fbpx

ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

ALL I NEED TO KNOW, I LEARNED FROM FOOTBALL

สำหรับผม ฟุตบอลคือความสุข

ตกอยู่ในภาวะสิ้นศรัทธา ราวกับถูกแช่แข็งพัฒนาการอยู่นานร่วมทศวรรษ สำหรับวงการฟุตบอลไทย

เราแทบจะไม่มีอะไรให้เชียร์ร่วมกันมานาน ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก ว่าฟุตบอลทีมชาติ คือทีมกีฬายอดนิยมอันดับหนึ่งของเราทุกคน หลังจากสถิติการแข่งขันที่เลวร้ายอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงที่ตกรอบแรกซีเกมส์ 2 สมัยซ้อน ตั้งแต่นั้นมา ทีมชาติลงเล่นทีไร ก็ไม่ค่อยได้ลุ้นถ้วย แค่ลุ้นว่านัดนี้จะรอดไหม ก็เหนื่อยแทนแล้ว

ไหนจะปัญหาการบริหารจัดการของทางสมาคมฯ ที่ย่ำแย่ จนทีมชาติไทยแทบไม่ค่อยได้มีโอกาสอุ่นเครื่อง แน่นอนว่าอันดับโลกก็ร่วงหล่นจนเป็นประวัติการณ์

ไหนจะกระแสความนิยมในทีมกีฬาอื่นๆ ที่ก้าวหน้าไปไกลกว่า ทั้งปรากฏการณ์สนามแตกตอนได้แชมป์เอเชีย 2 สมัยของทีมวอลเลย์บอลหญิงไทย รวมถึงผลงานของทีมฟุตบอลหญิงไทยที่น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ

ความฝันเกี่ยวกับฟุตบอลโลก หรือการเป็นเจ้าแห่งเอเชีย ดูห่างไกลออกไปทุกขณะ เข้าขั้นเลือนราง กระทั่งการมาของเขาคนนี้ ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

ตำนานที่ยังเดินดินอยู่ของทีมชาติไทย ซิโก้เพิ่งใช้เวลาไม่นานนัก กับบทบาทระดับกุนซือทีมชาติ นั่นก็แค่ราวๆ ปีครึ่ง เขามารับงานเมื่อมิถุนายน 2013 เพื่อดูแลทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี

จวบจนถึงนาทีนี้ เขาพาทีมชาติไทยเข้าสู่แสงสีและเสียงไชโยโห่ร้องได้อีกครั้ง เมื่อเราเริ่มกลับเข้าสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น หลังจากที่ตกหลุมตกหล่มอยู่ข้างทางไปร่วมทศวรรษ

แชมป์ซีเกมส์…อันดับที่ 4 เอเชียนเกมส์…และล่าสุด แชมป์อาเซียนคัพ AFF Suzuki 2014

นี่ทำให้เขากลายเป็นคนแรกที่ได้แชมป์อาเซียน ทั้งในฐานะผู้เล่นและผู้ฝึกสอน

ที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่ชัยชนะจากนอกบ้าน แต่เขาสามารถชนะใจผู้คนภายในบ้านได้อย่างถล่มทลาย

สิ่งที่สมาคมฟุตบอลไทยชุดปัจจุบัน รวมถึงบรรดาผู้มีอำนาจในบ้านในเมือง ไม่ว่าจะระดับไหนๆ ก็ไม่เคยทำได้มานานแล้ว นั่นคือการสร้างความรู้สึกร่วมกัน ศรัทธาต่อความเป็นชาติ การยอมรับกฎกติกา น้ำใจนักกีฬา และรอยยิ้มพร้อมคราบน้ำตาของคนไทย

ภาพแฟนบอลไปรวมตัวแน่นขนัดที่สนามบินดอนเมืองเพื่อต้อนรับฮีโร่ และการแห่แหนอย่างยาวนานไปตามท้องถนน เป็นสิ่งที่เราแทบจะลืมไปแล้ว

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้บอลไทยกลับมารีบอร์น และคนไทยได้มีอะไรร่วมกันจริงๆ อีกครั้ง เราได้ไปคุยกับหัวเรือใหญ่ในการกอบกู้ศรัทธาของคนทั้งประเทศในคราวนี้

การนัดหมายของ GM และซิโก้ เกิดขึ้นที่ค่ายเก็บตัวทีมชาติไทยชุดชิงแชมป์อาเซียน ณ กิเลน วัลเล่ย์ สเตเดี้ยม เขาใหญ่ ก่อนกำหนดวันฟาดแข้ง อาเซียนคัพ AFF Suzuki 2014 เพียงไม่นาน

พวกนักเตะทีมชาติก็อยู่กันครบ ชาริล ชนาธิป เกริกฤทธิ์ กวินทร์ ฯลฯ กำลังคร่ำเคร่งฟิตซ้อมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ในวันนั้น พวกเขายังไม่รู้หรอกว่าอีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมา เขาคือตำนานบทใหม่ของประเทศไทย

ซิโก้ก็เช่นกัน เขาสละเวลาการฝึกซ้อมเล็กน้อย มานั่งจับเข่าคุยกับ GM เกี่ยวกับมุมมองต่อชีวิตและโลก รวมถึงเรื่องราวในวงการฟุตบอล ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตวางไว้ที่ไหน

ทุกคำพูดของเขาในวันนั้น ฟังดูมุ่งมั่นและจริงจัง และมันก็ได้กลายมาเป็นความจริงในวันนี้

ทำให้เราเชื่อว่า ถ้าเขายังคงมุ่งมั่นและจริงจังแบบนี้ต่อไป เรื่องอนาคตที่เขาพูดถึงไว้ ก็น่าจะเป็นจริงได้ด้วยเช่นกัน

เราเริ่มต้นการสนทนาในเรื่องเก่าๆ ย้อนอดีตวันวานในฐานะแฟนตัวยงของเขาคนหนึ่ง ที่เริ่มรู้จักซิโก้มาตั้งแต่ปี 1993 กับการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 17 ณ ประเทศสิงคโปร์ เขาทำประตูชัยให้ทีมชาติ ด้วยลูกโหม่งเสยเข้าเสาไกล พาทีมชาติไทยคว่ำทีมชาติพม่า (ในขณะนั้น) คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ

สองทศวรรษผ่านไป เราย้อนกลับมาคุยกับเขาในเรื่องนั้น และดูเหมือนว่าเขายังคงตื่นเต้นและพลุ่งพล่านอยู่เสมอมา

เห็นชัดๆ ว่ามันไส้แห้งน่ะ แต่ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเลือกมาทางนี้แล้ว ก็ต้องไปให้สุด มีความตั้งใจ อดทน มุมานะ กับความเชื่อที่ว่าเราทำให้ดีที่สุดในทุกโอกาสที่มีเข้ามา ยังไงๆ ก็หารายได้จากการเล่นฟุตบอลพอได้แน่ๆ 

GM : ตั้งแต่ซีเกมส์ 1993 จนถึงวันนี้ ผ่านมานานสองทศวรรษ คุณยังจำวันนั้นได้อยู่ไหม

ซิโก้ : โอ้โห! จำได้สิ ผมไม่มีวันลืมหรอก…ซิโก้ยิ้มด้วยแววตาเป็นประกายและนั่นทำให้เราดีใจที่เขายังมีจิตวิญญาณเดิมๆ นั้นอยู่

ตอนนั้นผมเป็นเด็กหน้าใหม่มาก เป็นนักฟุตบอลบ้านนอก มาจากขอนแก่น แล้วมีโอกาสติดทีมชาติ ไปเป็นตัวสำรองให้กับบรรดาซูเปอร์สตาร์ของประเทศไทยทั้งนั้น คือรุ่นพี่ตุ๊ก-ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ อรรถพล ปุษปาคม นที ทองสุขแก้ว อภิชาติ ทวีเฉลิมดิษฐ์ พงศธร เทียบทอง

ตอนเด็กๆ แบบนั้นก็คิดแค่ว่าขอติดทีมชาติไปสักครั้งก็พอแล้วชีวิตนี้ แต่เรื่องมันเกินคาดไปมาก ผมมีโอกาสลงสนาม ยิงได้ 3 ประตูในนัดนั้น และลูกสุดท้ายเป็นประตูชัยของทีมชาติไทย รวมทั้งเป็นประตูแจ้งเกิดให้คนไทยรู้จักชื่อซิโก้ เป็นจุดเริ่มเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตของผม ที่ดูเหมือนมันไม่น่าเป็นไปได้ เด็กต่างจังหวัดเล่นฟุตบอล อยากติดทีมชาติสักครั้ง แล้วก็ติดยาว 15 ปี

GM : ลองคิดเล่นๆ นะ สมมุติว่าลูกโหม่งเสยนั้นลอยข้ามคานไป คุณจะเป็นอย่างไรในวันนี้…เขาก้มหน้านิ่งไปพักใหญ่ เหมือนกำลังนั่งไทม์แมชีนกลับไปดูชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วตอบกับเราอย่างหนักแน่น

ซิโก้ : ผมจะยังคงเป็นนักฟุตบอลต่อไปแน่นอน แต่อาจจะไม่ได้มาถึงแบบทุกวันนี้หรอก ประตูชัยที่เราได้ 4-3 ในเกมรอบชิงซีเกมส์ ครั้งที่ 17 มันเป็นสูติบัตรแจ้งเกิดให้กับผม ช่วงนั้นโจทย์ที่ทีมชาติไทยเราได้รับมา คือต้องเหรียญทองเท่านั้น เพราะตอนนั้นเราไม่ชนะมา 6 ปีติดต่อกันแล้ว และก็เป็นเรื่องปกติ หากทีมไม่ได้แชมป์ โอกาสที่นักเตะจะโดนโละก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งอย่างผมเป็นพวกหน้าใหม่โนเนมด้วย ด้วยความสำคัญขนาดนี้ ผมไม่มีทางลืมประตูนั้นแน่นอน

GM : อยากให้เล่าย้อนกลับไปในชีวิตนักฟุตบอลช่วงเริ่มต้น มันลำบากแค่ไหน ในเรื่องรายได้และสภาพความเป็นอยู่

ซิโก้ : ผมเติบโตมาในช่วงคาบเกี่ยวเรื่องรายได้ของนักฟุตบอล เริ่มต้นกับทีมธนาคารกรุงไทย ปี 1988-1989 เล่นถ้วย ข. รายได้ไม่ต้องไปคิดเลยครับ แค่เดือนละ 2,000 บาท พอขึ้นถ้วย ก. เราก็ขยับมาเป็น 5,000 จากนั้นขยับขึ้นมาเรื่อยๆ ตามระดับที่เราเล่น อย่างช่วงที่เรียกว่าเราเป็น ‘ดรีมทีม’ คุณจำได้ไหม สมัยของบิ๊กหอย-ธวัชชัย สัจจกุล รายได้ดีขึ้นมากๆ เริ่มที่ 2-3 หมื่นบาท จนไปถึงสัก 70,000 ถือว่ารายได้ดีพอสมควร และถ้าจะนับว่าเงินเป็นกอบเป็นกำจริงๆ คือช่วงที่ย้ายไปต่างประเทศ อยู่กับ Perlis ประเทศมาเลเซีย ครั้งแรกเลยที่ผมเซ็นสัญญา จำได้ว่า 6 เดือนรับค่าเหนื่อยเดือนละ 200,000 บาท เบ็ดเสร็จ 1.2 ล้าน แต่ดันไม่ได้ต่อสัญญา เพราะช่วงนั้นกลับมาเล่นให้กับทีมชาติบ่อย ต้นสังกัดเขามองว่าไม่คุ้ม (หัวเราะ) ตอนนั้นก็เหมือนตอบโจทย์ให้กับชีวิตเราแล้ว ว่าฟุตบอลสามารถเลี้ยงชีพเราได้จริงๆ ความพยายามฟันฝ่ามาหลายปี เริ่มได้ผลแล้ว

GM : ก่อนที่จะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ อยากรู้ช่วงชีวิตที่คุณมีรายได้หลักพัน คุณทิ้งการเรียนมา คุณทิ้งบ้านมา คุณตอบคนรอบข้างอย่างไร

ซิโก้ : ช่วงปี 1988 ถ้าไปบอกใครว่าเราจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพในเมืองไทย จะเล่นฟุตบอลเป็นอาชีพ จะหารายได้ดูแลตัว ครอบครัว เลี้ยงดูพ่อแม่ รวมทั้งสร้างครอบครัวใหม่ของตัวเองขึ้นมา ไม่มีใครเขาเชื่อคุณหรอก (หัวเราะ) มีแต่ตัวเรานั่นแหละที่เชื่อมั่น คุยกับตัวเองทุกวัน ว่าต้องพิสูจน์ความเชื่อนี้ให้ได้ ยิ่งผมเคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังเรื่องการเรียน ผมยิ่งต้องเอาดีทางฟุตบอลให้ได้

ผมเป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่เป็นครู ความคาดหวังของสังคมที่นั่นคือเด็กต้องเรียนหนังสือ สมัยนั้นผมเองเรียนสายวิทย์ อยู่ห้องคิงมาตลอดเลยนะ วิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ นี่สบายมาก (ยิ้มเมื่อนึกถึงความหลัง) เป้าหมายของทุกคนในตอนนั้นคือเอนทรานซ์ให้ติด อย่างผมเองก็อยากเลือกคณะวิทยาศาสตร์ วาดฝันเห็นตัวเองใส่เสื้อกาวน์เป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่พอถึงช่วงมัธยมปลายดันเสียสมาธิ หันไปเล่นฟุตบอลมากเกินไป เล่นมากจนติดตัวระดับจังหวัด ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ผลคือเอนฯ ไม่ติด ขณะที่เพื่อนๆ หลายคนในห้องได้ดิบได้ดีกันไปหมดแล้ว เพื่อนผมเรียนหมอ เรียนสัตว-แพทย์ เรียนนายร้อย จปร. คำพูดที่ต้องโดนตามมาคือ ดูสิ ! ลูกชาวบ้านเอนฯ ติดกันหมด แล้วทำไมลูกครูอย่างเรา เอนฯ ไม่ติด

ช่วงนั้นถือเป็นจุดหักเหของชีวิต ผมตัดสินใจว่าต้องเอาดีทางฟุตบอลให้ได้ ต้องใช้ฟุตบอลนี่แหละทำให้ชีวิตดีขึ้น ทั้งๆ ที่ต้องสารภาพเลยนะ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าฟุตบอลนี่มันจะประสบความสำเร็จได้ยังไง ในเมื่อตอนนั้นลีกอาชีพก็ไม่มี เห็นชัดๆ ว่ามันไส้แห้งน่ะ แต่ไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเลือกมาทางนี้แล้ว ก็ต้องไปให้สุด มีความตั้งใจ อดทน มุมานะ กับความเชื่อที่ว่าเราทำให้ดีที่สุดในทุกโอกาสที่มีเข้ามา ยังไงๆ ก็หารายได้จากการเล่นฟุตบอลพอได้แน่ๆ ก็ไล่จากดาวรุ่งเล่นถ้วยล่างๆ ไต่ขึ้นมาจนติดทีมชาติ แล้วก็ไปเล่นต่างประเทศ ทั้งมาเลเซีย อังกฤษ สิงคโปร์ เวียดนาม มันนานมากนะ นานถึง 12 ปี แต่ก่อนผมรับค่าเหนื่อยเดือนละ 10,000 เหรียญ (ตอนนั้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะคิดเป็นบาทก็คูณ 40)

พอติดทีมชาตินี่ถือเป็นเกียรติยศสูงสุด แต่ฟุตบอลอาชีพคือเงินที่เราจะเก็บหอมรอมริบได้ จากวันนั้นมา ก็ยึดฟุตบอลเป็นอาชีพ จนทุกวันนี้ ผมตอบทุกคนได้เต็มปากเต็มคำว่าฟุตบอลเลี้ยงชีวิตได้ ฟุตบอลเพียวๆ เลยนะ นี่คืออาชีพสุจริตที่คุณภาคภูมิใจได้ มีชื่อเสียง มีคนรู้จัก มีเงินทอง มีบ้าน มีรถ มีคนศรัทธาและเชื่อมั่นในตัวเรา ทั้งหมดมาจากไอ้ลูกกลมๆ ที่ไม่มีลมหายใจใบนี้

GM : มันดูสวยงามขนาดนั้นเลยเหรอ

ซิโก้ : มันก็ไม่ได้ดีไปเสียทั้งหมดหรอกนะ จะว่าไปแล้ว ชีวิตผมไม่ได้สวยงามตลอด มันมีความกดดัน ที่นำมาเปลี่ยนเป็นแรงขับได้เยอะ หนึ่งในแรงขับที่ทำให้ต้องไปเตะเมืองนอกในตอนนั้น เพราะทุนรอนที่มีมาจากการเล่นทีมชาติ เล่นฟุตบอลในไทย มันหมดไปกับการทำธุรกิจร้านอาหาร (ร้านอาหารตีลังกาเก็บตะวัน ซิโก้ร่วมหุ้นกับเพื่อนรัก ตะวัน ศรีปาน-ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ธชตะวัน) เงินที่มีมาก็จมไปกับร้านนี้หมด มันหนักหนาขนาดเอาบ้านที่ซุกหัวนอนไปเข้าแบงก์ จะโดนยึดทั้ง 2 คน เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้สู้จนถึงที่สุด

GM : รายได้ที่จะเข้ามา ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนประตูที่คุณยิงได้ใช่ไหม รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณคือกองหน้าที่ยิงประตูเยอะติดอันดับโลกกับเขาเหมือนกัน

ซิโก้ : (หัวเราะ) ส่วนตัวผมพยายามเก็บสถิติตัวเองเหมือนกัน ผมคิดว่ายิงเยอะกว่าที่เขาทำสถิติกันไว้นะ คือผมจดไว้ มีทั้งเกมระดับนานาชาติ และเกมธรรมดาที่ไม่ได้มีองค์กรไหนรับรอง ซึ่งหากรวมกันหมดน่าจะเป็นร้อยประตูแล้ว

GM : เคล็ดลับมันคืออะไร

ซิโก้ : เคล็ดลับว่าทำไมถึงยิงได้น่ะเหรอ? อาจเป็นเพราะวิธีเล่นนะครับ ซึ่งสำหรับแฟนฟุตบอลไทย หรือคนที่เล่นฟุตบอลเป็น จะดูรู้ว่าจริงๆ แล้วซิโก้ไม่ใช่ตัว ‘ฮอตสกอร์’ หรือหมายถึงคนที่ยิงประตูเป็นหลัก ซิโก้จะเป็นพวกแอสซิสต์มากกว่า คือหมายถึงคนที่คอยสร้างโอกาสให้เพื่อน แต่ถ้ามีโอกาสก็ทำประตูได้ด้วย พอเราจ่ายได้เยอะ ให้บอลได้เยอะ โอกาสที่เพื่อนร่วมทีมจะคืนบอลมาให้เรายิง ก็จะมากตามไปด้วย มันเกิดขึ้นเพราะความเชื่อใจกันและกัน ลองย้อนไปดูในทีมชาติสมัยนั้น ไม่ว่าเล่นกับใคร ก็ป้อนให้เขาได้หมดทั้ง พี่ตุ๊ก อัลเฟรด (เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์) พี่โย่ง (วรวุฒิ ศรีมะฆะ) เจมส์ (เสกสรรค์ ปิตุรัตน์) โจ้ (ศรายุทธ ชัยคำดี) พอทำแบบนี้ เพื่อนๆ ก็อยากเล่นกับผม เพราะเขาได้บอลสวยๆ ไปยิงบ่อย

แน่นอน ว่าสำหรับกองหน้า การทำประตูเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือการเล่นเพื่อให้ทีมชนะ หน้าที่ของกองหน้าคือทำประตูเพื่อให้ทีมชนะ แต่การไปสู่ชัยชนะ ไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันทำเองคนเดียว หรือทำด้วยวิธีเดียว มันมีตั้งหลายวิธี การสร้างโอกาสให้คนอื่นก็เป็นอีกวิธีที่สำคัญ ทั้งฟุตบอลและชีวิตจริง เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรคนเดียวเพื่อจะประสบความสำเร็จ เพื่อนร่วมทีมหรือคนรอบข้างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เวลาพวกลูกทีมของผมที่เป็นกองหน้า โดนกดดันหนักๆ ว่ายิงไม่ได้สักที ลงมาทำไม ผมจะบอกเขาเสมอ หากเรายังทำประตูไม่ได้ ประโยชน์อย่างอื่นเราทำได้ วิ่งไล่สิ จ่ายบอลให้เพื่อนสิ นี่มันกีฬาเป็นทีม

GM : ความใจกว้างแบบนี้ นำไปใช้กับชีวิตจริงนอกสนามแล้วมันเป็นอย่างไร

ซิโก้ : ทุกวันนี้ผมก็เอาสิ่งที่เรียนรู้มาจากฟุตบอลนี่แหละมาใช้ในชีวิต ใช้ทำธุรกิจ อย่างแรกคือต้องมุมานะ ต้องอดทน เราไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ถ้ามีเพื่อนๆ อยู่ เวลาเราล้มไปทางไหนก็จะได้มีคนรอรับฉุดขึ้นมาใหม่ ดังนั้น ความผิดหวังมีบ้าง ต้องเรียนรู้และอดทน ใช้ความมานะบวกความพยายามเพื่อไปถึงเป้าหมาย ระหว่างทางคุณต้องหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เหมือนกันกับผม กว่าผมจะเล่นฟุตบอลได้ขนาดนี้ ทุ่มเทไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ซิโก้ที่คุณเห็นๆ วิ่งในสนามช่วงที่เป็นนักกีฬา เขาคือนักฟุตบอลที่สร้างมาจากพรแสวงนะ ไม่ใช่นักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์ เชื่อเถอะว่ามีทุกวันนี้ได้ เพราะมาจากความพยายามทั้งนั้น

GM : จากนักฟุตบอลกลายมาเป็นโค้ช ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณต้องพิสูจน์ตัวเองในบทบาทใหม่

ซิโก้ : ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ!! เอาง่ายๆ เรื่องจะมาเป็นโค้ช มีคำพูดที่อยู่มายาวนาน ว่าแม้จะเป็นนักฟุตบอลที่มีผลงานมาก่อน ก็ใช่ว่าจะเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งผมได้ยินแบบนี้มาเยอะ และก็เอามาคิดๆ ทำไมมันจะเก่งไม่ได้? แล้วผมก็ใช้สูตรเดิมเลย คือเมื่อมีเป้าหมาย ก็ใส่ความพยายาม ความทุ่มเท ใส่เข้าไปอย่างที่สุด

ก็เริ่มต้นที่ว่า ในเมื่อเราเล่นฟุตบอลมาในระดับนี้ หากขยันหาความรู้เพิ่มเติม ก็ไปอบรมเรียนเรื่องโค้ช แล้วนำมาปฏิบัติจริง มันก็น่าจะออกมาดี เวลาเราสอนน้องๆ เราก็สามารถปฏิบัติให้พวกเขาเห็นได้จริง โค้ชบางคนทำได้แค่สอนตามทฤษฎี ยืนกอดอกสั่ง แต่ผมไม่ได้หมายความว่าการสอนแบบนั้นไม่ดีนะ เพียงแต่แบบของผม เป็นโค้ชที่สามารถเล่นให้เขาเห็นเป็นตัวอย่างได้ วางบอลให้เด็กดู คือสามารถปฏิบัติได้ด้วย คิดเอาง่ายๆ ว่าจะสั่งให้เขาทำอะไร เราต้องทำให้ได้ก่อน

ประเด็นสำคัญคือผมอยากให้โค้ชฟุตบอลของไทยเป็นที่ยอมรับมากกว่านี้ อย่างน้อยโค้ชต้องได้ค่าเหนื่อยมากกว่าผู้เล่น สมัยผมเตะฟุตบอลใหม่ๆ โค้ชเงินเดือนหมื่นบาท นักบอลห้าพัน มาถึงตอนนี้ นักเตะค่าเหนื่อยเพิ่มไปเป็น 3-4 แสนบาทแล้วนะ โค้ชควรต้องได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า หากดูที่ตัวงาน ระดับความรับผิดชอบ ความมั่นคงในสายอาชีพ นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมจะพิสูจน์ให้เห็น แต่จะทำยังไงให้เรื่องนี้เป็นจริง

GM : เท่าที่เห็นๆ มาในไทยพรีเมียร์ลีก ปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนโค้ชกันไป 30 ตำแหน่งแล้ว โค้ชนี่เป็นงานที่ไม่มั่นคงอะไรเลย

ซิโก้ : (หัวเราะ) เรื่องนี้เราต้องมีองค์กรมาดูแล ในอนาคตต้องมีสมาคมผู้ฝึกสอนฟุตบอล สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ เพื่อจะมีอำนาจในการต่อรอง เพราะตอนนี้โค้ชทุกคนใช่ว่าจะต่อรองได้เหมือนกันหมด ในเมืองไทย โค้ชที่เสียงดังได้ก็ต้องเป็นที่ยอมรับ ส่วนพวกที่ไม่ดัง แต่มีความรู้ดี พวกนี้ไม่ได้เถียงหรอก ยิ่งตอนนี้ฟุตบอลไทยก้าวไปสู่มืออาชีพ จะเซ็นสัญญากับผู้เล่นต้องทำอย่างโปร่งใส ติดต่ออย่างถูกขั้นตอน ไม่ใช่เอะอะก็หลังบ้าน ต้องมีองค์กรมาคอยดูแลผลประโยชน์ให้ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้สมาคมฟุตบอลเองก็ต้องดูแล

GM : ฟังดูราวกับคุณกำลังเรียกร้องให้ก่อตั้งสหภาพ

ซิโก้ : ใช่เลย สหภาพ!! เอาไว้ช่วยต่อรองและดูแลกันและกัน จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่เราควรจะต้องลงมือทำมานานมากแล้ว ใครเข้ามาบริหารสมาคมฯก็แล้วแต่ เราควรมีองค์กรนี้ไว้เพื่อดูแลไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่แตก ป้องกันไม่ให้สังคมฟุตบอลมันเฟ้อเกิน มีเอาไว้ไม่ให้คนฟุตบอลเสียเปรียบทีมจนเกินไป ไม่อย่างนั้นเราจะเห็นนักเตะหรือโค้ชโดนยกเลิกสัญญากันบ่อยแน่ๆ

อย่างเรื่องที่คุณว่าเมื่อกี้ ฟุตบอลไทยเปลี่ยนโค้ชบ่อย มันก็พอเข้าใจได้ในแง่ตัวโค้ชเอง เขาต้องกิน ต้องเลี้ยงครอบครัว ที่ไหน งานดีเงินดี โอกาสดีกว่า เขาก็ไปที่นั่น เปลี่ยนงานบ่อยก็ปกติ แต่ในทางกลับกัน โค้ชต้องมีคุณภาพสูงตามไปด้วย ยิ่งทีมจ่ายค่าตอบแทนมาก ความคาดหวังก็ต้องยิ่งสูงกว่าที่เขาจ่ายให้คุณอยู่แล้ว หากทำไม่ได้ตามเป้าก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา แต่ที่เห็นคือเรื่องไล่โค้ชออกของบ้านเรามันเกิดง่ายไปหน่อย เมืองนอกเขาเซ็นสัญญาที 3-5 ปี เพราะต้องใช้เวลา 2 ปีแรกปรับพื้นฐานตามที่โค้ชและสโมสรฯ ต้องการ หลังจากนั้นจึงค่อยต่อยอดไปสู่ความสำเร็จ แต่ของบ้านเรามันไม่ใช่ โค้ชบางคนมีโอกาสแค่ 4 เกมแรก คิดแล้วก็เสียดายนะ กว่าเขาจะอบรมกันมาได้ พอโอกาสมาถึง ก็น้อยเหลือเกิน

เรื่องก็วนกลับมาที่เดิม คือต้องมีสัญญา เพราะตอนที่ดีๆ รักกัน หอมกัน พูดอะไรก็ได้หมด แต่พอมีปัญหากัน ไม่มองหน้ากัน เราต้องใช้สัญญามามองหน้ากันแทน คือจะเปลี่ยน จะปลด จะอะไรก็ทำไปเถอะ หากจ่ายค่าชดเชยตรงกับตามตัวหนังสือที่ระบุเอาไว้

GM : ปัจจุบันโค้ชฟุตบอลยังไม่มีสัญญากันอีกเหรอ

ซิโก้ : มี แต่ยังน้อยอยู่

GM : ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นกระแสจากพวกแฟนบอลด้วยแหละ ที่กดดันให้โค้ชโดนปลด เล่นไปแค่ไม่กี่นัด พอยังไม่ชนะก็รุมด่ากัน

ซิโก้ : ก็แน่นอน ถ้าคุณเป็นแฟนบอลที่ยอมจ่ายเงินซื้อตั๋ว ซื้อของที่ระลึก ถือเป็นการสนับสนุนทีมที่ดีเยี่ยม แต่ความคิดว่าคุณเป็นเจ้าของสโมสรฯ ด้วย ผมว่าคุณคิดผิด คุณไม่ใช่เป็นเจ้าของสโมสรฯ คุณจ่ายเงินซื้อตั๋วเพื่อแลกสิทธิ์เก้าอี้ 1 ตัวบนอัฒจันทร์ ถ้าไม่พอใจ ก็ไม่มีสิทธิ์วิ่งลงไปต่อยเขา ขว้างหิน ปาขวด กฎกรอบเขามีอยู่ ต้องเคารพกัน ที่ประเทศอื่นหากละเมิด มันผิดทั้งกฎหมาย ทั้งสมาคมฯ ก็ต้องเข้ามาลงโทษทีม คนดูถือเป็นส่วนร่วมที่สำคัญของวงการ คุณเชียร์ คุณสนับสนุน ซื้อสินค้าสโมสรฯ นั้นถูกต้องแล้ว แต่อย่าคิดว่า ซื้อตั๋วสนับสนุนทีมแล้วจะเป็นเจ้าของทีม อยากได้อะไรก็ต้องได้ คุณจะทำได้ทุกอย่าง มันไม่ใช่ โอเค อยากวิจารณ์การทำงานของโค้ช อยากเสนอให้เปลี่ยนตัว อะไรทำนองนั้น ทำไมไม่เล่นแบบโน้นแบบนี้ ทำไมไม่ซื้อนักเตะคนนั้นล่ะ เรื่องนี้วิจารณ์ได้ แต่ก็ไม่ใช่หน้าที่

มาว่ากันต่อเรื่องหน้าที่ของแฟนบอลที่ดี คือเราทุกฝ่ายน่าจะคิดตรงกันนะ ทั้งนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชทุกคน เราทุกคนล้วนรักทีม รักสโมสรฯ เหมือนเราลงเรือลำเดียวกันไปแล้ว ก็น่าจะสนับสนุนกันไป แพ้ก็เศร้านิดหน่อย เป็นไปตามอารมณ์ร่วม พอถึงสัปดาห์หน้าก็ค่อยมาให้กำลังใจกันต่อ คนทำทีม เจ้าของทีม คนพวกนี้คิดมากกว่าพวกคุณเยอะ ดังนั้น บางทีทัศนคติของคนดูอาจจะต้องปรับกันบ้าง

GM : คุณไปค้าแข้งต่างแดนมาร่วมทศวรรษ แฟนบอลบ้านอื่นเมืองอื่น แถบๆ อาเซียนของเรา เขาดักรอกันตรงหน้าทางขึ้นทางด่วน หรือปิดสนามตีกันไหม

ซิโก้ : (คิ้วขมวดครุ่นคิดสักพัก) เขาก็มีโห่ฮา เยาะเย้ยกัน อำกันบ้าง เวียดนามที่ว่าเชียร์กันฮาร์ดคอร์ คนดูเยอะๆ พอจบเกมก็จะมีกองทัพมอเตอร์ไซค์บิดกันเต็ม เท่าที่ผมไปอยู่มา ก็ไม่เห็นเขาตีกันสักที สิงคโปร์ก็ไม่มี เอาเป็นว่า มีตีกันหรือเปล่าไม่รู้ เพราะผมยังไม่เห็น ซิโก้ยังไม่เคยเห็น

GM : แล้วทำไมบ้านเราตีกันจังเลย

ซิโก้ : นั่นสิ ก็มาจากการไม่ยอมรับไงล่ะ ไม่ยอมรับผลการแข่งขัน คาดหวังผลงานทีมมากเกินไป ทั้งๆ ที่ฟุตบอลมันคือกีฬา ย่อมต้องมีแพ้มีชนะ คนเล่นเองเขายังไม่รู้เลยว่าจะชนะไหม พวกเขาทำได้แค่เตรียมความพร้อมมาให้ดีที่สุด หากคาดหวังจะชนะอย่างเดียว หรือตั้งธงมาจากบ้านเลย ว่ามันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ๆ คุณคิดแบบนี้ไม่ถูก

ในเกมฟุตบอลมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นได้หลายอย่าง ความผิดพลาดในการตัดสินคือหนึ่งในนั้น เจตนาหรือไม่เจตนา เกิดได้หมด ซึ่งเรื่องนี้มีการตรวจสอบได้ สมาคมฯ ผู้ตัดสินเขาก็คอยทำหน้าที่อยู่ ทุกอย่างต้องปรับไปพร้อมๆ กัน เมื่อก่อนโค้ชฟุตบอลไทยยังไม่ได้รับการอบรมมากนัก พอเจอคู่แข่งเก่งๆ ก็สั่งเสียบขาแม่งเลย คือจะเอาชนะอย่างเดียว เดี๋ยวนี้เราไม่ทำแบบนั้นแล้ว นักฟุตบอลก็เหมือนกัน เมื่อก่อนเล่นนอกเกม หวดกันฉิบหายวายป่วง เดี๋ยวนี้ลองสิ โดนใบแดง เสียหายไปถึงทีม ทีมก็ไม่ยอมหรอก คุณก็จะโดนขายทิ้ง ทีมเขาจ่ายแพงๆ เรื่องอะไรต้องไปเสี่ยงกับนักบอลที่คุมพฤติกรรมตัวเองไม่ได้ เห็นไหมว่าทุกฝ่ายต่างกำลังปรับตัวกัน พัฒนาไปพร้อมกัน แล้วแฟนบอลล่ะปรับหรือยัง? มีหน่วยงานไหนไปพูดคุยถึงแนวทางพวกนี้กับแฟนบอลหรือยัง

GM : ที่เมืองนอกนี่ต้องมีนักบอลมาพูดขอร้องกับแฟนบอลอะไรแบบนี้ไหม

ซิโก้ : ก็ไม่ค่อยมีหรอก เพราะทุกคนเขารู้กรอบขอบเขตของตัวเอง มีกฎข้อบังคับที่เฉียบขาดในการลงโทษ และสิ่งสำคัญที่สุด เขาเข้าใจแก่นของการชมฟุตบอล ว่ามันคือความบันเทิง นี่คือโชว์ใหญ่ๆ หนึ่งโชว์ ที่พวกเราทุกคนเลือกมาดูกันในวันนี้ ฟุตบอลเป็นเกม ไม่ใช่สงคราม เหมือนเวลาเราเล่นเกมอะไร มันให้ความสนุกกับเราใช่ไหม ฟุตบอลก็เหมือนกันนั่นแหละ พอทีมแพ้ เราไม่ได้ตายตามมันเสียหน่อย อย่าลืมแก่นแท้ของกีฬา ว่าคือความสนุก โอเคว่ามีเยาะเย้ยกัน อำกันเล่นๆ พอเป็นสีสัน เพื่อความสนุก ไม่ได้ฆ่าแกงกัน เอาแค่ “ไอ้อ่อนเอ้ย!” ก็พอแล้ว

GM : อยากให้คุณย้อนไปคุยถึงตอนที่ไปเล่นฟุตบอลที่อังกฤษ วงการที่นั่นเป็นอย่างไร แฟนบอลเป็นอย่างไร

ซิโก้ : สำหรับผม การไปเล่นที่อังกฤษก็เหมือนถางพงหญ้า แบบที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรในมือเลย และตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะบ้านเราไม่เคยมีใครไปเล่นต่างประเทศ ไปเล่นไกลถึงยุโรปมาก่อน ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร ต้องไปเจอกับอะไร ใช่ว่าได้เซ็นสัญญาแล้วจะเล่นได้เลยที่ไหน มันต้องมีผู้จัดการส่วนตัว มีนายหน้า แต่ผมไม่มีเลย มีพี่นักข่าวที่ทีแรกแกมาช่วยเป็นล่าม สุดท้ายกลายเป็นทุกอย่าง ผมเองไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมอึดอัดกับเรื่องอะไรพวกนี้ที่สุด คือแทนที่จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการซ้อม แต่ดันต้องไปเสียสมาธิกับเรื่องการเงิน ภาษี การเดินทาง การกินอยู่ ตอนไปใหม่ๆ ภาษาก็ยังไม่ดี นี่คือความยากในการไปเล่นที่อังกฤษ

เปรียบเทียบกับนักเตะคนอื่นๆ ในเวลานั้น เขาพร้อมกว่าเยอะ หน้าที่คือซ้อมให้เต็มที่อย่างเดียว เพื่อมีโอกาสลงสนาม พอถึงเวลา เอเยนซีไปเจรจาแทนให้ ว่าเด็กคนนี้เก่งแบบโน้นแบบนี้ หาสปอนเซอร์ หาทีมมาเซ็นสัญญา ดูแลทุกอย่าง นักกีฬาก็ทำหน้าที่ซ้อมแหลก สมาธิไปอย่างเดียว คือทำยังไงจะก้าวไปข้างหน้าในเส้นทางที่เลือก แต่ผมไม่มีเลย

ตอนนี้พอมองย้อนกลับไป ก็จะได้เห็นอีกแง่ คือผมเรียนรู้อะไรมาเยอะจากการไปเล่นอาชีพที่อังกฤษ เอาเป็นว่าพอผ่านตรงนั้นมาได้ ทั้งร่างกายและจิตตอนนี้ ถ้าเจออะไรหนักๆ ก็ไม่กลัวอีกแล้ว แล้วยังเรื่องการฝึกซ้อมอีก เชื่อไหม ผมกลับมาที่พัก ไม่มีวันไหนที่ไม่เหนื่อยแทบคลาน หมดแรง กลับมาถึงอย่างแรกที่มองหาคือน้ำหวานมากรอกปากทุกวัน เหนื่อยแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน อากาศก็หนาว ใส่เสื้อ 3 ชั้นยังเอาไม่อยู่ แต่ต้องออกไปวิ่งแบบเอาเป็นเอาตายทั้งเช้าเย็น สิ่งที่ได้กลับมาคือร่างกายแกร่งมาก มีบางคนสงสัยว่าผมไปอยู่อังกฤษ แล้วไม่ได้เล่นนานๆ ฝีเท้าจะตกไหม พอผมกลับมาเมืองไทย เป็นไงล่ะ วิ่งไล่ชนเขากระเด็นหมด ผลงานไม่ตก แต่เราชนคนไทยกระเด็น พอไปเจอเด็กที่โน่น เขาออกแบบชีวิตเป็นนักฟุตบอล ผมก็แย่เหมือนกัน พวกนั้นกล้ามแน่น หนอกขึ้น

GM : ซ้อมแทบตาย แต่ไม่ได้ลงเล่น ตอนนั้นคุณบอกกับตัวเองอย่างไร

ซิโก้ : อีกมุมหนึ่งที่เราไม่รู้มาก่อนก็คือ Football Is Dirty บางครั้งมันก็สกปรก คือเขาคุยกันแต่เรื่องผลประโยชน์ เพราะนี่คือธุรกิจ ขณะที่ตลอดมาก่อนหน้านั้น การเล่นฟุตบอลของผมคือความสุข ถามว่าอยากกลับไทยไหมตอนนั้น มีคิดอยู่ตลอด กลับมาก็มีคนจ้างแน่ๆ มีแฟนบอลหนุนหลัง ใครๆ ก็ห้อมล้อม แต่ผมยังอยากอยู่อังกฤษ เพราะมันเป็นการแข่งขันของชีวิต เป็นบททดสอบตัวเอง เราต้องสู้กับคนจากบราซิล ฝรั่งเศส อิตาลี ไหนจะเด็กอังกฤษอีก เราเป็นใครไม่รู้ มาจากบ้านป่าเมืองเถื่อนในสายตาพวกเขา มาจากไทยแลนด์ พูดไปใครจะรู้จัก ไม่มี แน่นอนว่าเขาก็ดูถูก ซึ่งนั่นคือด่านที่ต้องพิสูจน์ ใช่! จะว่าไปแล้ว ผมอยู่ต่อเพื่อพิสูจน์ตัวเองในนามนักเตะไทย

ธรรมชาติของนักฟุตบอลอาชีพในระดับโลก คือทุกคนต้องแข่งขันกันแย่งตำแหน่ง เวลาซ้อมกัน หากไม่เห็นโล่งๆ จะจะ ชัวร์จริงๆ ไม่มีทางหรอกที่เขาจะส่งบอลให้เรา ยิ่งไปบวกกับเรื่องเหยียดสีผิว ความไม่ไว้ใจกัน ผมเองก็โดน แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างนะ เพียงแต่บางครั้งก็คิด กูมาลำบากทำไมที่นี่วะ หนาวก็หนาว ซ้อมก็หนักชิบเป๋ง แล้วไม่ได้ลงซะที

ช่วงเวลานั้นผมทำ SWOT Analysis เพื่อหาคำตอบให้ตัวเอง เริ่มจากข้อดีก่อน มีรายได้ไหม? มี มีบ้าน? มี มีรถ ได้อยู่เมืองนอก เรียนรู้วัฒนธรรมเขา ได้ซ้อมหนัก ได้ภาษากลับไป นับแล้วข้อดีสิบอย่างเลย แล้วข้อเสียล่ะ มีอะไรบ้าง มีแค่เรื่องเดียวคือไม่ได้ลงสนาม โดยรวมแล้วร่างกายผมดีขึ้นมาก ฟิตที่สุด พละกำลังมหาศาล แต่จิตใจไม่มีความสุข หาคำตอบไม่ได้เสียที ว่าร่างกายเราเฟิร์มขนาดนี้ จะเฟิร์มไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันไม่ได้ลงเล่น จนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องเลือก ระหว่างมีความสุขกับไม่มีความสุข อย่างไรก็ตาม ผมยืนยันได้เลยว่าการไปอังกฤษครั้งนั้นไม่เสียเปล่า เป็นประสบการณ์คุ้มค่าที่ดีที่สุดของชีวิต

GM : คุณอยากจะบอกอะไรแก่รุ่นน้องๆ ที่จะตามไปเล่นฟุตบอลอาชีพยังต่างแดน

ซิโก้ : จงไปเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หากผมสามารถไปบอกมุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) ได้เดี๋ยวนี้ ผมจะบอกว่าน้องเอ๋ย แค่นี้ที่น้องทำได้ก็ดีเยี่ยมแล้ว อย่างน้อยก็คือน้องมีโอกาสได้ลงสนาม ขนาดตัวพี่เองยังไม่เคยมีโอกาสแบบนี้เลย ดังนั้น จงทำทุกวันอย่างเต็มที่ ทุ่มเทให้สุดกำลัง อย่าไปคิดเรื่องอื่นนอกจากเกม อย่าไปสนใจว่าใครจะกีดกัน เหยียดหยาม จำเอาไว้หากน้องเก่งกว่าเขา หากน้องดีกว่าเขา ยังไงๆ น้องต้องได้เล่น นี่คือสัจธรรมของโลกฟุตบอลใบนี้ ไม่ว่าจะเล่นที่ไหน แม้แต่เล่นให้กับทีมชาติไทยก็ตาม ไม่มีใครจ้างคนมานั่งฟรีๆ หรอก เขาจะจ้างทำไม ให้เปลืองเงิน เปลืองโควตานอก EU โค้ชทุกคนต้องการนักกีฬาที่เก่ง เป็นกองหน้าก็ต้องลงไปทำสกอร์ให้เขา พี่เองก็เหมือนกัน หากตัวเรายังเก่งไม่พอก็ต้องยอมรับ แล้วไปพัฒนาเพื่อแย่งตำแหน่งมาให้ได้ นี่มันเรื่องปกติโลก

อย่างที่ตอนนี้มีกระแสแฟนบอลไทยพูดกันเยอะ ว่ามุ้ยเก่งมาก แต่ที่ไม่ได้เล่นเพราะนักเตะที่โน่นเหยียดผิว ไม่ให้โอกาส โอเคมันมีอยู่ และในบ้านเรา ก็ต้องถือว่ามุ้ยเก่งมากแล้ว แต่ขอถามตรงๆ นะ ว่าเก่งระดับโลกแล้วหรือยัง เก่งจนเพื่อนร่วมทีมยอมรับไหม เก่งพอที่โค้ชจะยอมเสี่ยงไหม เพราะโค้ชหรือหัวหน้าที่ไหน หากทีมไม่ประสบความสำเร็จ เขาโดนเด้งก่อนอยู่แล้ว นักเตะก็อยู่กับทีมต่อไป ไม่เก่งจริง ไม่เด่นจริง ใครจะมายอมเสี่ยงด้วย ไม่มีหรอก เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด ไม่ต้องไปตั้งแง่สงสัยคนอื่น ขอให้คิดว่าทำยังไงเราจึงจะพัฒนาขึ้นไปอีกก็พอ และในเมื่อโค้ชเขาต้องรับผิดชอบทั้งหมด ก็ให้โอกาสเขาตัดสินใจเต็มที่เถอะ ผมยืนยันคำนี้ น้องต้องพิสูจน์ตัวเอง

GM : หากอังกฤษให้ประสบการณ์ที่หนักหน่วง แล้วการไปเล่นที่เวียดนามล่ะ คุณได้ประสบการณ์แบบไหน

ซิโก้ : เวียดนามเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง แน่นอนว่าช่วงที่ผมเป็นนักเตะทีมชาติไทย พวกเราคือเบอร์ 1 ของอาเซียนติดต่อกันมา 15 ปีได้ ที่เราไม่แพ้ชาติในอาเซียนเลย เต็มที่คือชนะน้อยหน่อย ผมเองก็ยิงเวียดนามไปเยอะ แฟนบอลที่นั่นเขายอมรับเลยนะ ยิ่งเขาเห็นเราไปเล่นที่อังกฤษกลับมา มีพัฒนาการขึ้นเยอะ เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าซิโก้จะมาเล่นในเวียดนาม มีเพียงประธานสโมสรฮองอันห์ยาลาย นี่แหละที่คิดจะซื้อผม ค่าเหนื่อยก็สักสี่แสนบาทต่อเดือน

บรรยากาศวันไปถึง ผมนี่แทบไม่เชื่อสายตา มีคนมารอเต็มสนามบินหลักหมื่นได้ มีรถเปิดประทุนมารอรับ พาเราแห่รอบเมืองอย่างกับฮีโร่โอลิมปิก ซึ่งผมเองเป็นคนจำพวกติดดิน อดคิดกังวลไม่ได้ นี่เรายังไม่ได้เตะเลย เขายังยินดีและคาดหวังกับเราขนาดนี้ หากผ่านไปสัก 10 เกมแล้วเรายิงไม่ได้ จะทำไงวะเนี่ย (หัวเราะ) ที่สำคัญตอนไปทีแรก ทีมนี้ยังไม่ขึ้นมาลีกสูงสุดเลย ขนาดทีมลีกรองเขายังลงทุนกันมหาศาล มีแฟนบอลหนุนหลังเยอะขนาดนี้ มีคนดูเข้ามาเต็มสนามตลอด เฉลี่ยแล้วมีเป็นหมื่นคนต่อเกม เกมใหญ่นี่ต้องถึง 2-3 หมื่นคน ประเทศเขาคลั่งฟุตบอลกว่าเรามาก เพราะเมื่อ 12 ปีก่อน ที่ประเทศเวียดนาม พวกสิ่งที่สร้างเพื่อความสุขอย่างห้างสรรพสินค้า หรือโรงหนัง หรืออื่นๆ ยังมีไม่มาก กีฬาฟุตบอลเลยเป็นกระแสหลัก

ยิ่งตอนเราจากมา ถือว่ายิ่งใหญ่และประทับใจมากจริงๆ มีแฟนบอลมาคอยส่งให้กำลังใจมากมาย ทีวีช่องหลักของเวียดนาม อย่าง VTV3 มาถ่ายทอดแมตช์อำลา ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นภาพที่จะอยู่ในหัวใจคนเวียดนาม พวกเขารักเรา ให้เกียรติเรา เรื่องนี้สอนให้ผมรู้เลย ว่าคนเราแม้จะแตกต่างกัน ต่างชาติ ต่างถิ่น หากมีความรักต่อกัน ความผูกพันเกิดขึ้นได้เสมอ

GM : จากค่าเหนื่อยเจ็ดหมื่นที่เมืองไทย พอไปเวียดนามได้สี่แสน คุณรับมือกับความร่ำรวยนี้อย่างไร

ซิโก้ : เราต้องรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตอนนั้นผมเพิ่งจะแต่งงาน แล้วก็เริ่มมีลูกสาวไล่ๆ กันมาเลย 3 คน ผมแบ่งงานกับภรรยา คือเขาจะดูแลลูกอยู่ที่เมืองไทย ดังนั้น การไปเวียดนาม เป้าหมายสำคัญคือการสร้างครอบครัว ผมคิดถึงแต่ลูกใจจะขาด สมาธิของผมจดจ่ออยู่กับเรื่องครอบครัวและกับเรื่องฟุตบอลเท่านั้น อีกอย่างที่ผมชอบเวียดนาม คือประเทศเขาเงียบๆ เย็นๆ เงียบกว่าเขาใหญ่ที่เรากำลังนั่งคุยกันนี่อีก ทีมที่ผมไปอยู่ ตั้งอยู่ห่างเมืองไปอีก 10 กิโลเมตร ผมชอบอะไรแบบนี้นะ มันเงียบๆ เจอชีวิตเมืองวุ่นวายมาก ปวดหัว นี่คงเป็นอีกสาเหตุที่ปรับตัวกับเวียดนามได้ไม่ยากเลย

สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะบอกน้องๆ คือจำไว้เลย ฟุตบอลนี่เล่นได้สูงสุดไม่เกิน 10-15 ปี ฟังเหมือนนานนะ แต่ถ้าเจอเข้ากับตัวจะรู้เลยว่ามันแป๊บเดียว ดังนั้น ถ้ายังหาเงินได้ ก็รีบเก็บไว้ และหาความรู้เพิ่มเติม เสาะแสวงหาช่องทางต่อไป เตะฟุตบอลได้เงินเยอะ แต่ถ้าไม่เก็บหรือวางแผนอนาคตให้ตัวเอง ที่เก็บๆ มาก็หมดได้แป๊บเดียว สิ่งที่ผมบอกน้องๆตลอด หาความรู้เยอะๆ อย่าหยุดนิ่ง ตอนนี้เราชอบอะไร ก็ต้องมองๆ ไว้เพื่ออนาคต หากยังรักฟุตบอล อยากอยู่กับมันต่อ จงเลือกซึมซับเรื่องดีจากคนรอบข้าง ดูจากรุ่นพี่แล้วตั้งใจให้แน่วแน่

อย่างเช่น ถ้าอยากเป็นโค้ช ก็ศึกษาว่าเขาทำกันยังไง ถึงก้าวมาเป็นโค้ชได้ กินเที่ยว เลี้ยงเพื่อนฝูง กินกันมันสนุก แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ผมเองผ่านจุดนี้ไปแล้ว ผมเองโชคดี เคยดูแลเพื่อนๆ มีพี่ๆ น้องๆ พอถึงเวลาเราต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาก็กลับมาช่วยเหลือเรา แต่บางคนอาจจะไม่ได้มีเพื่อนดีแบบนี้ มันน่าเศร้านะ เงินหาได้เยอะ ใช้แล้วก็หมดไป ดังนั้นต้องวางแผนเพื่ออนาคตตัวเอง เพื่อครอบครัวของเราเอง

GM : ขอย้อนกลับไปถามอีกนิด ว่าทำไมคนเวียดนามรักคุณจัง

ซิโก้ : สิ่งแรกที่คุณต้องเข้าใจ เวียดนามถือเป็นประเทศชาตินิยมมากนะ เขาจะไม่ยอมรับต่างชาติคนไหนง่ายๆ พวกนักเตะแอฟริกัน บราซิล เป็นได้แค่ประชาชนชั้นสอง นอกจากจะพิสูจน์ในสนามว่าเก่งมาก ระดับเหนือกว่าคนอื่นๆ คนดูถึงจะเริ่มยอมรับ เขามีความเชื่อกัน ว่าจ้างบราซิล จ้างแอฟริกัน ก็ไม่มีทางได้แชมป์ ผิดกับสิ่งที่ผมเจอ ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไป แฟนบอลตอบรับดี มีคำชื่นชม เขาไม่ดูถูกเราเลย อาจเป็นเพราะประเทศไทยเราอยู่ในฐานะเป็นเจ้าแห่งอาเซียน อย่างที่บอกไป ว่า 15 ปีในทีมชาติที่ไม่เคยแพ้ใคร เป็นเครื่องการันตีได้ในเบื้องต้น พอลงสนามจริงเรามีผลงาน มีความสำเร็จ จบได้ที่ตำแหน่งแชมป์ ทุกอย่างเกื้อหนุนกันหมด จนทีมและตัวผมก็จุดติดไปพร้อมกัน

FYI

ข้อมูลจาก Wikipedia ซิโก้ใช้เวลาที่เวียดนามในฐานะนักเตะกับ ฮองอันห์ยาลาย ระหว่างปี 2002-2006 ยิงระเบิดราวกับเล่นเกม 102 ประตู จาก 75 แมตช์การแข่งขัน พาต้นสังกัดได้แชมป์ วี ลีก (ลีกสูงสุดของเวียดนาม) 2 สมัย ปี 2003, 2004 และ 2 ปีดังกล่าว ซิโก้ยังพาทีมได้แชมป์ฟุตบอลถ้วย เวียดนาม ซูเปอร์คัพ ทั้ง 2 ปีเช่นกัน

ในฐานะโค้ชทีมฮองอันห์ยาลาย ถือเป็นงานแรกของเขาในปี 2006 ก่อนจะกลับมาคุมทีมเป็นคำรบสอง ในปี 2010 สามารถพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศรายการ Vietnamese National Cup แต่จบเพียงลำดับที่ 2 เท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

GM : ปัจจุบันนักฟุตบอลระดับสโมสรฯ ในไทย ได้เงินเดือนสูงถึงหลักแสน กลายเป็นว่าพวกเขาไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานที่จะเล่นให้กับทีมชาติ

ซิโก้ : คุณพูดถึงทีมชาติใช่ไหม นั่นก็เป็นไปได้ เขาอาจคิดว่ากูเงินเดือนเยอะแล้ว เล่นสโมสรฯ อย่างเดียวพอ ไม่ต้องเล่นหรอกทีมชาติ ตรงนี้เป็นวิธีคิดของแต่ละคน แต่โดยส่วนตัวผมเอง เวลาที่ผมเจอน้องๆ ที่ได้ค่าเหนื่อยเยอะ พวกเขาจะพูดกันเสมอ หากคุณเป็นนักฟุตบอล คุณต้องติดทีมชาติ เอาง่ายๆ อย่างคุณเป็นช่างภาพ (ชวนช่างภาพของ GM ลงมาคุยด้วย ในขณะที่กำลังปีนบันไดเก็บภาพจากมุมสูง) คุณก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม ว่าอยากเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศ ถึงคุณเป็นช่างไฟก็อยากเป็นเบอร์หนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตัวคุณเท่านั้นที่ดีใจ พ่อแม่ของคุณก็ต้องภูมิใจ พวกเขาภูมิใจกว่าเราหลายเท่า ผมพูดเลยหากคุณเล่นฟุตบอลเก่งได้แชมป์มากมาย แต่ไม่ได้เล่นทีมชาติ มันไม่ใช่ของจริงหรอก

: ฟังดูเหมือนว่ามันเป็นนามธรรมมากๆ เลยนะ ความภาคภูมิใจเนี่ย

ซิโก้ : โอเค งั้นผมพูดให้เป็นเรื่องรูปธรรมมากขึ้น ก็อย่างในประเทศไทย หากคุณติดทีมชาติไทย อำนาจการต่อรองของคุณกับสโมสรฯ ก็มากขึ้น จากเดิมที่รับอยู่แสนสองแสน คุณอาจจะขึ้นไปได้สี่ห้าแสน อัพค่าตัวกันเห็นๆ เพราะมีผลงาน มีเครื่องการันตี ใครๆ ก็อยากได้คนเก่งทีมชาติ หัวกะทิราคามูลค่ามันต้องดีกว่าหางกะทิอยู่แล้ว ไหนจะโอกาสโชว์ตัวบนเวทีที่ใหญ่ขึ้น ตลาดใหญ่ขึ้น เพื่อโอกาสสู่ลีกที่มาตรฐานสูงกว่านี้ ผมยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น พวกเขามีนักเตะส่งออกมากถึง 98 คน พวกเขาง่ายในการเลือกนักเตะมาใช้ เพราะทุกอย่างมีการันตีแบ่งเกรดกันแล้ว แบ่งเกรดยังไง คือเล่นยุโรปลีกหลัก เยอรมัน สเปน อังกฤษ อิตาลี เป็นเกรดเอ เล่นแค่ในประเทศ

ก็เกรดบี ถ้าไปโต๋เต๋แถวตะวันออกกลางก็เกรดซี ถ้าหลุดมาอาเซียนบ้านเราก็เกรดดี

ทั้งหมดมันจึงขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากเป็นนักเตะเกรดไหน อยากเก่งเป็นที่ยอมรับ ก็เล่นให้ติดทีมชาติสิ จากนั้นก็ไปเล่นอาชีพยังต่างแดน ไม่ต้องมองไกล เริ่มจากไปอาเซียน เล่นให้มีผลงานเสียก่อน จากนั้นมองออกไปยังประเทศที่เป็นแถวหน้าเอเชีย อย่างที่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ชีวิตนี้เกิดมาครั้งเดียว คุณจะไปทางไหน ไปให้สุด ฟุตบอลก็อย่างที่บอกไว้น่ะ ว่าเล่นกันเต็มที่ก็ 10-15 ปี อะไรที่อยากทำ อยากไป ต้องรีบทำ รีบลอง เพราะของง่ายๆ ใครๆ เขาก็ทำกันหมดแล้ว

GM : ถามจริงๆ เถอะนะ หากซูซูกิ คัพ 2014 ถ้าคุณไม่ได้แชมป์ ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร (เขาก้มหน้าครุ่นคิดหัวเราะหึๆในลำคอแล้วเงยหน้าตอบเรา)

ซิโก้ : หากเราชนะก็คงไม่มีปัญหาอะไร ทุกคำถามล้วนมีคำตอบที่น่าฟังรอตอบอยู่แล้ว แต่เวลาที่แพ้นี่สิ …(นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง) สิ่งแรกที่ต้องทำก็คงเป็นการสำรวจตัวเองก่อน มีเวลาเก็บตัวมากพอไหม ซ้อมดีขนาดไหน อย่างครั้งนี้ เรามีเวลาเก็บตัว รู้ตัวโค้ชคนทำทีมก่อนแข่งแค่ 2 อาทิตย์ ทั้งๆ ที่รู้โปรแกรมล่วงหน้าอยู่แล้ว 2 ปี ทุกอย่างมีคำตอบจากผลของมัน ทั้งการเล่นในสนาม การจัดการ การเตรียมพร้อมต่างๆ ถ้าแพ้มา ผมก็คงแค่ตอบตรงๆ ไปตามนี้

GM : เหมือนคุณถูกมัดมือชก ผู้ใหญ่บอกให้ซิโก้มาคุมทีมคราวนี้เพื่อชาติ อะไรทำนองนี้หรือเปล่า คุณรู้สึกอย่างไร

ซิโก้ : คำว่า ‘ชาติ’ ไม่มีข้อแม้อยู่แล้ว ซึ่งหากเป็นเรื่องอะไรที่ตัวผมเองไม่อยากทำ ก็ไม่มีใครมาบังคับผมได้ ผมเปรียบพวกเราเป็นทหาร มีหน้าที่ออกรบเมื่อชาติต้องการ แน่นอนว่าผมดูกระแสก่อน หาข้อมูลแฟนบอลว่าพวกเขาต้องการเราไหม มีใครกล้าเข้ามาทำทีมชาติไทยชุดใหญ่ในตอนนี้ไหม ถามว่าพรรษาเราถึงแล้วหรือยัง ผมว่ายังไม่ถึงหรอก มีซีเนียร์กว่าผมเยอะ ผมคิดหลายอย่างสำหรับงานนี้ ผมก็สงสัยอยู่ว่ามันเหมาะกับโค้ชประสบการณ์สูงหรือโค้ชวัยรุ่นอย่างเรา แต่ที่ผ่านมา ทีมได้กระแสมาจากซีเกมส์และเอเชียนเกมส์ จนสุดท้าย ผมถามตัวเองว่าอยากทำไหม ทำในแบบของเรา นั่นคือวางโครงสร้างใหม่ สร้างน้ำใหม่ สายเลือดใหม่

GM : คุณเปรียบเทียบตัวเองเป็นทหาร แต่ดูเหมือนทางกองทัพเขาไม่ค่อยเตรียมอาวุธให้คุณเลยนะ

ซิโก้ : เราไม่มีโครงสร้างการทำทีมชาติไทยที่ชัดเจน เท่าที่ผ่านมา เราส่งแข่งแบบขอไปที มีเวลาเก็บตัวนานถึง 1 เดือน นี่ถือว่าเป็นบุญกะลาหัวแล้วนะ อย่างซูซูกิ คัพ ที่ทำมีเวลาให้ 2 อาทิตย์ ฉะนั้นวันนี้ สิ่งที่ต้องทำคือการปรับให้เป็นแบบสากล ซึ่งผมเชื่อว่าชุดเอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ ทำได้อยู่แล้ว พวกเขารวมตัวกันจนนักเตะรู้หน้าที่ มีทัศนคติที่ตรงกัน ในส่วนของงานประจำของแต่ละคน ทุกคนก็กลับไปเล่นกับสโมสรฯ จึงมีสภาพร่างกายดี แต่ละเดือนมีมีตติ้งสักครั้งสองครั้ง อะไรก็ว่ากันไป ทำกันมาเป็นปีๆ หากเป็นอย่างนี้ ถึงจะมีเวลาเก็บตัวน้อย เราก็ยังพอมีระบบที่ลงตัวอยู่แล้ว

สิ่งสำคัญของนักฟุตบอลมี 3 อย่าง 1. ทักษะ ทุกคนมีติดตัวเป็นประจำอยู่แล้ว 2. ร่างกาย สิ่งนี้นักเตะต้องไปสร้างมาเองในการเล่นกับสโมสรฯ คุณจะมาคาดหวังว่าการเก็บตัวทีมชาติจะเรียกความฟิตให้คุณไม่ได้ เราไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น และ 3. จิตใจ คุณพร้อมมากขนาดไหน พร้อมจะเข้ามาแล้วปรับตัวตามแท็กติกของผมหรือเปล่า และพร้อมจะทุ่มเทเพื่อคำว่า ‘ทีมชาติ’ หรือเปล่า

GM : กิตติศัพท์เรื่องความเขี้ยวของโค้ชซิโก้ เท่าที่เขาลือๆ กันนี่จริงไหม

ซิโก้ : (หัวเราะ) ก็มันติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ผมเชื่อว่าเรื่องนี้หากถ่ายทอดต่อให้เด็กรุ่นต่อไป มันจะเป็นผลดี เพราะการเล่นในนามทีมชาติ ถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ ทีมชาติคือพื้นที่สาธารณะ เราจะถูกจับจ้องตามองในวงกว้าง อย่างในวันที่มารายงานตัว ถ้าคุณคีบรองเท้าแตะมานี่ ได้เหรอ? อยากเป็นสากล อยากเป็นระดับโลก ก็ยกระดับที่ตัวคุณเองก่อนสิ

สำหรับผม คำว่าทีมชาติไทย มีเกียรติ ศักดิ์ศรีเทียบเท่าทีมชาติอื่นๆ ทุกชาติ เยอรมัน ญี่ปุ่น บราซิล อิตาลี เวลาเขามารายงานตัว เขาใส่เสื้อผ้าดีๆ ใส่ซาวด์อเบาท์หูฟังมาแบบเท่เลยละ แล้วทีมชาติไทยเราล่ะ คุณจะมาแบบลากแตะ มันกระจอกนะ ไม่มีวัฒนธรรม ไม่เหมาะกับคำว่าทีมชาติ คำว่าทีมชาตินั้นศักดิ์สิทธิ์ มีเกียรติ เมื่อคุณจะทำอะไรในนามทีมชาติ คุณต้องคิดหน่อยนะ เออ…เวลาอยู่บ้านจะใส่อะไรก็ตามใจเถอะ เรื่องของคุณ แต่เมื่อมาปรากฏตัวต่อสาธารณะ คุณน่าจะดูดีหน่อยไหม มันเป็นเรื่องเดียวกับระเบียบวินัยในสนามนั่นแหละ คุณต้องมีวินัยเพื่อส่วนรวมต้องมาก่อน

GM : ในฐานะผู้อาวุโสแล้วในตอนนี้ วงการฟุตบอลไทยยุคนี้มีเรื่องไหนที่คุณชื่นใจบ้าง

ซิโก้ : ลีกของเรากำลังเติบโตด้วยดี ความนิยมสูงขึ้น นักเตะรู้คุณค่าและหน้าที่ของตัวเอง หากเล่นเกเร หรือไม่ดูแลร่างกาย ต้องตกไปเป็นสำรอง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อรายได้ รวมทั้งอนาคตในการเล่น ฟุตบอลลีกเราสร้างเม็ดเงินได้มหาศาล ดูง่ายๆ มีการจ้างงานเยอะ ทั้งโค้ช ผู้เล่น คนบริหารทีมงานต่างๆ แม้แต่ทีมงานนักกายภาพนักกีฬา ยังเป็นที่ต้องการของวงการกีฬามากจนเข้าขั้นขาดแคลนแล้วนะตอนนี้

ส่วนเรื่องไม่ดีคงมีอีกเยอะ ทั้งระบบจัดการแข่งขัน โปรแกรมการแข่งขัน การตัดสิน การชมและเชียร์ ตอนนี้มีความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยเกินไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ให้หายขาด เพราะหากมีความรุนแรงเกิดขึ้นในสนาม คนบาดเจ็บล้มตายจะตามมา แปลว่าการไปชมฟุตบอลไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เมื่อไม่ปลอดภัย ผมคนหนึ่งล่ะที่จะไม่พาลูกไปดูบอลที่สนาม ผมเองก็ไม่อยากไปคุมทีม ไม่อยากพาทีมไปลงเล่น เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย แล้วต่อไปคืออะไรล่ะ? สปอนเซอร์ก็หายไป คนจ่ายเงินให้เราก็เพื่อสร้างความสุข แล้วถ้ามีแฟนบอลมานัดชกต่อยกัน เสียภาพลักษณ์องค์กรธุรกิจของเขา เมื่อยกเลิกการสนับสนุน ฝ่ายจัดการแข่งขันไม่มีทุน ทีมไม่มีเงิน นักเตะก็รายได้ลด คราวนี้พอคุณอยากจะดูบอลไทย ก็ไม่มีให้คุณดูอีกแล้ว หากปล่อยเรื่องนี้ไป รับรองพังด้วยกันหมด

GM : ระหว่างปัญหามาตรฐานการตัดสิน กับปัญหาแฟนบอลอันธพาล เรื่องไหนต้องแก้ก่อนกัน

ซิโก้ : ก็ต้องไปพร้อมกันนั่นแหละ เราอยู่ในช่วงเรียนรู้กันอยู่ ถามว่าเมื่อก่อนนี้มีไหม ผู้เล่นด่าผู้ตัดสินในสนาม แฟนบอลตะโกนด่าผู้ตัดสิน มันก็มี ความไม่พอใจมันเป็นเรื่องปกติ เหมือนเป็นเรื่องชินปาก เราก็ด่าๆ กัน ด่าแล้วไม่มีบทลงโทษ ลองคิดดูสิหากเราเป็นกรรมการ ไปทำงานแล้วต้องโดนด่าเละ แค่นั้นไม่พอ พอจบเกมเดินๆ อยู่ข้างนอก มีคนมาด่าพ่อล่อแม่ซ้ำอีก แบบนี้แล้วกรรมการจะรู้สึกยังไง หากตัวเราเองโดนด่าบ้างจะเป็นไง ผมคิดว่าต่างคนต่างมาทำงานของตัวเองนะ ทุกคนทำงานของตัวเองให้ดีเถอะ ผมไม่สนใจหรอกทีมไหนจะได้แชมป์ สิ่งที่สนใจคือฟุตบอลไทยต้องก้าวไปข้างหน้า กรรมการเองก็ต้องทำงานออกมาให้โปร่งใส ของแบบนี้มันพลาดกันได้ แต่ขอให้พลาดแบบสุดวิสัยได้ไหม พลาดแล้วตอบให้ได้ว่าเพราะอะไร เพื่อที่จะพัฒนาแก้ไขได้ เหมือนกับนักฟุตบอลนั่นแหละ คุณเป็นกรรมการ เมื่อทำหน้าที่ ทำไปตามเนื้อผ้า ตัดสินให้ดี งานก็เดิน คุณได้ตัดสินต่อไป คุณมีเครดิตมากขึ้น ถ้าคุณทำไม่ดีย่อมโดนลงโทษ เพราะมันค้านสายตาคนดู ถึงบอกไงล่ะว่าต้องปรับไปทั้งระบบ ทั้งคนดู ทั้งกรรมการ ส่วนโค้ชก็คุมเด็กให้อยู่ในระบบ เล่นในกติกา

GM : นี่ก็ 5 ปีแล้ว ที่คุณไม่ได้ทำทีมสโมสรฯ คิดถึงงานแบบนี้ไหม

ซิโก้ : โอ้โห! คิดถึงสิ แต่ผมมาทางทีมชาติแล้ว ความมันส์มีมากกว่า มีกองเชียร์หนุนหลังเรา 65 ล้านคน ทำสโมสรฯ โอเค ได้เงินเข้ากระเป๋าเยอะ แต่ความสะใจไม่เท่ากันนะ สโมสรฯ คุณอาจมีกองเชียร์หลักหมื่นหรือหลักแสน ไม่มันส์เท่ากับทีมชาติ

GM : กองเชียร์มากขึ้น ความกดดันก็มากขึ้นใช่ไหม

ซิโก้ : มาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่เป็นไรมั้งครับ ทำบอล อบต. ก็กดดัน พูดตรงๆ เวลามีคนมาบอกว่าไปทำทีมบอลดิวิชั่น 2 สิ จะได้ไม่กดดัน ผมก็บอกว่า เชิญสิครับ ไปเลย ชีวิตคนเรานี่ ถึงจะไปทำทีมบอลของโรงงาน ก็ยังกดดันเลย คุณลองเลย ระดับผมไปทำ ถ้าไม่ชนะมาก็กลายเป็นเรื่องใหญ่หมด ลองว่ามันเป็นเกมแข่งขันที่มีกรรมการ มันกดดันหมดแหละ เพียงแต่ว่า เราจะทำอย่างไรที่จะต้านไม่ให้ความกดดันในใจ เปลี่ยนไปเป็นความกลัว ถ้าเริ่มกลายเป็นความกลัวก็ทำได้ไม่เต็มที่ ทางที่จะขจัดความกลัว คือทำให้พร้อมที่สุดในทุกขั้นตอนก่อนลงสนาม

มาถึงตรงนี้ แผนที่พวกเราวางไว้ไปไกลมากแล้ว จากผลงานที่สร้างมา ทั้งแชมป์ซีเกมส์ แชมป์อาเซียน ตำแหน่งที่ 4 เอเชียนเกมส์ ทีมชาติไทยของเรากลับมาอยู่ในจุดเดิมได้สำเร็จ เป้าหมายต่อไปคือฟุตบอลโลกระดับเยาวชน ที่ต้องไปให้ได้ตามที่คุยกับสมาคมฯ ไว้ ผมกะว่าจะดูแลการทำทีมชาติตั้งแต่ชุดอายุ 12 ปีไปเลย

เตรียมทำงานไว้ขนาดนี้ จะไปดูแลหลายชุดแบบนี้ คุณได้ทำสัญญาเรียบร้อย? GM ถามซิโก้

“ไม่น่ามีปัญหาเรื่องนี้คุยกันได้ และคุยกันแล้ว”…นี่คือคำตอบของเขา

หากผู้อ่านGMได้ติดตามบทสัมภาษณ์เรื่องฟุตบอลไทยของเรามาสักระยะ คงจำชื่อ วินฟรีด เชเฟอร์ ได้ ณ ตอนนั้นประเด็นคำถามเรื่องสัญญาที่มีต่อสมาคมฟุตบอลไทย ก็เป็นที่สงสัยของเหล่าแฟนบอล รวมทั้งข่าวที่มีมาตลอด ว่าโค้ชคนไทยทำทีมชาติไทย มันมักจะมีความลับเรื่องสัญญา

อะไรคือสาเหตุที่โค้ชไทยได้สัญญายากนักGMสงสัย

“ความไม่เป็นมืออาชีพของสมาคมฟุตบอลไทย เริ่มจากไม่มีความยอมรับฝีมือโค้ชคนไทย หนึ่ง, ไม่คิดว่าจ้างคนไทยแล้วจะทำงานได้นาน สอง, โค้ชคนไทยเองก็ไม่มีผลงานที่เข้าตาจนเป็นที่ยอมรับ และสิ่งที่ตอบยากมาก คือการจ้างงานไม่รู้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนกี่ปีดี?เป้าหมายอยู่ตรงไหน? เช่นกัน แฟนบอลเองก็ไม่รู้อีกว่าควรจะคาดหวังความสำเร็จที่แท้จริงอยู่ที่ระดับไหน รายการนี้ฟอร์มดีแชมป์ รายการหน้าฟอร์มแย่ ผลออกมาก็ตกม้าตายในทางกลับกันรายการที่แข่งออกมาแย่มากแล้วพอมีโอกาสแก้ตัวทำได้ดี แบบนี้ก็รอด ลืมกันไป เหมือนเอาตัวรอดทีละทัวร์นาเมนต์ๆ ไป ไม่จำเป็นต้องมองระยะยาว

GM : เป็นเรื่องจริงที่แฟนบอลอย่างเราไม่รู้เลย ว่าเราควรคาดหวังไว้ถึงระดับไหน โค้ชซิโก้บอกพวกเราหน่อย

ซิโก้ : อย่างแรกเลยนะ ผมไม่มีแผนระยะสั้น มีแต่ระยะยาวเท่านั้น คือไล่ไปตั้งแต่เยาวชน 17 ปีชิงแชมป์โลก เราต้องไปให้ได้ โอลิมปิกรอบสุดท้าย เราต้องไปให้ได้ รีโอเดจาเนโร ยังน่าลุ้น บางคนบอกว่าวางแผนยาวไปไหม ต้องยาวไว้ก่อนสิ หากมาเอาแค่ผลการแข่งขันระยะสั้น ทีมชาติไทยเราก็จะเข้าอีหรอบเดิม

การทำงานต้องมีกระบวนการ 4 ปีเพื่อไปเยาวชนชิงแชมป์โลก โอลิมปิกก็ต้องเตรียมกันต่อเนื่อง เป็น 8 ปี รวมแล้วก็ 10 ปี ดังนั้น ในปี 2024 คือเป้าหมายที่ชัดเจนที่สุด ฟังแล้วมันนานใช่ไหม แต่ในการทำงานจริงๆ ไม่นานหรอกครับ แป๊บเดียว หรือจะเอายังไงกันดี วางแผนปีต่อปี มันจะได้เก็บตัวกันสักกี่ครั้งเหมือนที่ผ่านมา แล้วมีสักชุดไหมที่ไปได้ไกลตามเป้า

GM : คิดว่าต้องมีผลงานในระยะสั้นๆ ที่ดีขนาดไหน คุณจึงจะอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ยาวๆ ไปถึง 10 ปี

ซิโก้ : โอ้ว! ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าผมต้องทำให้ได้ หากมีโอกาสผมจะทุ่มสุดกำลัง เพื่อพาทีมเยาวชนไทยไปฟุตบอลโลก หาก 17 ปีได้ไป 20 ปีมันก็ต้องไป หาก 20 ปีได้ไป โอลิมปิกก็ต้องไปได้ เพราะเด็กมันจะไม่กลัวชาติอื่น

ภายในปี 2024 ทีมชุด 17 ปี 20 ปี และโอลิมปิกต้องได้ไปเล่นรอบสุดท้าย หากไม่มีชุดไหนใน 3 ชุดนี้ได้ไป ไม่ต้องไป เรื่องฟุตบอลโลก ไม่ต้องมาโม้ ไม่มีทาง

FYI

ในประวัติศาสตร์ทีมชาติไทยนับตั้งแต่ปี 1965 เรามีกุนซือทีมชาติ นับถึงซิโก้รวมทั้งสิ้น 26 คน

โค้ชที่มีโอกาสทำงานในตำแหน่งนี้ได้นานที่สุดคือ ปีเตอร์ วิธ (1998-2002) รวม 5 ปี

ตามมาด้วย อาจารย์หรั่ง-ชาญวิทย์ ผลชีวิน 4 ปี (2005-2008)

หากซิโก้สามารถอยู่ได้ตามเป้าที่เขาวางไว้จริง แน่นอนว่าจะเป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเมืองไทย

GM : หลังจากที่เล่นฟุตบอลมาเกินครึ่งชีวิต คุณว่าฟุตบอลมอบอะไรให้คุณบ้าง

ซิโก้ : คำว่าฟุตบอล สำหรับผมมันคือความสุข สนามฟุตบอลคือพื้นที่ของผม วางตัวได้โดยไม่เคอะเขิน คุ้นเคยและถนัดที่สุด ถ้าจะให้ไปทำอย่างอื่น ก็ไม่ใช่ตัวเรา ชีวิตนี้ ผมได้ทุกอย่างจากฟุตบอล ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ รู้จักคนหลากหลายวงการ ได้เรียนรู้ชีวิตที่ยากลำบาก แต่สามารถฝ่าฟันมาได้หากทุ่มเทมุมานะ ทุกอย่างมีทางออกหากคุณสู้กับมันมากพอ ไม่เป็นที่ยอมรับก็พิสูจน์ไปจนกว่าจะสำเร็จ อย่างน้อยให้ตอบตัวเองได้ว่าสุดทางแล้ว

“สำหรับผม ฟุตบอลคือสิ่งที่เพอร์เฟ็กต์ที่สุดแล้ว” เขายิ้มกว้างเป็นการส่งท้าย ลุกขึ้นเดินมาตบไหล่พวกเราเพื่อบอกลา

หลังจากนี้ เขาต้องขอตัวเพื่อนำลูกทีมลงซ้อมต่อไป ชาริล ชนาธิป เกริกฤทธิ์ กวินทร์ ฯลฯ และคนอื่นๆ กำลังรอเขาอยู่

เด็กหนุ่มกลุ่มนี้กระหายการซ้อม กระหายชัยชนะ พวกเขามีศรัทธาในโค้ชคนนี้ ในความเป็นชาติ ในทีมชาติ และในกีฬาฟุตบอล

อีกไม่กี่อาทิตย์หลังจากนั้น พวกเขาและซิโก้ กลับมาสู่ประเทศไทยพร้อมถ้วยรางวัลใหญ่ และกอบกู้วิกฤติศรัทธาของคนไทยให้กลับคืนมา

  เวลาพวกลูกทีมของผมที่เป็นกองหน้า โดนกดดันหนักๆ ว่ายิงไม่ได้สักที ลงมาทำไม ผมจะบอกเขาเสมอ หากเรายังทำประตูไม่ได้ ประโยชน์อย่างอื่นเราทำได้ วิ่งไล่สิ จ่ายบอลให้เพื่อนสิ นี่มันกีฬาเป็นทีม    

เหมือนเวลาเราเล่นเกมอะไร มันให้ความสนุกกับเราใช่ไหม ฟุตบอลก็เหมือนกันนั่นแหละ พอทีมแพ้ เราไม่ได้ตายตามมันเสียหน่อย อย่าลืมแก่นแท้ของกีฬา ว่าคือความสนุก โอเคว่ามีเยาะเย้ยกัน อำกันเล่นๆ พอเป็นสีสัน เพื่อความสนุก ไม่ได้ฆ่าแกงกัน

จิตวิทยาตัวพ่อ

ตลอดการคุมทีมชาติไทย นอกจากเรื่องวินัย ความฟิตที่เป็นเครื่องหมายการค้าของโค้ชซิโก้ อีกเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่บอกต่อๆ กันมา คือการพูดปลุกใจนักเตะ

เช่นในรอบชิงชนะเลิศซีเกมส์ พบอินโดนีเซีย ก่อนไทยเอาชนะไปได้ 1-0 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา พร้อมคว้าเหรียญทองฟุตบอลชายกลับสู่ประเทศไทยในรอบ 6 ปี นี่คือคำปลุกใจที่เขามอบแก่ลูกทีม

พวกคุณลองกลั้นหายใจสัก 2 นาทีสิ คุณจะรู้ทันทีว่าชีวิตคนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีลมหายใจ คนตายเท่านั้นที่ยอมแพ้

แต่หากพวกคุณยังมีลมหายใจ ขอพวกคุณจงสู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย เรามาครั้งนี้เพราะเป้าหมายในการทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับคืน

เราจะไม่ยอมให้พวกเขาหัวเราะเยาะเราเหมือนหลายปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้พวกเขารู้ว่าเราคือเบอร์หนึ่งอาเซียนตัวจริง

Tha Rsng Star

ศึกซูซูกิ คัพ 2014 ที่ผ่านพ้นไป นอกจากจะเรียกกระแสศรัทธาจากแฟนบอลอย่างล้นหลาม รายการนี้ยังถือเป็นเวทีแจ้งเกิดดาวรุ่งทีมชาติไทยให้กลายมาเป็นที่ยอมรับและจับตามอง

ชาริล ชัปปุยส์

สังกัด สุพรรณบุรี เอฟซี อายุ 21 ปี

นาทีนี้ไม่มีใครจะร้อนแรงเกินหน้าเขาอีกแล้ว สำหรับ ชาริล ชัปปุยส์ ดูได้จากกระแสจับจ้องทางโลกออนไลน์ของสาวน้อยใหญ่ทั้งโสดและแกล้งโสดทั่วไทยและอาเซียน

แม้ในฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา ผลงานของชัปปุยส์ ไม่ถึงกับเด่นดีมากนัก จนถูกทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์ไทยลีก 2 สมัยล่าสุดปล่อยตัวไปให้ สุพรรณบุรี เอฟซี แม้จะได้ลงสนามมากขึ้น แต่ก็ยังไม่โดดเด่น (16 นัด 5 ประตู)

ทว่าเรื่องทั้งหมดเทียบไม่ได้หากเขาใส่เสื้อทีมชาติ ฟอร์มห้องเครื่องระดับแถวหน้าเมื่อครั้งเป็นกำลังหลักของทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์คว้าแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 17 เมื่อปี 2009 กลับมาอีกครั้ง ทั้งสร้างเกมขึ้นไปทำประตูสำคัญอยู่เสมอ กดไป 4 ประตู โดยเฉพาะประตู 1-3 ในเกมนัดชิงชนะเลิศนัดที่ 2 ถือเป็นไฮไลท์ในการค้าแข้งของเขาที่ประเทศไทยได้เลย

ฟันธงได้ไม่ยากหากรักษาเนื้อรักษาตัวเร่งฟอร์มในสโมสรฯให้ยอดเยี่ยมเหมือนในทีมชาติ ในเมืองไทยเขาจะดังทั้งในและนอกสนามไม่ต่างกับ เดวิด เบคแคม หรือ คริสเตียโน โรนัลโด เลยทีเดียว

ชนาธิป สรงกระสินธ์

สังกัด บีอีซี เทโรศาสน อายุ 21 ปี

เมื่อครั้งที่ GM นัดคุยกับ วิลฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือทีมชาติไทย ชื่อของ เมสซี่เจ เจ้าของรางวัล MVP Suzuki Cup 2014 คือชื่อแรกที่วินนี่การันตีว่าเล่นต่างแดนได้สบาย และควรรีบส่งเขาไปยังลีกที่ใหญ่ขึ้นอย่างเกาหลีหรือญี่ปุ่นให้เร็วที่สุด แน่นอนว่ารูปร่างที่สูงเพียง 1.58 เมตร เขาเป็นรองรูปร่างทุกคนในสนาม แต่ด้วยความขยัน ความเร็ว คล่องแคล่วทั้งมีและไม่มีบอล ชนาธิปจึงอันตรายเสมอหากมีพื้นที่ในแนวรุก ยิ่งไปกว่านั้นคือจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ น้อยครั้งนักที่จะเห็นเจ้าเล็กคอตกในสนาม

สำหรับแฟนฟุตบอลไทย มีสิ่งหนึ่งที่ต้องเอาใจช่วยเมสซี่เจกันให้มาก เพราะตอนนี้เขามีโอกาสไปคัดตัวยังต่างประเทศบ่อยครั้ง ทั้งญี่ปุ่นหรือแม้แต่สโมสรฮัมบูร์ก ทีมเก่าแก่บนเวทีบุนเดสลีกา เยอรมัน หากทำได้เขาจะเป็นคนไทยคนแรกในรอบหลายสิบปีต่อจากตำนานเดินดินอย่าง วิทยา เลาหกุล เคยไปเล่นลีกสูงสุดเยอรมันระหว่างปี 1979-1981

ธนบูรณ์ เกษารัตน์

สังกัด บีอีซี เทโรศาสน อายุ 21 ปี

แม้จะไม่ใช่ตัวเลือกแรกของโค้ชซิโก้ ในซูซูกิ คัพ แถมต้องลงมาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งถนัดยามที่เล่นกองกลางตัวรับให้ บีอีซี เทโรศาสน ทว่าธนบูรณ์ถือเป็นผู้เล่นเกมรับที่เล่นได้อย่างสม่ำเสมอที่สุดของทีมชาติไทยในชุดนี้ โดยมีตัวเลขการเข้าสกัดและเคลียร์บอลที่มากที่สุดของทัวร์นาเมนต์เป็นเครื่องการันตี

เขาโดดเด่นด้วยรูปร่างสูงใหญ่ สมาธิที่ดี เล่นบอลเป็นทีม และเป็นนักเตะใจเย็น ไม่เน้นต่อปากต่อคำ แน่นอนหากไม่เจ็บหนักไปก่อน ธนบูรณ์จะเป็นตัวหลักของสโมสรฯ และทีมชาติไทยไปอีกนาน อยู่ที่ว่าลงเล่นตำแหน่งใดเท่านั้น

ภาพจากเฟซบุ๊คแฟนเพจ Official Fanpage ตั้ม-ธนบูรณ์ เกษารัตน์

  สนามฟุตบอลคือพื้นที่ของผม วางตัวได้โดยไม่เคอะเขิน คุ้นเคยและถนัดที่สุด ถ้าจะให้ไปทำอย่างอื่น ก็ไม่ใช่ตัวเรา ชีวิตนี้ ผมได้ทุกอย่างจากฟุตบอล ชื่อเสียง เงินทอง เกียรติยศ รู้จักคนหลากหลายวงการ ได้เรียนรู้ชีวิตที่ยากลำบาก 

โปรแกรมดวลแข้ง ทีมช้างศึก

ปี 2015

2014 ที่ผ่านมาถือว่าผลงานของทีมฟุตบอลไทยโดดเด่นเอามากๆ ครองความยิ่งใหญ่ในระดับที่เคยทำได้เมื่อ 10 ปีก่อนได้ครบถ้วน ตอนนี้เราไปตามกันต่อว่า ปี 2015 พวกเขามีทัวร์นาเมนต์หนักๆ รายการใดรออยู่

ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43

1-7 กุมภาพันธ์

แม้จะไม่ได้เป็นรายการที่มีผลในระดับสากล แต่ขึ้นชื่อว่าถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ที่ศักดิ์สิทธิ์ รับรองว่าแฟนบอลต่างคาดหวังฟอร์มสวยๆ จากแชมป์ซีเกมส์, ที่ 4 เอเชียนเกมส์ และแชมป์ซูซูกิ คัพ โดยปีนี้ไปเล่นกันที่โคราช โดยมีทีมดังมาต่อกรดังนี้ เกาหลีเหนือ, เกาหลีใต้ และโครเอเชีย อย่างไรก็ตาม ลุ้นกันก่อนว่าสมาคมฟุตบอลจะเคลียร์คิวที่ทับซ้อนกับไทยพรีเมียร์ลีกอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลต่อผู้เล่นที่จะลงสนามโดยตรง

2016 AFC U-23 Championship

24-28 มีนาคม

ทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปีมีโปรแกรมลงเล่น ศึกชิงแชมป์เอเชียรอบคัดเลือกกลุ่ม G ทีมอยู่ร่วมสายกับเกาหลีเหนือ ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา ถือว่างานไม่ถึงกับหินโป๊ก อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมอาเซียนที่เราผูกปีชนะ ในรายการนี้จะเอาแชมป์จาก 10 กลุ่ม และ 5 ทีมอันดับสองที่มีผลงานดีที่สุดไปเล่นรอบสุดท้ายกับเจ้าภาพ กาตาร์ ระหว่างวันที่ 12-30 มกราคม 2016 และ 3 ทีมที่ดีที่สุดของเอเชียจะคว้าตั๋วไปโอลิมปิก ริโอ เกมส์ บราซิล ปี 2016

ซีเกมส์ ครั้งที่ 28  |  5-16 มิถุนายน

ไม่ต้องอธิบายกันมากกับรายการไม่เล็กไม่ใหญ่ที่คนไทยหวังไว้เพียงน้อยนิด นั่นคือเหรียญทอง ‘ซีเกมส์’ ที่สิงคโปร์ เอาเป็นว่าลุ้นแล้วกันว่าจะป้องกันแชมป์ได้ไหม แต่อย่าลืมนะครับเรามีรายการใหญ่และเป้าหมายที่ใหญ่กว่ารออยู่

2018 FIFA World Cup

รายการที่ใหญ่ที่สุดของทีมชาติไทย แน่นอนคือฟุตบอลโลก 2018 โซนเอเชีย รอบคัดเลือก ความฝันสูงสุดของโลกลูกหนังนั่นคือฟุตบอลโลก แต่ทั้งนี้ใจเย็นๆ ยังไม่ได้จับสลากกำหนดวันเตะ กุมภาพันธ์ ว่ากันอีกที

2015 FIFA Women’s World Cup

6 มิถุนายน–5 กรกฎาคม

ว่ากันด้วยโปรแกรมทีมชาติไทยประเภทชายมานาน จนบางคนอาจลืมไปว่า ทีมหญิงไทยเราไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย จะแข่งขันในปีหน้าช่วงเดือนมิถุนายน ณ ประเทศแคนาดา โดยทีมชาติไทยในฐานะทีมอันดับ 5 ของเอเชีย อยู่ร่วมกลุ่มบี กับเยอรมัน นอร์เวย์ และ ไอวอรี่ โคสต์

แน่นอนว่าหนักเหลือหลาย แต่ในเมื่อคว้าโอกาสมาได้แล้ว แฟนบอลชาวไทยอย่าลืมส่งกำลังใจให้ตัวแทนชาวไทยของเรานะครับ

ความสำเร็จของซิโก้ในระดับทีมชาติ ชื่อของซิโก้ถือเป็นตำนานบทใหญ่ของทีมชาติไทย เขานับเป็นหนึ่งในดาวยิงที่ดีที่สุดเท่าที่บ้านเราเคยมี ในเรื่องความสำเร็จที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในนามทีมชาติ นี่คือความสำเร็จของเขา

ลำดับ 4 Asian Games 1998, 2002

ชนะเลิศ ASEAN Football Championship 1996, 2000, 2002

เหรียญทอง Sea Games 1993, 1995, 1997, 1999

ชนะเลิศถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ 1994, 2000, 2006

เท่านั้นยังไม่พอ ในการเก็บสถิติล่าสุดของ Sportskeeda สื่อกีฬาในประเทศอินเดีย เผยสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในนามทีมชาติ 20 อันดับแรก

ด้วยสถิติ 70 ประตู จาก 131 เกม (นับเฉพาะเกมและประตูที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ) ซึ่งตัวเลขการลงสนามและประตู ยังเป็นสถิติตลอดกาลของทีมชาติไทยจนปัจจุบันนี้

เปรียบเทียบกับอันดับดาวซัลโวตลอดกาลของโลก (เฉพาะเกมทีมชาติ)

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ