
ค้นคว้าไปได้มากมาย
ดังนี้มั่งมีแท้
ร่มเย็นแน่หาไหนปาน
โลกเขาจะเล่าขาน
ถิ่นไทยนี้ดีงามเอย
ขอบคุณภาพจาก https://m.facebook.com/maneemanafan/