fbpx

วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา เกิดมาลุย !

“ถ้าถามว่าผมเป็นพิธีกรอันดับหนึ่งไหม ผมไม่มั่นใจ แต่ถ้าถามว่าผมเป็นคนขี้ประชดประชันที่สุดในโลกไหม ผมมั่นใจว่า ผมชนะทุกคนในประเทศนี้ เอามาแข่งกับผมได้เลย!”

สวัสดีครับ พี่น้องชาวไทย, ข้อความข้างบนนั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของบทสนทนาระหว่าง GM กับเขา-วู้ดดี้-ในห้องแต่งตัวหลังจากที่วู้ดดี้เพิ่งเสร็จจากการถ่ายปกของ GM เล่มที่คุณกำลังถืออยู่นี้ แต่ความโกลาหลของการถ่ายปกทำให้กว่าที่ผมจะได้คุย ก็ต้องนั่งรอราวชั่วโมงกว่าๆ -แต่ก็โอเค การนั่งรอทำให้ผมได้เห็นบุคลิกของหนุ่มคนนี้เวลาที่เขาไม่ได้อยู่หน้ากล้องว่าเป็นอย่างไร…พูดเร็ว แต่งตัวดี อ้วน เสียงดัง มั่นใจ วุ่นวาย ช่างคิด ช่างพูด มีโลกส่วนตัวสูงและท่าทางจะมีของอยู่ใช่เล่น…เป็นคำคร่าวๆ ที่เราถือวิสาสะ ละลาบละล้วงตัดสินเขาแบบเหมาเอาเอง ทั้งหมดนั้นเป็นอคติส่วนตัวของผมและตามวิถีนิยมของประจักษ์ชนทั่วไป แต่ไอ้การนั่งเงียบๆ แล้วคิดไปเองแบบนี้ดูท่าจะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่สำหรับผู้ถูกจ้องมองอย่างเงียบๆ     แต่จะเป็นไรล่ะ…ผมคิดมันอยู่ในใจนี่นา !

เรื่องจริงน่ะอยู่ข้างล่าง ! ในบทสัมภาษณ์ที่คุณจะได้อ่านสองสามวันหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ วู้ดดี้ให้เลขาของเขาโทรฯมาหา GM พร้อมออกตัวว่าการสัมภาษณ์นี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่วู้ดดี้พูดแบบไม่ได้แตะเบรก และเขาออกจะกังวลใจเล็กน้อยกับอาการเบรกแตกของเขา ซึ่งอาจพาดพิงถึงบุคคลอื่นๆ จึงขอให้ทางเราระวังในเรื่องนี้ด้วย ผมรับปากว่าจะพยายามดูให้ แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า ในฐานะบุคคลสาธารณะเช่นวู้ดดี้ที่ฝีปากกล้าขนาดนี้ คงเข้าใจในเงื่อนไขของการสัมภาษณ์และถูกสัมภาษณ์เป็นอย่างดี เพราะทั้งหมด เราต่างทำเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นก็คือ ‘งาน’ ที่น่าพอใจผมเชื่อว่าวู้ดดี้ที่ผมได้คุยไปนั้น คงไม่ใช่คนคนเดียวกับคนที่เราเห็นในโทรทัศน์เสียทั้งหมด และคงเป็นการดีไม่น้อยหากคุณจะลบภาพของวู้ดดี้ที่อยู่ในจอโทรทัศน์ออกไปบ้าง ลองนึกภาพของคนคนเดียวกับที่นั่งอยู่ข้างหน้าผม ณ ตอนนี้ ไม่มีแสงไฟส่อง ไม่มีกล้องจ้องอยู่ข้างหน้า ใบหน้าไม่มีรองพื้น เอกเขนกอยู่บนโซฟาในสตูดิโอของ GM ซึ่งมีเสียงเพลงของ KC and the Sunshine Band ลอยลมมาไกลๆ จากคอมพิวเตอร์ที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง

“That’s the way. ah ha, ah ha. I like you.”

ณ ตอนนั้น วู้ดดี้ฮัมตามเพลง และผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

ณ ตอนนั้น ผมก็ไม่รู้เช่นกันว่าวู้ดดี้ที่ผมกำลังจะคุยด้วย ต่างจากที่ผมรู้จักในจอมากน้อยแค่ไหน

ผมรู้แต่ว่าตอนนั้น ผมรู้สึกเหมือนว่า ผมกำลังอยู่ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ผิดแต่ว่าผมกำลังเป็นคนถาม ไม่ใช่ผู้ที่ต้องตอบ…

5 4 3 2 Action !

“ทุกคนมันมีส่วนที่เหมือนวู้ดดี้อยู่ในตัว เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผยออกมา ถามว่าไอ้มุมแบบนี้มันน่าหมั่นไส้ไหม ก็คงอย่างนั้น เพราะผมเป็นคนดูมั่นใจ ดังนั้น คนย่อมหมั่นไส้อยู่แล้ว”

GM : แรกสุดที่คุณเข้ามาทำงานในธุรกิจบันเทิงกับการเป็นดีเจ ดูท่าว่าคุณน่าจะไปได้สวยกับสิ่งที่คุณทำอยู่ตอนนั้น แล้วเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ คุณถึงลาออกจากงาน มาเปิดบริษัทเอง สำหรับคนอายุ 20 กว่าๆ คุณไม่คิดว่าคุณกล้ามากไปหน่อยหรือ  

วู้ดดี้ : คือผมไม่ชอบเป็นลูกน้องคน ผมรู้สึกว่าบางทีเวลาเสนออะไรแล้วมันไม่ผ่าน ผมถามตัวเองว่าไอเดียของเรามันแย่มากขนาดนั้นหรือเปล่า ผมคิดแบบเกินเลยไป หรือว่านายตามเราไม่ทัน เลยอยากรู้ อยากออกมาพิสูจน์ตัวเองว่าความคิดผมผิดหรือเปล่า

GM : คุณไม่คิดหรือว่าสังคมไทยอาจจะมองว่าคุณเป็นคนก้าวร้าว

วู้ดดี้ : ผมคิดเอง! ผมไม่ได้บอกใคร ผมไม่เคยไปป่าวประกาศที่ไหน คือถ้าถามว่าทำไมผมถึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปก็เพราะต้องการรู้ว่าไอ้ที่ว่าใช้ไม่ได้ มันเป็นที่ความคิดเราไม่เข้าท่าจริงหรือเปล่า ให้รู้ไปสิถ้าเปิดบริษัทแล้วเจ๊งก็ให้มันรู้ไป ดีกว่านั่งเป็นลูกน้องอยู่องค์กรใหญ่โตกินเงินเดือนทุกเดือนแต่ไม่เคยท้าทายชีวิตตัวเอง ไม่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ผมเป็นคนเหมือนสโลแกนเหล้า เอาทุกสโลแกนมาผสมกันแล้วทำตามนั้นเลย  

GM : แล้วรู้สึกกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าคุณเป็นคนน่าหมั่นไส้

วู้ดดี้ : ก็คนที่ด่าว่าน่าหมั่นไส้ เจอก็ขอถ่ายรูปทุกคน คือผมมีความรู้สึกว่าลึกๆ วู้ดดี้เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของพวกเขา เป็นส่วนดื้อ ทุกคนมันมีส่วนที่เหมือนวู้ดดี้อยู่ในตัว เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผยออกมา ถามว่าไอ้มุมแบบนี้มันน่าหมั่นไส้ ไหม ก็คงอย่างนั้น เพราะผมเป็นคนดูมั่นใจ ดังนั้น คนย่อมหมั่นไส้อยู่แล้ว แต่ผมอยู่วงการนี้นานพอจนเฉยๆ กับเรื่องพวกนี้แล้ว ผมถูกหมั่นไส้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นดีเจ มีที่ไหนพูดไทยคำอังกฤษคำ เห็นตัวเองตอนนั้นแล้วยังอยากจะถีบเลย แต่มันคือคอนเซ็ปต์ไง ในโลกนี้ทุกอย่างมันคือคอนเซ็ปต์ ดังนั้นคุณต้องทำหน้าที่ของคุณให้ดีที่สุด ถ้าคุณจะต้องพูดสองภาษา ก็ต้องทำให้ชัดเหมือนกัน ถ้าคุณจะเป็นพิธีกรที่ถามตรงที่สุด ก็ทำให้มันชัดไปเลย จะมาทำก้ำๆ กึ่งๆ ผมไม่เอา เพราะประสบการณ์ในชีวิตผม ผมเคยมีช่วงก้ำกึ่งว่าจะเอายังไงกันแน่ จะเป็นคนมั่นใจหรือจะเป็นคนเท่หรือคนกล้าถาม กล้าได้กล้าเสีย มันงงไปหมด แต่พอมาทำรายการ ‘วู้ดดี้เกิดมาคุย’ มันลงล็อก มันรู้แล้วว่าเราต้องเป็นแบบไหน ดังนั้นถ้าวันนี้ผมไม่ชัดเจนแบบนี้ ผมก็อาจจะยังเป็นผม ที่งงๆ กับชีวิต และอาจจะไม่มีใครพูดถึงด้วยซ้ำ

GM : แสดงว่าสิ่งที่เราเห็นบนจอนั่นไม่ใช่ ‘ของจริง’ แต่เป็นการแสดงอย่างหนึ่ง

วู้ดดี้ : มันเป็นผมในส่วนหนึ่ง แต่มันเป็นผมซึ่งตอกไข่เข้าไป ในชีวิตจริงๆ ผมขี้เกรงใจที่สุดในโลก คิดมากเวลาจะพูดกับคนสักที อย่างแขกรับเชิญ ตอนอยู่เบื้องหลังถ่ายทำรายการผมกับแขกรับเชิญแทบไม่ได้คุยกัน แต่พอกล้องมาปุ๊บมันก็กลายเป็นอีกแบบที่เราๆ เห็น แน่นอน, ผมคงไม่พูดจาแบบที่เห็นในทีวี สุดท้ายรายการของผมมันก็เป็น ‘การแสดง’ มันหนีไม่ได้หรอกที่ต้องแสดง โชคดีที่เรามีพื้นฐานอยู่บ้างในระดับหนึ่ง มันเป็นบทบาท แต่ถามว่าเป็นตัวเราไหม มันก็ตัวเราแต่ทำให้เข้มข้นขึ้น สำหรับผมการเป็นนักสัมภาษณ์มันก็ต้องเติมอะไรให้มันน่าดูหรือฟังแล้วมันน่าสนใจ ทุกวันนี้ ต้องทำให้คนดูมีเราอยู่ในใจ หรือว่าถามแทนคนดูว่าเขาอยากรู้อะไร คือถ้าเป็นผมเพียวๆ สัมภาษณ์ธรรมดาๆ คงไม่สนุก ไม่น่าหมั่นไส้ ไม่บันเทิงเท่าที่เห็น

GM : แล้วอะไรคือเส้นแบ่งความพอดี บางครั้งคุณไม่รู้สึกหรือว่า คุณกำลังล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของคนอื่นมากเกินไป

วู้ดดี้ : ใครมาเหยียบกองถ่ายผม เขาก็ไม่เหลือความเป็นส่วนตัวอีกแล้ว พวกเขาต้องรู้เงื่อนไขนี้ ชีวิตของคุณต้องเปิดให้สาธารณะได้รับรู้ ใครที่มารายการผมแล้วคิดว่าตัวเองจะไม่โดนถามคำถามเด็ดๆ เนี่ยไม่มีทาง ร้อยทั้งร้อยแขกที่มาในรายการเขาทำใจไว้แล้ว และผมว่าพวกเขามีความสุขด้วยซ้ำไป ผมเจอหลายรายแล้วที่มาแบบเกร็งๆ แล้วสุดท้ายก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ

GM : ยกตัวอย่างได้ไหม

วู้ดดี้ : สมมุติแขกที่มาออกรายการผม แล้วมานั่งถามผมว่า ผมจะถามอะไร น่ากลัวไหม แถมปรามว่าอย่าถามแรงนะ พอมีอย่างนี้ทีไร เทปที่ออกไปผลตอบรับมักออกมาไม่ค่อยดี กลายเป็นว่าเขาดูสร้างภาพ แต่กับคนซึ่ง…มาแล้วไม่เคยตั้งคำถาม มาแล้วก็คือไหลไปเรื่อยๆ กลับประสบความสำเร็จ หลังๆ เวลาเชิญแขกมารายการ ผมจะถามก่อนว่าเข้าใจคอนเซ็ปต์ของรายการไหม มาแล้วเต็มที่นะ ถ้ามากั๊กๆ ไม่เต็มที่อย่ามาดีกว่า เพราะประชาชนเขาไม่ได้รู้อะไรใหม่ๆ หลังๆ เริ่มดีขึ้น ทุกคนที่มาเขาเข้าใจ แต่ก็ต้องดูว่าแขกที่รับเชิญมาเป็นใครนะครับ ถ้าเกิดคนคนนั้นเป็นซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของประเทศไทย ผมจะไม่ถามเขานะว่า เขาเป็นเกย์หรือเปล่า ชาวบ้านไม่ได้สนใจ เพราะชาวบ้าน รักเขาไปแล้ว ชาวบ้านแค่สนใจว่าเขาชอบกินอะไร จะแต่งงานเมื่อไหร่…ชาวบ้านสนใจแค่นี้ ทำรายการแบบนี้ต้องเข้าใจสังคมไทย บางดาร์กไซด์คนก็ไม่สนใจ นั่นเป็นเหตุผลว่าผมไม่เอาตลกมาออกรายการ เพราะเอามาปุ๊บมาถามอะไรจริงจัง คนดูก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่

GM : ตั้งแต่ทำรายการ ‘วู้ดดี้เกิดมาคุย’ คุณคิดว่าความคิดของใครน่าสนใจมากที่สุด

วู้ดดี้ : ผมชอบทุกคนนะ จริงๆ! ไม่ได้ตอบเอาใจแขกรับเชิญ แต่ผมว่าทุกคนน่าสนใจหมด คนพวกนี้มีอะไรๆ ที่ผมสามารถเก็บเกี่ยวไอเดียมาใช้ได้เยอะมาก เหมือนเป็นการเติมข้อมูล บางคนก็มาเค้มเค็ม บางคนก็มาหว้านหวาน บางคนก็มาเผ็ดเลย รสชาติมันต่างกัน เอาเป็นว่าถ้าแบ่งด้วยความรู้สึก ถ้าชีวิตมีรสชาติมากก็ต้องคุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ก่อนได้คุยกันผมรู้สึกว่า เขาก็แค่นักวาดรูป ชอบวาดรูปให้มันแปลกๆ ภาพที่เห็นมีแค่นี้ แต่พอไปคุยด้วยแล้ว โอ้โฮ! ทำไมเขาช่างมีที่มาของความคิดที่มันยิ่งใหญ่ขนาดนี้ หลายคนที่ผมเจอเป็นแบบนี้นะ เรารู้จักจากหน้าหนังอีกแบบ พอมาเจอตัวจริง ทุกคนมีความคิด แต่คนที่ทำให้ผมอึ้งจริงๆ ก็คือ น่าจะเป็นคุณไตรภพ ลิมปพัทธ์

GM : คุณไตรภพนี่ รสชาติไหน

วู้ดดี้ : มันเป็นเหมือนวาซาบิ ทำให้เราตื่น หลายคนบอกว่าพี่ต๋อยย้ายไปช่องนู้น ย้ายไปช่องนี้ เพราะหมดไฟแล้ว ไม่มีที่ไปแล้วมั้ง แต่เปล่าเลย ไฟเขายังเต็ม เพียงแต่เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตมากกว่า คนคนนี้เป็นคนที่คุณสามารถนับถือได้โดยสนิทใจ ให้แรงบันดาลใจกับเราเลยนะ การที่พี่ต๋อยไห้เกียรติมานั่งคุยกับผมถือว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูง และบางมุมมองในการใช้ชีวิตของเขามันเป็นแรงส่งให้เรา ให้รู้ว่าต่อไปเราต้องเจออะไร เหมือนพี่กับน้องมาคุยกันเรื่องชีวิต ส่วนผู้หญิงที่ผมชอบคือ ลีนา จังจรรจา คนมองเขาว่าเป็นคนแปลก แต่ผมมองว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนซื่อ คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น ชัดเจน ไม่มากลัวหรือหวาดระแวง เป็นแขกรับเชิญที่ถามถึงไหนถึงกัน มีอะไรเขาก็ตอบหมด

GM : ระหว่างความสอดรู้สอดเห็น กับการเคารพสิทธิและการให้เกียรติคนที่มาร่วมรายการ คุณมีวิธีขีดเส้นแบ่งระหว่างสองสิ่งนี้อย่างไร

วู้ดดี้ : จำไว้เลยว่าผมไม่เคยเสือกเรื่องของใคร ผมไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน หรือปัญหาของคุณคืออะไร ผมแค่สนใจว่า วันนี้คุณมานั่งต่อหน้าผม คนดูเขาอยากรู้อยากถามอะไร ผมไม่ได้เอาใจเข้าไปใส่กับเขา ไม่ได้เศร้าหรืออินไปกับเรื่องของคุณ ผมไม่ได้แคร์ว่าหลังจากนี้หรือก่อนมาคุยกับผมน่ะ คุณไปนอนกับใคร หรือไปสร้างปัญหากับใครมารึเปล่า ผมไม่แคร์ แต่พอคุณมานั่งปุ๊บ ผมต้องถามอะไรที่ทำให้คนรู้สึกอินไปกับผม นั่นคือที่มาที่มันดูเหมือนจะสอดรู้สอนเห็น เวลาคัตปุ๊บ ความสนใจผมก็จบแล้วเหมือนกัน ผมเลยไม่เคยกลัวที่จะถามเพราะรู้ว่าเรากำลังทำอะไร ยกเว้นเรื่องเซ็กซ์ผมจะไม่คุยเพราะมันเกินเลย ผมรู้สึกว่าต้องมีเด็กดูรายการนี้บ้าง หรือเรื่องอะไรที่จะไปทำร้ายบุคคลที่สาม

GM : เคยสัมภาษณ์ใครแล้วคุณรู้สึกเสียใจไหม เช่นว่าคุณถามแรงไปหรืออะไรทำนองนั้น

วู้ดดี้ : มีตอนที่ผมเชิญคุณโย-ยศวดี หัสดีวิจิตร มาออกอากาศ เป็นตอนที่ทำให้ผมเข้าใจเลยว่า ประเทศนี้ไม่ได้เจริญเหมือนอย่างที่ผมคิด เพราะมีคนพูดว่าผมเอาเมียน้อยมาสัมภาษณ์ได้ยังไง ผมก็ถามกลับว่าเขาเป็นเมียน้อยเหรอ ใครบอกคุณว่าเขาเป็นเมียน้อย เขาไม่ได้เคยบอกเลยว่าเป็นอะไรกับใครด้วยซ้ำ แต่คุณสรุปแล้ว แล้วก็มีคนถามวู้ดดี้ต่อว่า งั้นคนดีๆ มีตั้งเยอะทำไมไม่เอามาสัมภาษณ์ไปเอาผู้หญิงคนนี้มาทำไม ผมก็ถามกลับว่า เฮ้ย! ผู้หญิงคนนี้น่ะกว่าที่เขาจะดิ้นรนมาเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียงน่ะ กว่าเขาจะทำมาหากินได้ มันก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจสิ ก็ยังมีคนไปพูดอีกว่าผมกำลังส่งเสริมให้คนคิดว่าการเป็นเมียน้อยเป็นเรื่องดี ช่วงนั้นหนังสือพิมพ์วิจารณ์ไม่หยุดว่าผมว่าไม่มีสมอง ไร้จรรยาบรรณ ไม่ได้คิด ขอโทษนะ แต่ละครก่อนหน้ารายการผมนี่ สองชั่วโมงนะ มีทั้งตบตีกัน เป็นชู้ มีฉากสาธิตให้เห็นเป็นภาพด้วยนะว่าไอ้นี่เป็นชู้กับคนนั้น คนนี้เป็นเมียน้อย แบบนี้ไม่เห็นมันมีปัญหา แล้วทีกับผม คุณมาหาว่าผมทำให้สังคมเสื่อมเสีย

GM : คุณเสียใจมากไหม

วู้ดดี้ : ผมให้มะเหงกเลย! หลังจากวันนั้นผมบอกตัวเองเลยว่า ผมไม่แคร์แล้ว วันนี้คุณมีสิทธิ์มาชี้หน้าด่าว่าผมเอาผู้หญิงคนนี้มาออกรายการทีวีทำไม ผมก็ชี้หน้าด่าคุณได้ว่าคุณไม่มีสมองที่จะคิดแยกแยะได้ งั้นคุณก็จงอยู่ในกะลาของคุณต่อไป ผมก็จะเดินหน้าต่อไป เพราะถามว่าแขกที่มาในรายการของผมแต่ละคน เขาต้องเป็นคนของสังคม เป็นคนสาธารณะ ฉะนั้นเป็นเรื่องที่เขาต้องรู้อยู่แล้วในการเป็นบุคคลสาธารณะ

GM : คุณเคยโดนปรามจากทางช่องไหมว่าทำเกินไป

วู้ดดี้ : ไม่เคย ทางช่องเข้าใจผมดี แต่มันคือสื่อที่ปั่นข่าวมากกว่า บางคนก็ลือว่า รายการผมจะหลุดผังแล้ว พูดอยู่ได้ทุกอาทิตย์ พูดมาปีครึ่ง ไม่มีอะไรจะพูดแล้วเหรอ หรือว่า ก็เข้าใจว่าวันนี้ทุกคนก็อยากจะได้พื้นที่ ทุกคนก็มองผมเป็นคู่แข่งและผมก็รู้เลยว่าปากผมจะทำให้ผมฉิบหาย หมอดูก็เคยทักอย่างนั้น เพราะผมสร้างศัตรูเยอะมาก แต่ก็ไม่แคร์ ผมไม่เคยโกรธใคร เกลียดใครหรืออิจฉาใคร

GM : เบื่อไหมครับกับการเจอแบบนี้

วู้ดดี้ : มันไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ผมว่าสังคมไทยน่าเบื่อ มันเป็นสังคมของคนปากว่าตาขยิบ ตัวเองเบื่อแต่ก็ทำ ผมก็เป็นนะ บางทีเราก็ดับเบิลสแตนดาร์ด ก็ตามสไตล์คนไทย เบื่อแต่เราก็อยู่ได้ ต้องทำต่อไป ผมพยายามคิดบวก มีความสุขกับทุกวันก็พอ ผมไม่ได้เครียดกับมัน

GM : แล้วยังมีใครไหมที่วู้ดดี้เกิดมาคุย ยังอยากคุยด้วย

วู้ดดี้ : ทุกวันนี้ผมยังยืนหยัดว่ายังคงเป็นคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เป็นคนที่ไม่คุยกับใครเลย คุณเคยได้ยินเขาพูดเกิน 4 ประโยคไหมล่ะในทีวี ผมอยากจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ อยากจะรู้ว่าเขาหย่ากันจริงไหม พยายามติดต่อไป แต่ว่าถูกปฏิเสธ ด้วยเกมการเมืองหรืออะไรบางอย่าง แต่ทุกคนก็บอกว่าอย่าเลยเพราะว่าทุกวันนี้ อะไรๆ มันเป็นการเมืองไปหมด เหลืองก็ไม่ได้ แดงก็ไม่ได้ บางทีก็ถามตัวเองนะว่าชีวิตนี้อยู่ในประเทศนี้สัมภาษณ์ใครได้บ้าง ถ้าเป็นนักการเมืองก็ต้องระวังอีกว่าอยู่ข้างไหน เลยต้องสัมภาษณ์แต่ดารา บางทีก็เบื่อฉิบหาย

GM : หากเป็นนักการเมืองล่ะ คุณอยากคุยกับใคร

วู้ดดี้ : ก็ยังอยากคุยกับคุณทักษิณอีกรอบ ผมเคยสัมภาษณ์เขาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเขาเป็นนายกฯ แต่ทุกคนจะบอกผมว่าอย่าไปยุ่ง ชีวิตจะฉิบหายนะ รายการจะเจ๊ง จะดูเหมือนว่าเราไปเข้าข้างเขา ผมก็เลยถามตัวเองตลอด มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ กลายเป็นว่าแค่ผมนั่งคุยกับคุณทักษิณนี่ก็เหมาว่าผมอวยเขา ลำเอียงเข้าข้างเสื้อแดงแล้ว ประเทศนี้มันไม่มีอะไรที่มันแฟร์เลยหรือไง แค่คุณสัมภาษณ์ใครสักคนก็ผิดแล้ว จริงๆ รายการผมทั้งบี้ ทั้งจี้ทุกคนที่มานั่งสัมภาษณ์ ซึ่งคุณทักษิณมาผมก็ต้องทำแบบนั้น จริงๆ อยากรู้เหมือนกันว่า มาตรฐานของประเทศนี้มันยังไงแน่ ผมสับสนตรงนี้ ผมเลยรู้สึกว่าพอการเมืองมันร้อน การทำงานมันยากขึ้น คนที่ผมอยากคุยด้วยก็ทำไม่ได้แล้ว

GM : แล้วหากเราขอให้วู้ดดี้สัมภาษณ์วู้ดดี้ล่ะ

วู้ดดี้ : ไม่มีวัน ผมจะไม่มีวันเหยียบรายการนี้เด็ดขาด ถ้าเป็นผม ผมมีเพื่อน ผมจะเตือนๆ ว่า เฮ้ยมึง! อย่าไปออกนะรายการนี้

GM : แต่เราเชื่อว่าคงมีคนไม่น้อยอยากเห็นคุณถูกถามบ้าง

วู้ดดี้ : เยอะ แต่ผมพบว่า ผมเกิดมาเพื่อสัมภาษณ์ ไม่ได้เกิดมาเพื่อตอบ ผมเกิดมาเพื่อคุย ยกเว้นถ้าเป็นแมกกาซีนนั่นอีกอย่าง มันเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีเวลาให้คนจินตนาการ ผมจะตอบเ_ี้ยๆ ยังไงก็ตามคนอ่านแล้วก็อาจยังรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ดีก็ได้ เพราะเขาไม่เห็นภาพไงว่าผมนั่งยังไงอยู่ตอนนี้ แต่ถ้าภาพพร้อมเสียงนี่ มันเดี๋ยวนั้น แล้วผมเป็นคนเวอร์ ผมเป็นนักตอบที่แย่ที่สุด คุยเรื่องตัวเอง ได้ห่วยมาก มันไม่เวิร์กหรอก

GM : การตัดสินใจว่าคุณจะชวนใครมาคุย คุณดูจากอะไร

วู้ดดี้ : ต้องดูกระแสด้วย เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ดูสนุก ไม่พอแล้ว คนเคยถามผมว่าทำรายการตามกระแสหรือเปล่า ผมตอบว่า “ไม่” ตลอด แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมตอบว่า “ใช่” เราค้นพบแล้วว่า เราต้องทำสิ่งที่คนดูอยากดูอะไรมากกว่า แล้วมาหามุมมองใหม่ๆ

GM : กับอายุ 32 ปี ต้องดูแลบริษัท มีลูกน้องเป็นสิบๆ แบบนี้ คุณเหนื่อยไหม

วู้ดดี้ : ไม่ครับ ผมเคยดูแลมามากกว่านี้อีก สี่ห้าปีที่แล้ว ผมเคยทำรายการเป็นสิบรายการ ช่วงนั้นเป็นช่วงแรกๆ เลยที่เริ่มทำบริษัท ตอนนั้นมีไฟมาก ทำรายการโน่นนี่เต็มไปหมด ปรากฏว่าคนเยอะเกินก็เกิดปัญหา ณ วันนั้นผมค้นพบว่าผมไม่ได้เกิดมาเป็นผู้บริหาร ก็เลยยอมเปลี่ยนนโยบายชีวิตใหม่ ว่าทำทีละอย่างให้ดีไปเลยดีกว่า ก็เลยมาเป็นวู้ดดี้เกิดมาคุยนี่ละ

GM : ตอนนั้นถือว่าล้มเหลว

วู้ดดี้ : ล้มเหลว แต่ผมเป็นคนแปลก พอรู้ตัวว่าล้มเหลวปุ๊บ ผมตัดเลย! มีความรู้สึกว่ายังไงมันก็จะพังแล้ว ตัดไฟแต่ต้นลมเลยดีกว่าก่อนที่มันจะหนักกว่านี้ เรื่องเสียความมั่นใจเนี่ยมีความรู้สึกแบบนี้ทุกวันดังนั้นแค่รายการหายไปมันไม่รู้สึกแย่ขนาดนั้น ผมจะปรับตัวเองให้เตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า

GM : หมายถึงว่าคุณมองทุกอย่างในแง่ลบได้ตลอดเวลา

วู้ดดี้ : แน่นอน, มันไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าเกิดรายการผม เปิดช่อง 9 ประกาศปั้ง! หลุดผังเพราะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ผมก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เหมือนๆ ขับรถ สักวันต้องมีแบบเข้าผิดซอย เจอทางตัน ตันก็ตัน ก็ถอยกลับไปหาทางอื่นต่อ แต่ถ้าคุณบอกตัวเอง ถนนมันไม่มีทางมีทางตัน นั่นคือการโกหกตัวเอง พอเจอของจริงก็รับไม่ได้ ผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลังจากนั้นบอกตัวเองตลอดว่าชีวิตนี้มันต้องมีทางตันบ้าง ปัญหามีไว้ให้แก้

GM : ชีวิตทุกวันนี้ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง  

วู้ดดี้ : ส่วนมากทุกวันหมดไปกับรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย บางสัปดาห์ 5 วัน บางสัปดาห์ 7 วัน แล้วแต่ว่ามีการถ่ายทำบ่อยขนาดไหน ชีวิตผมมีแต่งาน เพราะงานมันนำพาไปสู่อย่างอื่นๆ งานมันนำพามาสู่เงิน งานมันนำพามาสู่เซ็กซ์ งานมันนำพาไปสู่ความรัก งานนำพาไปสู่การได้ท่องเที่ยว งานนำพาไปสู่การปลดปล่อย งานนำมาซึ่งทุกอย่าง ดังนั้น งานผมต้องเต็มที่ ถ้าผมเต็มที่กับงาน งานผมเด่น เงินมันเข้ามา งานผมเด่น ผมมีความสุขกับงาน ผมอยากจะไปเที่ยวก็ทำได้ หรือมีคนเข้ามาในชีวิต ผมก็สามารถเลือกได้ว่าผมอยากจะมีเซ็กซ์กับใคร วันนี้ใครที่บอกว่าผู้ชายสนใจแต่เรื่องรถ นาฬิกา ผู้หญิง…แล้วยังไง ถ้ามึงไม่ทำงานมึงก็ไม่มีสักอย่าง ทุกอย่างมันคืองาน งานต้องมาก่อน แล้วทุกอย่างในชีวิตจะง่ายขึ้น

GM : แสดงว่าคุณน่าจะเป็นคนเรื่องมากเอาการอยู่

วู้ดดี้ : ใช่, ผมเรื่องมาก ว่าไปแล้วผมเป็นคนคิดเยอะ คือเป็นคนเต็มที่กับชีวิต มันจะต้องสนุก มันจะต้องมีอะไรแปลกใหม่ โดยเฉพาะเรื่องงาน ที่บริษัทจะรู้เลยว่า เรื่องงานต้องเป๊ะมาก ช็อตนี้ไม่สวยถ่ายใหม่ แขกคนนี้ไม่ใช่ไม่ออกอากาศ หรือคำถามมันได้มากกว่านี้อีก ผมก็จะเปลี่ยนเลย ผมเปลี่ยนใจบ่อยมากๆ ทุก 5 นาทีเลยก็ว่าได้ มีคนทำงานกับผมแล้วรับไม่ได้ ต้องออกไปก็เยอะแล้ว ก็ทำไมล่ะอากาศยังเปลี่ยนได้เลย แล้วทำไมกูจะเปลี่ยนไม่ได้ สำหรับงานผมอยากจะทำออกมาให้มันดีที่สุด แต่ถ้าเป็นชีวิตส่วนตัว ผมยังไงก็ได้ กินอะไรก็ได้ ใครจะว่าอะไรไม่สน ผมว่าผมต้องบาลานซ์กันให้ดี ถ้าเรื่องชีวิตผมเรื่องมาก มันจะวุ่นวายมากกว่านี้ ถ้าเรื่องมากทั้งงานทั้งชีวิต เตรียมตัวเข้าโรงพยาบาลบ้าได้เลย

GM : คิดว่าตอนนี้ ในวัยเท่านี้คุณประสบความสำเร็จหรือยัง

วู้ดดี้ : ยัง

GM : แล้วอะไรคือเป้าหมายของคำว่าประสบความสำเร็จ

วู้ดดี้ : ถ้าผมตอบว่าประสบความสำเร็จแล้วเนี่ย…ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร สมัยก่อนผมจะมีเป้าของผม อย่างเช่นว่ามีช่องเป็นของตัวเอง มีคลื่นวิทยุเป็นของตัวเอง เป็นพิธีกรที่ดังที่สุดในโลก อะไรอย่างนี้นะ แต่วันนี้ไม่ได้คิด ใครจะไปรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โลกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก วันนี้ผมไม่เอาแล้ว ผมไม่หลอกตัวเอง วันนี้มองแค่ว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด จริงๆ นะเมื่อก่อน เวลาใครตอบว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ผมมีความรู้สึกว่า แม่งเสี่ยว เชย ฟังดูงี่เง่า แต่ตอนนี้ผมว่ามันจริง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มันใช่เลย! เพราะพรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีวันนี้แล้วก็ได้ พรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว

GM : จริงๆ แล้วการที่คุณเติบโตมากับครอบครัวของนักการทูต ทั้งคุณพ่อคุณก็เป็นทูต น้องชายคุณก็เป็นทูต มันไม่ทำให้คุณสนใจงานด้านนั้นบ้างเลยหรือ ทำไมคุณถึงสนใจงานด้านวงการบันเทิง สิ่งแวดล้อมน่าจะทำให้คุณเดินไปทางนั้นมากกว่าหรือเปล่า

วู้ดดี้ : ผมเป็นนักการทูตไม่ได้ จะเป็นได้ก็คือแบบเล่นละครสักซีนหนึ่ง อันนั้นพอไหว แต่ผมใช้ชีวิตแบบนักการทูตไม่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนที่ผมทำได้จริงๆ คือผมสามารถคุยกับคน ผมว่าวันนี้กับอาชีพของผมก็เหมือนเขานะ ก็เป็นนักเจรจา เพียงแต่ว่าผมไม่ใช่ตัวแทนของแผ่นดินไทย แต่ผมเป็นตัวแทนของกลุ่มหนึ่งที่จะถามคำถามคนอีกกลุ่มหนึ่งมากกว่า

GM :  คุณสนใจการเมืองไหม

วู้ดดี้ : สนใจ ยังคิดอยากเป็นนักการเมือง

GM : วู้ดดี้อยากเป็นนักการเมือง?

วู้ดดี้ : อยากเป็นก็ต่อเมื่อมีความรู้สึกว่าประเทศนี้เราต้องช่วยกันเปลี่ยนแล้ว วันนี้ยังไม่รู้สึก วันนี้ยังรู้สึกว่ามีคนทำหน้าที่ได้ดีกว่าผมหรือว่ามีคนพร้อมที่จะมาช่วยเหลือประชาชนได้ดีกว่าผม วันนี้ผมยังไม่พร้อม แต่ถ้าวันไหนที่ผมรู้สึกว่าผมพร้อม หรือว่าผมมีความรู้สึกรุนแรงมากกับการที่จะต้องช่วยเหลือประเทศชาติบ้านเมือง ผมก็จะทำ

GM : อยากเห็นเหมือนกันว่า หากคนอย่างวู้ดดี้เป็นนักการเมือง จะเป็นยังไง

วู้ดดี้ : คือทำไมประเทศชาติต้องค่อยๆ เปลี่ยนล่ะ เปลี่ยนไปเลยสิ จะรออะไร ทุกวันนี้ทุกคนจะใจเย็นๆ คือคนไทยจะค่อยๆ เปลี่ยน แต่ผมค่อนข้างหัวรุนแรง หมายถึงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย เราเดินไปข้างหน้า ไม่ต้องหันมามองแล้วว่ามันจะเป็นยังไง ผมคิดว่าการทำให้มันดี มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าใจของคนที่บริหารบ้านเมืองนี้ นึกถึงตัวเองมากเกินไป ไม่นึกถึงประชาชน วันนี้ผมทำรายการ เอาคนดูเป็นที่ตั้ง คนดูอยากดูอะไร คนดูอยากให้ผมถามอะไร แล้วมันเป็นสุขสำหรับผม คือพอถ่ายรายการเสร็จ อย่างน้อย เรตติ้งจะดีหรือไม่ดี แต่ผมได้ทำในสิ่งที่ผมคิดว่าคนอยากดู หรือว่า

คนอยากถามแล้ว นักการเมืองน่าจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน ทำอะไรที่ประชาชนอยากเห็น เราต้องเป็นตัวกระตุ้นให้มันเกิดขึ้นเร็วๆ แต่ไม่ใช่ว่ากูอยากได้อย่างนั้น กูอยากได้อย่างนี้ กูอยากเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็ทำไปโดยที่ไม่ได้แคร์เลยว่าประชาชนจะรู้สึกยังไงหรือว่าจะมีผลกระทบยังไงบ้าง

GM : คิดว่าคุณเป็นคนช่างฝัน มีความเป็นเด็กอยู่สูง คุณคิดอย่างนั้นไหม

วู้ดดี้ : ใช่, ผมต้องการให้มันเป็นแบบนั้น

GM : เพราะอะไร

วู้ดดี้ : เพราะผมต้องการให้มันสมดุล ผมต้องการเป็นเด็กตลอดเวลา ผมเป็นคนที่ไปได้เรื่อยๆ วู้ดดี้เป็นคนที่ไม่มีหลักการอะไรมากมายกับชีวิต ณ ตอนนี้ ก็เลยทำตัวเองให้เหมือนเด็ก อยากทำอะไรทำ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ต้องมีหลักการมากกว่านี้ แต่หลักการของผมก็คือห้ามมีหลักการเด็ดขาด แล้วชีวิตมันจะมีความสุขเพราะมันไม่คาดหวัง

GM : คุณไม่คิดเหรอว่าการทำตัวเป็นไม้ไม่นิ่งแบบนี้ บางครั้งก็อาจสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิต

วู้ดดี้ : ไม่เป็นไร สนุกจะตาย ผมถึงบอกไง ผมชอบแก้ปัญหา ผมชอบความยุ่งเหยิง ผมรู้สึกว่ามันคือตัวกระตุ้นให้ชีวิตผมมีความสุข ผมเห็นบางที บางคนแบบ ไม่ได้โว้ย ต้องกลับบ้านละสี่ทุ่ม ทำไม! ทำไมคืนนี้เราจะกลับตีสี่ไม่ได้เหรอ ทำไมต้องปล่อยให้ชีวิตมันมีกฎเกณฑ์มากมาย ไม่เห็นต้องมีกฎเกณฑ์  ซึ่งผมอยากเป็นแบบนี้ตอนผมอายุ 60 ผมเคยถามแขกรับเชิญของผมที่อายุ 70 –80 แล้วยังเปรี้ยวอยู่ว่ากฎเกณฑ์ในชีวิตของเขาคืออะไร เขาบอก ห้ามมีกฎเกณฑ์กับชีวิตเด็ดขาด คิดนอกกรอบไว้แล้วชีวิตมันจะยืนยาว

GM : พูดเหมือนชีวิตนี้คุณไม่อยากมีครอบครัว คุณอยากใช้ชีวิตสนุกๆ  เป็นหนุ่มโสดไปอย่างนี้เรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ

วู้ดดี้ : อยากเป็นทุกอย่าง อยากลองทุกอย่างในชีวิต ผมยังคุยกับคุณพ่ออยู่เลยว่าผมอยากมีลูกชายสัก 2 คน อยากลองเป็นพ่อ แล้วก็อยากลองอีกหลายๆ อย่าง ผมตั้งใจไว้ว่าช่วงอายุ 30-40 ปี จะเป็นช่วงชีวิตที่ผมจะเอนจอย กับมันอย่างเต็มที่เพราะก่อนหน้านั้นช่วง 20-30 ปี ผมไม่เคยได้ลองอะไร เพราะทำงาน แต่ทุกวันนี้มีงานที่เริ่มลงตัว มีเงิน อยากจะเล่นอะไรเล่น อยากจะทำอะไรทำ มันเป็นช่วงอายุซึ่งแบบมีสติมากขึ้น เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทำอะไรแล้วจะเกิดผลอะไร ฉะนั้นอะไรที่เข้ามา ผมจะลองหมด ใครที่เข้ามาในชีวิตถ้าผมรู้สึก ผมก็จะคบกับเขา มีอะไรกับเขาได้ อะไรที่ว่าไม่ดีถ้าลองได้ก็จะลองหมด ก่อนตายอยากลองให้มันรู้เลยว่า มันเป็นยังไง ผมผ่านบทเรียนมาเยอะกับชีวิต วันนี้ผมไม่มีทางมาร้องไห้แล้ว ต่อให้มีใครมาตายต่อหน้าผมก็รู้สึกว่า โอเคคุณก็ตายไป โลกก็ยังหมุนต่อ

GM : แล้ววู้ดดี้ตอนอายุ 50 จะเป็นยังไง

วู้ดดี้ : ผมจะลองตอบแบบจากใจ แบบที่สุดๆ เลยนะ ผมจะรวยมาก จะดังมาก และผมจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศนี้ได้อย่างมาก ผมกำลังเล่นการเมืองอยู่ และผมอาจจะเป็นนายกฯ !

คำถามนอกรอบ 01

GM : แล้วทริปหน้า เราจะเจอวู้ดดี้ได้ที่ไหน

วู้ดดี้ : อิสตันบูล

GM : เราจะไม่ถามว่าทำไม

วู้ดดี้ : ทำไมล่ะ

GM : ดี๋ยวเราให้คนเขียนไปถามใน Face book วู้ดดี้ดีกว่าว่าทำไม ถ้าอยากรู้ให้ไปถามใน www.facebook.com/woodytalks

คำถามนอกรอบ 02

GM : สมมุติว่าวันนี้ วู้ดดี้สามารถทำเรื่องเหลือเชื่อได้สักเรื่องหนึ่งในชีวิต คุณอยากทำอะไร

วู้ดดี้ : ผมอยากให้คนทั้งประเทศนี้มีการศึกษา ผมอยากให้คนทั้งประเทศนี้ สามารถคุยภาษาเดียวกันได้ ผมอยากให้คนทั้งประเทศนี้ ไม่ถูกแบ่งชนชั้นว่าเป็นแบบเกรดเอ เกรดบี เกรดซี เกรดดี ผมไม่อยากให้มีคำว่ารากหญ้าเกิดขึ้นในประเทศนี้ ผมอยากจะตัดคำว่ารากหญ้าออกไปเลย ถ้าเป็นไปได้ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะทำ ถ้าเป็นอย่างนั้นปุ๊บ อะไรมันง่ายไปหมด จริงๆ ทำทีวี ละคร มันจะไม่มีการเถียงกันอีกแล้วว่า ดูถูกคนดู มันจะไม่มีคำแบบนี้เกิดขึ้น เพราะทุกคนจะคิดเหมือนกัน โลกนี้ ทุกคนมันไวพอๆ กัน จะไม่มีใครโดนหลอก วันไหนก็ตามที่คนทั้งประเทศนี้มีการศึกษาเมื่อไหร่ ผมว่านั่นเป็นทางออกสำหรับประเทศชาติบ้านเมือง

คำถามนอกรอบ 03

GM : วู้ดดี้คิดยังไงกับการเมืองไทย

วู้ดดี้ : ผมว่าการเมืองไทยวันนี้เราจะต้องยอมรับกับสภาพว่ามันคือเกม แต่ผมว่าในอนาคตอีกไม่นานคอร์รัปชั่นมันจะน้อยลง ผมเชื่อว่าคนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งจะต้องมีความใสสะอาดในระดับหนึ่ง โกงกินไม่ว่านะ แต่ขอให้มันมีขอบเขต บางทีคนเราอยู่ตรงนั้นแล้วมันไม่มีลิมิต ชีวิตเกินร้อยมาก ฉะนั้นผมเชื่อว่ารุ่นใหม่จะเข้ามา คนที่อายุ 30 กว่าวันนี้ พอถึง 40 กว่าในอนาคต ผมว่าเขา

คำถามนอกรอบ 04

การท่องเที่ยวเป็นเรื่องโปรดของวู้ดดี้ เขาบอกว่า “การขึ้นเครื่องบินเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดในโลก มันให้ความรู้สึกว่า ‘กูไปแล้ว’ แบบหนีปัญหาไปแล้ว ไม่ต้องมาปวดหัว” และนี่คือสามแห่งที่วู้ดดี้จะหนีหายไปเที่ยวได้บ่อยๆ

New York, USA •มันเป็นเมืองที่ผมใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นอยู่ที่นั่น และผมรู้สึกว่าเมืองนี้ แค่ได้ไปเดินสัก 10 นาที ไอเดียมันมาแล้ว มันเหมือนกับว่า นิวยอร์กเป็นเมืองที่ทำให้ไอเดียบรรเจิด แค่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นแค่วันเดียว ผมคิดรายการได้เป็นสิบหรือว่าคิดได้แล้ว ไปอยู่แค่อาทิตย์เดียว ไอเดียมันก็จะฟุ้งเต็มไปหมด

Rome, Italy •ไปทีไรก็จะมีความรู้สึกว่าสงบ มีความรู้สึกว่าโรมเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสุนทรียะ โรมเป็นเสมือนด้านที่อ่อนไหวของเรา

Pattaya, Thailand •ที่สุดท้ายคือพัทยา เป็นเมืองซึ่งคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันเป็นเมืองซึ่งเหมือนกับว่า ไปทีไรผมก็จะไปทำอะไรเดิมๆ ไปกินร้านเดิมๆ ไปนอนที่เดิมๆ ไปกับเพื่อนเดิมๆ กินเหล้าที่เดิมๆ เห็นวิวเดิมๆ แต่ก็ไม่เบื่อนะ รู้สึกว่ามันเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ด้วยซ้ำ มันมีกลิ่นอายของเซ็กซ์ ความซน อาหารอร่อย ทะเลแบบไทยๆ มีคนใส่เสื้อยืดลงทะเลอะไรแบบนี้ มันคาดเดาได้ มันคาดหวังได้

คำถามนอกรอบ 05

วู้ดดี้อยากเป็นผู้กำกับหนังตั้งแต่เด็ก เคยทำละครโชว์ในบ้านทุกอาทิตย์ เคยไล่ดูหนังอาร์ตเป็นนานสองนานเพื่อตามฝันของตัวเอง และเมื่อ GM ถามถึงหนัง 3 เรื่องในดวงใจ วู้ดดี้บอกว่ามีเรื่องนี้อยู่ในหัว

The Last Emperor

เป็นเรื่องที่ดูตั้งแต่เด็ก จนทุกวันนี้ดูยังมีความรู้สึก ยังขนลุกทุกครั้ง มันคือความยิ่งใหญ่ มันคือจักรพรรดิ มันคือบัลลังก์ ผมชอบดูหนังอะไรที่มันยิ่งใหญ่ มันเวอร์ๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนเวอร์ ผมชอบที่มันยิ่งใหญ่ ดูแล้วมันว้าว! เลยจินตนาการถ้าเราเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้าย ชอบจินตนาการตลอดว่าถ้าเราเป็นจักรพรรดิ เราจะกู้แผ่นดินยังไง เรามีความรู้สึกยังไง นางสนมเต็มไปหมด ถ้าเราเป็นปูยี เราจะทำยังไง หนังถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ดีมากจนกระทั่งทุกฉากทุกซีนมันมีความขลัง หนังทำให้ผมเห็นจุดที่สูงสุดลงไปจนถึงจุดที่ต่ำสุด มันเหมือนกับว่าทุกอย่างมันเคลื่อนไปหมด ณ วินาทีนั้น ผมก็เลยมีความรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ทุกอย่าง นั่นคือเรื่องแรกที่ฝังใจ

Angels and Demons

เพราะว่ามันเป็นหนังใหม่ที่จะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป และเป็นหนังที่ผมจะกลับมาดูอีก เพราะผมชอบอิตาลี วู้ดดี้เป็นคนที่สามารถเดินอยู่บนถนนในโรมเป็นวัน ดูรายละเอียด โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาโดยเฉพาะกับคริสต์ อะไรที่เกี่ยวกับสันตะปาปา รัฐวาติกัน ผมจะอินมาก แม้ว่าผมจะเป็นพุทธก็ตาม ผมมองเรื่องของศาสนาว่าเป็นเรื่องของการตลาดแบบหนึ่ง เป็นเรื่องของการสร้างศรัทธา ดังนั้นศาสนาใดๆ ที่รู้จักการสร้างศรัทธาได้ดีกว่า ศาสนานั้นๆ ก็จะมีผู้นับถือมาก วาติกันเป็นหนึ่งในความสำเร็จของศาสนาคริสต์ ผมชอบโรมันคาทอลิก มันเป็นเรื่องของศิลปะ เรื่องของหลายๆ อย่างก็เลยชอบ

28 Days Later

หรือหนังในซีรีส์นี้ ทั้ง 28 Days Later, 28 Weeks Later จริงๆ ผมอยากกำกับหนังแบบนี้ด้วยซ้ำ ผมรู้สึกว่าเป็นหนังที่แสดงด้านมืดของคน เมื่อมนุษย์มันจนตรอกแล้วน่ะ เมื่อมันถึงที่สุดแล้ว มันไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว นั่นคือส่วนที่เป็นสัตว์ของมนุษย์เรา

Digiqole ad

บทความที่น่าสนใจ