เรื่อง : ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
1
เมื่อปี 1961 ประธานาธิบดี John F. Kennedy เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ขององค์การนาซ่า เขาเห็นภารโรงกำลังถูพื้นอยู่ ท่านประธานาธิบดีเข้าไปถามภารโรงคนนั้นว่า เขาทำงานอะไร
“ท่านประธานาธิบดีครับ ผมกำลังส่งคนขึ้นไปยังดวงจันทร์อยู่”
เขาไม่ได้ตอบว่าเขามี “อาชีพ” อะไร แต่เขาตอบคำถามว่าเขาทำงาน “เพื่อ” อะไร
เขามองเห็นเป้าหมายขององค์กร เขามองเห็นตัวเองว่ามีส่วนสำคัญต่อองค์กร ที่สำคัญ เขาเดินไปทางเดียวกับองค์กรด้วยความมุ่งมั่น
ทุกครั้งที่เขากำลังถูพื้น เขากำลังส่งคนขึ้นไปยังดวงจันทร์อยู่
2
ย้อนไปในศตวรรษที่ 17 Christopher Wren สถาปนิกผู้ออกแบบมหาวิหารเซนต์พอลในลอนดอน เดินเข้าไปในบริเวณงานก่อสร้างของมหาวิหารโดยที่ไม่มีใครจำเขาได้ เขาถามคนงานด้วยคำถามเดียวกันว่า เขาทำงานอะไร
คนงานคนที่หนึ่งตอบว่า “ผมกำลังตัดหินอยู่”
คนงานคนที่สองตอบว่า “ผมทำงานที่ได้เงินห้าชิลลิ่งอยู่”
คนงานคนที่สามตอบว่า “ผมกำลังสร้างมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่อยู่”
เหมือนกันกับภารโรงขององค์การนาซ่า พวกเขาไม่ตอบว่าเขาทำ “อาชีพ” อะไร แต่คำตอบของพวกเขาบอกว่าเขามองเห็นตัวเองในงานที่ทำอย่างไร
คนหนึ่งมองเห็นขั้นตอนการทำงาน คนหนึ่งมองเห็นรายได้ที่เขาได้ อีกคนมองเห็นความยิ่งใหญ่ของงานที่ทำอยู่
งานแบบเดียวกัน แต่คนสามคนลงมือทำสิ่งที่ต่างกัน
ทำงานที่ต้องตัดหิน ทำงานที่ได้เงินห้าชิลลิ่ง หรือทำงานที่สร้างมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่
3
ครั้งหนึ่ง ผมเคยถามพนักงานคอลเซ็นเตอร์ของ SCB ซึ่งผมทำงานอยู่ว่า เขาทำงานเพื่ออะไร
ผมคิดว่าหนึ่งในอาชีพที่รับความกดดันมากที่สุดก็คือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ ทุกวันเขาตื่นมาเพื่อรับสายปัญหาที่ลูกค้าโทรมา หลายครั้งต้องเจอกับอารมณ์ที่รุนแรงซึ่งมาพร้อมกับคำพูดที่กรีดหัวใจ และบางทีก็ต้องมาแก้ปัญหาที่เขาไม่ได้เป็นคนก่อโดยตรงด้วยซ้ำ
“ในหนึ่งวันผมต้องรับสายโทรศัพท์ประมาณ 70-90 สาย เท่ากับหนึ่งเดือนผมต้องรับสายประมาณ 2,000 กว่าสาย ถ้าผมคิดว่าหนึ่งเดือนผมโดนคนด่า 2,000 กว่าคน ผมจะไม่อยากตื่นเลย แต่ผมคิดใหม่ ผมคิดว่าผมโชคดี มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนเดือนละตั้ง 2,000 กว่าคน ผมจะอยากตื่นขึ้นมาเพราะผมกำลังจะได้ช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นมีความสุข” พนักงานคอลเซ็นเตอร์บอกผม
เขามองเห็นว่า งานที่ทำกำลังไปช่วยคนอื่นให้มีชีวิตดีขึ้นได้อย่างไร และเปลี่ยนมันมาเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยากตื่นขึ้นมาทำงาน
ตื่นขึ้นมาเพื่อเป็นกระโถนรองรับอารมณ์คนอื่น หรือตื่นขึ้นมาเพื่อช่วยให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้น
4
ทั้งภารโรงผู้ส่งคนขึ้นดวงจันทร์ คนงานก่อสร้างมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่ และคอลเซ็นเตอร์ที่ตื่นมาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่คือ “Purpose” หรือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
เป็นเป้าหมายที่มองไปไกลกว่าความเล็กใหญ่ของตำแหน่งงาน มองไปไกลกว่างานที่ทำ มองไปไกลกว่าตัวเลขรายได้ มองไปไกลกว่าความยากลำบากที่ต้องเจอ ยิ่งมองไปไกลกว่าตัวเองเท่าไร ยิ่งมองเห็นความยิ่งใหญ่ของเป้าหมายที่เรามี
การมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ทำให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น เพราะรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่น ทำให้เราอยากทำงานอย่างสุดความสามารถ เกิดเป็นผลลัพธ์ของงานที่ดีขึ้นพร้อมกับได้ความสุข
ถ้าเราเปลี่ยนจากการมองงานว่าเป็นแค่ “อาชีพ” เป็นการมองงานว่าเป็น “เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่”
เปลี่ยนจากการทำงาน “อะไร” เป็นการทำงาน “ทำไม”
เราจะมองเห็น “ดวงจันทร์” ไม่ใช่เห็น “พื้นสกปรก”
เราจะมองเห็น “มหาวิหาร” ไม่ใช่เห็น “หิน”
เราจะมองเห็น “ความสุข” ไม่ใช่เห็น “ความเจ็บปวด”
เพราะเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่จะทำให้งานที่เราทำอยู่มีความหมายที่ใหญ่ยิ่ง