fbpx

PARASITE : แด่ พรี ไวไพ (กรุณาอ่านแบบเกาหลี), หิน, น้ำท่วม และกลิ่นสาบปรสิต

เมื่อ ‘พวงสร้อย อักษรสว่าง’ ผู้กำกับหนังรุ่นใหม่ เจ้าของงานอย่าง ‘นคร-สวรรค์’ เขียนถึงหนังเกาหลีที่สั่นสะเทือนความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

เรื่อง : พวงสร้อย อักษรสว่าง

พรี ไวไพ – What’s on your mind?

พระอาทิตย์ใกล้ตกดินของวันอาทิตย์

เราเดินออกมาตรงลานจอดชั้นห้า ชายแก่ถือไม้แบดมินตันนั่งอยู่บนม้านั่ง 

แสงสาดเข้ามา เรานึกถึงซีนหนัง อยากกดชัตเตอร์เก็บไว้ แต่กลัวทำลายไพรเวซีมนุษย์

ภาพตัดไปชายหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มพนักงานทำความสะอาดปล่อยมือจากไม้กวาด

หยิบบุหรี่สูบ แม้แสงจะส่องถึงหน้า แต่ดันส่องลงมาไม่ถึงป้ายห้ามสูบบุหรี่

ชายแก่ลุกขึ้นเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนพร้อมถุงช๊อปปิ้งหลากยี่ห้อมุ่งตรงมาทางเขา

เราได้ยินไม่ชัดนักว่าพวกเขาพูดอะไร พลางเดินไปเปิดประตูรถเบ๊นซ์สักรุ่น 

ควันรถเบ๊นซ์ถูกปล่อยออกมา ปะทะควันบุหรี่จากชายหนุ่มยูนิฟอร์มพนักงานทำความสะอาด

วิวตรงหน้าช่างน่าโรแมนติไซซ์ถึงโมงยามความหวานหอมช่วงพระอาทิตย์ตกดิน 

มองลงไป ไม่มีแล้วแสงชมพู มีแต่มนุษย์มอเตอร์ไซค์ ไฟคนข้าม พนักงานโบกรถ 

แม่บ้าน คนเดินถนน เข้ารูนั้น ออกรูนี้ตามตรอกซอกซอย เหมือนแมลงตัวเล็กๆ

เรายืนมองคน ‘ชั้นล่าง’ มาตรวัดในรูปแบบของจำนวนชั้น 

ชั้นที่วันอาทิตย์คน ‘ชั้นห้า’ มีโอกาสกำเงิน 240 บาท เข้ามาดูหนังภาพยนตร์แปะโลโก้ Palm d’or 

ก่อนเดินกลับลงไปเป็นคนชั้นล่างอีกครั้งเมื่อตีน เอ้ย เท้าถึงพื้น 

และเฝ้ามองหาพรี ไวไพ (กรุณาอ่านแบบเกาหลี) 

เพื่อจะได้ไม่ต้องเปลืองเน็ทจากมือถือของตัวเอง แน่ล่ะ – เพื่ออัพสเตตัสเกี่ยวกับชนชั้นปรสิต – 

.

(เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์)

เรื่องราวเริ่มต้นที่บ้านชั้นล่างสุดที่มีหน้าต่างมุ้งลวดมองเห็นขอบถนน

ถุงเท้าห้อยต่องแต่งลงมาจากกรอบพัดลมรียูส ยามเย็นเหม็นกลิ่นฉี่คนเมา ยามเช้าเหม็นกลิ่นสาปตัวเอง 

ชีวิตของครอบครัวคิมประกอบไปด้วยพ่อแม่ลูกชายลูกสาวและทั้งหมดตกงาน 

สิ่งประกอบชีวิตขั้นพื้นฐานนอกจากบ้าน เครื่องนุ่งห่ม อาหารเก่าๆ และยา (ไม่แน่ใจว่ามีไหม)
คงเป็นพรีไวไพ ที่จะนำพาการค้าเสรีอย่างการพับกล่องพิซซ่าขายแลกเงินมาให้

“ไอ้แมลงเหม็นสาบ” คิม คีแท็ก ผู้เป็นพ่อสบถขึ้น ก่อนจะเงยเห็นคนฉีดควันยาฆ่าแมลงคละคลุ้งไปทั่วถนน

“เปิดหน้าต่างไว้ เราจะได้บริการกำจัดแมลงฟรี” แล้วทั้งสี่ก็กลั้นใจพับกล่องพิซซ่าต่อไป

หิน

มันเริ่มต้นเรื่องที่เพื่อนของลูกชายหอบ ‘หิน’ มาให้ ก่อนบินไปต่างประเทศ 

หินปราชญ์ของนายร้อย, หินมั่งมี, หินนำโชค, แลนสเคป สโทน หินที่ไม่ได้เอาไว้สร้างบ้าน แต่สร้างฐานะ

ดูเผินๆ คุณค่าของเหรียญรางวัลนักกีฬาของแม่สมัยสาวๆ อาจมีค่ามากกว่า หิน

แต่ในเมื่อการเป็นนักกีฬาเพื่อชาติในอดีตมันไม่นำพา หินนี่สิหนา มันคือความหวังแห่งอนาคต!

ทั้งๆ ที่ แม่บ่นอยากได้อาหารมากกว่าหิน แต่สุดท้ายก็ได้มานั่งขัดหิน 

คิม คีวู ลูกชายในชุดสูทแคชชวลโบกมือลาไปสัมภาษณ์งานในบ้านคุณปาร์ค

บ้านที่เพื่อนเจ้าของหินเขาฝากฝังให้คีวูไปสอนพิเศษอิงลิชให้กับลูกสาวชั้นมอห้าหน้าตาจิ้มลิ้ม

“คนรวยน่ะ ซิมเพิ่ลลึ” เพื่อนเขาว่าไว้อย่างนั้น

ความซิมเพิ่ลลึ (simple) ถูกทำให้เป็นรูปธรรมผ่านการออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างมีชั้นเชิงแต่ “เรียบง่าย”

กระจกบานใหญ่มองออกไปเป็นวิวพาโนราม่าต้นไม้ที่ตัดแต่งอย่าง “ซิมเพิ่ลลึ

สถาปนิกชื่อดังได้ออกแบบไว้ก่อนจะเดินทางไปปารีส บ้านหลังนี้จึงถูกขายต่อให้ครอบครัวปาร์ค

สนามหญ้าหน้าบ้านที่ถูกตกแต่งไว้อย่างดี วิวที่คีวูมองเห็นจากข้างใน มันไม่ใช่ภาพคนเมายืนฉี่

แต่อาจเป็นหมาพันธุ์ดีสามตัว หมาที่มีชีวิตที่เรียบง่ายและดูดีกว่าคนเมาแถวบ้านเขาเสียอีก

เราจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่! และสุดท้ายคีวูก็เริ่มเข้าไปอาศัยผ่านบทเรียน “พรีเทนด์” (pretend) 

และจูบเด็กสาวแบบซิมเพิ่ลๆ 

การสร้างบ้านอาจจะต้องมีการก่อหิน ก่ออิฐ โบกปูน ตอกไม้

แต่การสร้างฐานะ เราอาจจะต้องมีหินที่ตั้งไว้ในบ้าน เพื่อให้คนถามว่า หินนี้คืออะไร

แหงล่ะ เมื่อเราอิ่มท้องและเงินเหลือ เราจึงมีสิทธิไปซื้อหิน

เหมือนที่คุณนายปาร์คยิ้มแบบไนซ์ๆ “มันคืองานศิลปะ” And you know it!

คุณนายปาร์คหาคนสอนศิลปะให้กับลูกชายตัวน้อยวัยประถมที่คลั่งใคล้วัฒนธรรมอินเดียนแดง

กระดาษวาดสีและอาการแหงนมองฟ้าหาแรงบันดาลใจของแทซก มีความหมายสำหรับแม่ผู้มีอันจะกิน 

ผู้ที่สามารถจ่ายเงินค่าศิลปะบำบัดให้กับ เจสสิก้า ที่จบจากอิลินอยส์ และเป็นลูกคนเดียว 

มาสอนลูกชายของเขาด้วยค่าตัวแพงหูฉี่ได้ 

เจสสิก้าทำให้ลูกชายคุณนายปาร์คโค้งคำนับและยอมเรียนด้วยคำพูดจากกูเกิ้ลและประกาศนียบัตรปลอมจากอิลินอยส์โดยไม่ต้องเข้าคณะศิลปะ ในขณะที่ตัวเจสสิก้ายามเดินลงกลับบ้านใต้ถุน เธอกลับมาชื่อเกาหลีอย่างคิม คีจุง เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ความสามารถของเธอดูจะไปได้ไกลแค่กว่าการพับกล่องพิซซ่าเร็วรมควันในวันนั้น

หิน ที่ถูกห่อหุ้มด้วยกล่องหนังบุกำมะหยี่อย่างดี

เรานั่งดูหิน พลันนึกถึงใบประกาศณียบัตรปริญญาโทศิลปะที่ยังถูกหุ้มด้วยแฟ้มพลาสติก

มันยังไม่เคยถูกแกะออก 

ปรสิตตัวที่ 2 3 4 จึงค่อยๆ มาอยู่บ้านคุณปาร์ค ทั้งพ่อที่มาเป็นคนขับรถ และแม่ที่ค่อยๆ เข้ามาเป็นแม่บ้าน

แม้จะต้องกำจัดใครที่ขวางทางออกไปก็ตาม เห้ย เศรษฐกิจแบบนี้มีงานให้ทำก็โชคดีแค่ไหนแล้ว!

น้ำท่วม

สมัยเด็ก ยามฝนตกน้ำท่วม เราไม่ชอบเข้าห้องน้ำชั้นล่าง มันจะมีตัวพยาธิแดงๆ นอนวางขั้นกลางกระเบื้อง 

ไม่ก็แมลงสาบตัวเล็กๆ ที่จะหลบซ่อนอยู่หลังถังกรองน้ำ ห้องน้ำใต้บันไดน่ะหรือ มันอับ แคบ เปียก

ทุกคนในบ้านคงต่างเฝ้าฝันถึงการเป็นเจ้าของห้องน้ำพื้นแห้ง

เป็นความนึกคิดว่า เท้าคนรวยต้องไม่เปียก

สิ่งที่ทำได้ เราฉีดน้ำให้แรงที่สุด มันพยายามจะเกี่ยวกัน อาจจะดูสู้กัน หรือไม่ก็ช่วยกัน 

สุดท้ายมันทนแรงอัดน้ำไม่ไหว ไหลลงท่อ กระเบื้องก็จะกลับมาขาวอีกครั้ง

แม้สภาพห้องน้ำเราจะดีกว่าครอบครัวคิม แต่ห้องน้ำพวกเราก็เราไม่เคยแห้ง

และหารู้ไม่ว่า ในท่อนั่น แมลงและพยาธิมันยังไม่ตาย

.

ครอบครัวปาร์คไปตั้งแคมป์เพื่อฉลองวันเกิดลูกชายในอ้อมกอดธรรมชาติ

ครอบครัวคิมมาตั้งแคมป์ฉลองการมีอยู่ของชีวิตใหม่ในอ้อมกอดของบ้านครอบครัวปาร์คอีกที

พวกเขาเสพสมอากาศ สถาปัตยกรรมแห่งความเรียบง่าย จิบวิสกี้ ดูสายฝนพรมบนผืนหญ้า 

“นี่สิหนาชีวิตแบบซิมเพิ่ล” 

พ่อและแม่เถียงกัน พ่อว่า ถึงพวกเขาจะรวยแต่ก็นิสัยดีนะ แม่แย้ง พวกเขานิสัยดี เพราะรวยน่ะสิ

“ถ้าฉันรวย ฉันก็ต้องนิสัยดีเหมือนกัน อีเว่น ไนซ์เซอร์!” ผู้เป็นแม่ระเบิดเสียงหัวเราะ

ก่อนเข้าสู่คืนฝนตกห่าใหญ่ ยามฝูงแมลงสาบแตกกระเจิง

คืนที่แม่บ้านคนเก่ากลับมา “นี่มันผิดแผนนะ” ลูกชายบอก พวกเขาได้เจอกับความลับชั้นใต้ดิน

มันมีคนที่อยู่ใต้ถุนใต้เท้าของคุณปาร์คอีกคน! 

ไม่รู้ว่ากลิ่นกางเกงในของคีจุงจะเรียกว่าเป็นกลิ่นสาบได้ไหม ทั้งๆ ที่มันมาจากใต้ดินเหมือนกัน

มันอาจเคยเป็นกลิ่นสาบ แต่วันที่การเอากันเป็นสัญชาติญาณพื้นฐานของมนุษย์อีกอย่าง
มันไม่มีหรอกการเอากันแบบคนรวยหรือคนจน จะหลังเบาะราคาหลายวอน จะหลังรถ จะบนดิน หรือจะในน้ำ

คนมันจะเอา ก็คือจะเอา มันคือวิถีหนึ่งของการมีอยู่ มันคือสัญลักษณ์ของการเอาตัวรอด

น้ำท่วม สองคนเสพสมขึ้นสวรรค์-สามคนวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนลงนรกพร้อมคำสาปของความเหม็นสาบ

น้ำย่อมไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ คำว่าใต้ดินมันเหมือนเป็นทางลงที่ไม่มีที่สิ้นสุดของครอบครัวคิม

“ชีวิตถ้ามันมีแผน มันก็ผิดแผนอยู่ดี งั้นก็ไม่ต้องไปมีมันหรอก” พ่อว่าไว้

เช้าวันใหม่ กระโจมอินเดียนแดงที่สั่งมาจากอเมริกาที่เผลอๆ อาจจะเมดอินไชน่า หรือไทยแลนด์ 

ตั้งตระหง่านกลางสนามหญ้าหลังพายุใหญ่ 

ว้าว! ฟ้าหลังฝนมักสวยงามอย่างนี้สินะ คุณนายปาร์คคิด

กลิ่นสาบปรสิต

คนมีฐานะผิดอะไร

คนไม่มีฐานะผิดอะไร

คนชนชั้นกลางผิดอะไร

นักการเมืองผิดอะไร

และเอ๊ะ ใครกันที่ผิด

คงเป็นความเศร้า คงเป็นเรา ที่ตอบไม่ได้

ความขั้วตรงข้ามของสองครอบครัวย้ำชัดให้เห็นความเหลื่อมล้ำของสังคมได้อย่างชัดเจน

แต่มันไม่ “ซิมเพิ่ล” เลยที่จะหาทางออกของปัญหานี้ในโลกที่ทุกคนต่างดิ้นรนวนเวียนชีวิตตัวเอง

ห้องน้ำใหม่ของเราไม่เปียกอีกแล้ว

มันกว้าง มันใหญ่ มันใหม่ แต่มันต้องกู้ธนาคาร 

ยกเว้น วันที่มีหมายศาล เหมือนแมลงเป็นโขยงขึ้นออกจากท่อ พยาธิขดหมุนพันกันยั้วเยี้ย 

แม้น้ำจะไม่ท่วม แม้จะมีกระสอบทรายกั้นน้ำหน้าบ้าน

แต่เปล่า น้ำขังมันอยู่ในบ้าน

ความสุขของคนข้างล่างอาจไม่ใช่การขึ้นสวรรค์ชั้นบนเพื่อดูหนังในวันหยุดเป็นอย่างแรก

เมื่อคุณยังไม่อิ่มท้อง เราจะหาความรุ่มรวยจากชีวิตได้จากที่ไหนกัน

คุณปาร์คอาจจะบอกว่า ก็แค่กินซี่โครงหมูตุ๋นอุ่นๆ ก็คงง่ายดี ไม่ต้องแวะร้านหรูราคาแพงก็ได้

เขาอาจจะแค่ไปตั้งแคมป์ สัมผัสธรรมชาติ ได้เอาตีน เอ้ย เท้าเหยียบดินหินทรายกับเขาบ้าง

หากแปะสโลแกนสักหน่อย นี่ก็อาจจะเป็นตัวแทนของของคนรวยที่ดี หรือคนดีที่รวย

ทั้งๆ ที่พวกเขาเองก็ไม่ได้ผิดอะไร เขาให้ข้าว ให้น้ำ ให้บ้าน ให้เงิน เขาไม่ได้กดขี่ ไม่ได้ข่มเหงเราด้วยซ้ำ

จะผิดก็คงเพราะรวยหล่ะมั้ง

เราจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่! คิม คีวูเคยคิด หลังจากการเห็นคนใต้ดินอีกหลายคนเจ็บปวด

วันฝนห่าใหญ่ พวกเขาไร้แผน ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนในโรงยิม แย่งกันเอาเสื้อผ้า งมหาหินในบ้านน้ำท่วม 

ก่อนจะมายืนจูบแลกน้ำลายกับลูกสาวนิวริชบนชั้นสอง

“อปป้าอย่างพี่ดูเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไหม อปป้าอย่างพี่จะพรีเทนดึได้แบบที่พี่เคยสอนเธอไหมนะ”

เขามองดูความเป็น “ธรรมชาติ” / ความ “ซิมเพิ่ล” ของคนข้างล่างในสวน

ทั้งๆ ที่เขายืนมองภาพเหล่านั้นจากชั้นสอง แต่มันไม่ทำให้เขาดูสูงกว่าผู้คนเหล่านั้นเลย 

ผู้คนที่ร้องโอเปร่า ผู้คนที่มี snack ปูอัดให้หมากิน ผู้คนที่รวยอย่างเป็นธรรมชาติ

ในขณะที่ครอบครัวคิมหรือครอบครัวใต้ดิน พวกเขาก็จะสู้กัน ห้ำหั่นกันผ่านหินก้อนนั้น 

หินที่บ่งบอกฐานะของคนอื่น หินจะคอยตอกย้ำว่า เราจะไม่มีวันไปถึงชนชั้นสูง 

เราถูกสอนหรือกระทั่งบอกตัวเองให้อยู่แค่ตรงนี้ ขึ้นไปรับแดดบ้าง ชมศิลปะบ้าง 

แต่ได้แค่ตอนที่พวกเขาไม่อยู่ เพราะมันไม่คู่ควรกับเราตั้งแต่ต้น

ชนชั้นสูงมอบพื้นที่อย่างน้อยก็ใต้ดินให้กับเราแล้ว เขาให้อาหารเรา แม้เราจะซื้ออาหารคืนเขาก็ตาม 

สิ่งที่เราควรทำคือ RESPECT

“เราอยู่ที่นี่ ก็สบายใจดี เราเกิดที่นี่ เราแต่งงานที่นี่ แก่หน่อยก็ใช้ความรักประโลมใจ”

คาดสโลแกนโฆษณาตัวที่สอง

แค่ไม่ต้องรวย ก็สุขได้

พวกเขาเองก็ไม่ได้ผิดอะไร

จะผิดก็คงเพราะจนกระมัง

(หรือเราเองก็ไม่แน่ใจ ว่าควรใส่คำว่า พวกเราไปด้วยหรือเปล่า)

สิ่งที่เราทำได้หลังจากหนังจบ เราครุ่นคิด อยากเขวี้ยงของ เงียบงัน งึมงัม งุนงง หันหน้าหาคำตอบ

อ๋อ

ไม่มี 

เรานั่งหลังติดเบาะชมโศกนาฎกรรมของคนที่เราคิดว่าไม่เหมือนเราทั้งสองฟาก

ทั้งๆ ที่เราเองก็ถูกหล่อหลอมให้แขนข้างนึงวาดเส้นเห็นผีพอให้มีซับเทกซ์แบบแทซก

และอีกข้างหนึงก็กอดหินที่ไม่รู้จะเอาไปวางตรงไหนในบ้านเหมือนคีวู

เราเหยียดกลิ่นคนบนรถเมล์ โดยลืมตัวเองไปว่า เราเคยเกาะเสาร่วมกับเขาอยู่

พลางนึกฝันมองลงมาถึงรถเบ๊นซ์ข้างๆ ที่กำลังถ่ายเซลฟี่ เราก็เคยนั่งรถแบบนี้อยู่นะ

เราเอาตัวเองไปอยู่ในสตอรี่บ่งบอกรสนิยมหนังสือที่เราอ่าน สถานที่ที่เรานอนอาบแดด

พอๆ กับวิ่งไล่จ่ายค่าบัตรเครดิต บิลโทรศัพท์เพื่อมาอัพสเตตัสก่นด่าชีวิต เจ้านาย และผู้ชายนานา

ในขณะที่ในโรงยิม สวนนาน้ำท่วมนั่น คนนอนรอบ้านอีกเป็นพัน 

รัฐบาลอยู่ไหน พวกเขาอยู่ในสภาที่อ้างว้างกว่าโรงยิม

ชนชั้นกลางค่อนบนลงล่างอย่างเราๆ ทำได้เท่านี้

เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งที่เพิกเฉย  เป็นฟันเฟืองให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น

เรามองเขาต่ำ พอๆ กับที่ถูกเขาอีกพวกมองต่ำ

ฐานะอย่างเราๆ กระเสือกกระสนเพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกเรียกว่าปรสิต

เราใช้อำนาจเล็กๆ ของเราเองโดยก็ไม่ได้แคร์ว่าจะถีบใครตกบันได ใช้ความรู้สึกว่าเอาน่ะ ยุคนี้ก็ต้องห่วงตัวเองไว้ก่อน หรือดีหน่อยก็อาจจะหลับหูหลับตาสักนิด โอ้ อะไรนะ ไม่มีอะไรเลย

ไม่มีใครอยู่ใต้ดิน บนดินช่างสงบสุขดี เสียงกระบอกปืนหรอ ดังมาจากฝัั่งอเมริกาและอินเดียนแดงหล่ะมั้ง

ภาพจบของคีวู มันเริ่มจากหน้าต่างบานเก่า ถุงเท้าก็ยังคงห้อยต่องแต่ง
แม้เขาจะวาดฝันว่าพ่อจะได้เดินออกมาจากห้องใต้ดิน และโอบกอดกันในสนามหญ้าหน้าบ้าน

ในมือของคีวูไม่ได้มีมือถือหาพรีไวไพแบบตอนต้น แต่เป็นจดหมายที่เขียนถึงพ่อในตอนจบ

โศกนาฏกรรมชนชั้นถูกเขียนไว้บนหน้ากระดาษ ก่อนขึ้น End credit 

สุดท้ายสิ่งที่เราทำก็แค่กลับมาเปิดสพอททิฟายหาเพลงประกอบพาราไซต์เขียนบทความ

หากว่างจากการดิ้นรนทำงาน หรือดูมีมีมรัฐบาล ก็คงศึกษาภาษามอสอย่างน้อยก็คำว่า RESPECT!

เรายืนมองฟ้า มองลานจอดรถ ถ่ายทอดลมอากาศควันบุหรี่แสงสีชมพูให้เป็นข้อความ ให้เป็นบทกวีเสียดสี

วาดฝันว่าจะมองสภาพสังคมตรงหน้า แปลงร่างลงมาให้กลายเป็นบทภาพยนตร์ชั้นดี

อิจฉาที่บองจุนโฮเล่ามันก่อน เล่ามันได้อย่างเจ็บกระดองใจ

เราทำได้เพียงเท่านั้น ได้แค่เศร้าเฝ้าอิจฉา

เฝ้ามองปัญหาจากข้างบนและข้างล่างอย่างเงียบๆ

หาเงินให้ได้เยอะที่สุด ไม่ต้องถามว่าแผนการคืออะไร

แค่ขออย่างเดียวว่า อย่าสะดุดหรือมีเสียง เดี๋ยวจะโดนหินฟาด

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ